ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 133-2 ซูอวี๋ลี่ออกเรือน

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 133-2 ซูอวี๋ลี่ออกเรือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บ่าวไปตักน้ำมาช่วยนางล้างหน้าทำผมและแต่งเติมหน้าบางๆ ให้นาง เว่ยฉางอิ๋งกำลังจ้องอยู่ที่กระจกทองเหลืองตรวจสอบความเรียบร้อยของหน้าและผม แต่กลับมองเห็นจากข้างในกระจกว่าเสิ่นจั้งหนิงน้องสาวของสามีนั่งพิงอยู่บนตั่งนั่งข้างหลังห่างออกไปไม่ไกล และกำลังนั่งสัปหงกอยู่ จึงรีบเรียกฉินเกอเข้าไปปลุกนาง

เว่ยฉางอิ๋งมองดูเสิ่นจั้งหนิงขยี้ตาและยังสะลึมสะลืออยู่ จึงถามนางว่า “น้องหญิง ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่? ไม่ไปเล่นกับพวกลูกพี่ลูกน้องบ้านซูหรือ?”

เสิ่นจั้งหนิงร้องอ๊ะอยู่เป็นนานจึงตื่นขึ้นมาจริงๆ แล้วพูดอย่างไม่มีอารมณ์ว่า “ท่านแม่บอกให้ข้าไปกับพี่สะใภ้สาม”

“เหตุใดเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าแถบผ้าบนผมนางยุ่งเหยิงไปหมดแล้วจึงเอื้อมมือไปช่วยนางจัดให้เรียบร้อย

เสิ่นจั้งหนิงถอนหายใจแล้วว่า “พวกลูกผู้พี่หญิงล้วนหมั้นหมายกันไปหมดแล้ว ยามนี้ต่างถูกท่านอาสะใภ้รองเรียกไปเรียนรู้กริยามารยาทให้ดีๆ ข้าอยากจะไปเล่นกับพวกนาง แต่แค่ไปที่ลานบ้านก็ยังออกไปไม่ได้ แล้วจะมีเรื่องใดน่าสนุก ท่านแม่ก็ไม่วางใจข้า จึงให้พี่สะใภ้สามมาคอยดูข้าไปเสียเลย พี่สะใภ้สาม มิใช่ว่าท่านเคยเรียนวรยุทธมาหรือ? ท่านแม่จึงคิดว่าท่านน่าจะคอยดูแลข้าได้ดีกว่าผู้อื่น”

เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี กำลังจะพูด เสิ่นจั้งเหนิงก็บอกว่า “ทว่าท่านแม่ก็คิดผิดแล้ว เมื่อครู่นี้พี่สะใภ้สามท่านร้องไห้เสียยกใหญ่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะมีเวลาใดมาดูแลข้า? หากมิใช่ว่าไม่มีที่อื่นไปแล้วจริงๆ ข้าก็จะไปตั้งนานแล้ว”

“ในเมื่อเจ้ายังไม่ไป เช่นนั้นต่อไปก็คอยตามข้าเสียโดยดีเถิด” เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ เอ่ยยิ้มๆ พลางชี้นิ้วไปแตะหว่างคิ้วนาง

เว่ยฉางอิ๋งพาเสิ่นจั้งหนิงไปที่งานเลี้ยง อดจะขอโทษขอโพยคนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ “เมื่อครู่เห็นท่านอาอาลัยอาวรณ์ลูกผู้พี่ พลันนึกถึงภาพตอนตนเองออกเรือน และไม่รู้ว่ายามนี้ท่านย่าและท่านแม่ที่บ้านจะเป็นเช่นใดบ้าง จึงเสียมารยาทไป ทำให้ทุกท่านขบขันเอาเสียแล้ว”

แม้นางจะไม่พูดเช่นนี้ ทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ จึงพากันยิ้มบอกให้นางอย่าได้ใส่ใจ หรือไม่ก็เย้าแหย่นางด้วยความปรารถนาดีไปสองสามคำ

 ด้วยเหตุที่น้องสามีและพี่สะใภ้เข้ามานั่งที่โต๊ะพร้อมกัน เสิ่นจั้งหนิงจึงนั่งอยู่ข้างเว่ยฉางอิ๋ง… น้องสามีผู้นี้ซุกซนจนเคยตัว ยามนี้ไม่มีพวกลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงคอยเล่นด้วย นางจึงดูเซื่องซึมยิ่งนัก นั่งเท้าค้าง บางคราก็ไปเลือกอาหารที่อยู่ตรงหน้า สองตาไร้ความสดใส ดูห่อเหี่ยวเหลือเกิน

เว่ยฉางอิ๋งสนทนากับนางหลายหน เสิ่นจั้งหนิงก็ตอบมาเพียงคำ …เว่ยฉางอิ๋งเห็นดังนั้นจึงไม่ไปรบกวนนางอีก

เป็นดังนี้ไปจนถึงช่วงกลางของงานเลี้ยง เว่ยฉางเจวียนที่อยู่ไม่ไกลออกไปพลันลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง แล้วโน้มตัวลงมาระหว่างเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งหนิง พูดกับ เว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่สาม ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน แต่หวังว่าท่านจะไม่โกรธ”

แม้ทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันโดยตรง ทว่าเพราะแม่เฒ่าซ่งเคยกำชับเอาไว้ อีกทั้งเว่ยเซิ่งอี๋และเว่ยฉางเฟิงก็เป็นคู่แข่งกัน แต่ไรมาพวกนางจึงไม่สนิทสนมกันอย่างยิ่ง คราวก่อนในงานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน เว่ยฉางอิ๋งถูกคนหัวเราะเยาะ เว่ยฉางหว่านและเว่ยฉางเจวียนก็ยังรีบหลบออกไปในทันใด

ทำให้หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของพวกนางจึงยิ่งห่างเหินกันไปอีกชั้นหนึ่ง เพียงแต่ต่างคนก็ต่างเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่โต โดยนามแล้วก็ยังต้องเกรงใจกันเหมือนพี่น้อง เพียงแต่การที่นางอาศัยช่วงที่กำลังดื่มกินอย่างสำราญแล้วเข้ามาพูดคุยเป็นการส่วนตัวก็กลับเป็นการเข้ามาใกล้ชิดอย่างปัจจุบันทันด่วนเกินไป

เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “น้องเจ็ดเจ้าพูดออกมาเถิด ดีๆ กันอยู่ข้าจะโกรธเคืองเรื่องใดเล่า?”

“คำที่พี่สามเข้ามาพูดเมื่อครู่นี้แม้จะออกมาจากใจจริง แต่ก็ไม่สมควรเอาเสียเลย” เว่ยฉางเจวียนเอ่ยเสียงหวาน เสียงที่พูดออกมาฟังแล้วสบายนัก แต่คำที่นางเอ่ยกลับทำให้เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้สึกสบายเท่าใด นางว่า “ในเมื่อยามนี้พี่สามออกเรือนแล้ว เช่นนั้นก็เป็นคนบ้านเสิ่นแล้ว แต่กลับเอาแต่คิดถึงบ้านของตนอยู่เช่นนี้ นี่เท่ากับเป็นการแสดงออกว่ามีเรื่องไม่พอใจบ้านสามีน่ะสิ!”

เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจ จึงเอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “ลำบากน้องเจ็ดซึ่งเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนให้ต้องมาเตือนพี่แล้วจริงๆ เพียงแต่ข้าคิดว่าคำที่ข้าพูด ทุกคนล้วนเข้าใจได้ทั้งนั้น อีกประการแม้เมื่อสตรีออกเรือนแล้วก็นับว่าเป็นคนบ้านสามี แต่ก็ไม่ใช่จะบอกว่าวันหน้าล้วนไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับบ้านฝั่งมารดาอีกแล้ว หาไม่แล้วก็คงพูดไม่ได้ว่าเมื่อสตรีออกเรือนแล้วล้วนไม่สามารถกลับบ้านฝั่งมารดาได้อีก? ยิ่งไปกว่านั้นบุญคุณที่ญาติผู้ใหญ่ฝั่งบ้านมารดาอบรมปลูกฝังมาก คนเป็นบุตรสาวหรือจะไม่คิดถึงเลยแม้แต่น้อย?”

 “พี่สามท่านอย่าเกี่ยงว่าข้าปากมากเลย! ข้าก็เพียงพูดไปเช่นนั้น” เว่ยฉางเจวียนฟังความเยาะหยันในน้ำเสียงของนางออก ดวงตาพลันแดงขึ้นมาทันใด แล้วเอ่ยด้วยท่าทีน้อยใจว่า “ข้าก็เพียงคิดว่า พี่สาม เมื่อครู่นี้ท่านร้องไห้หนักหนาปานนั้น แล้วยามนี้ก็เอ่ยถึงเพียงท่านย่าและท่านป้าใหญ่ของพวกเรา จะทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าพี่สามไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายในบ้านสามี จึงได้คิดถึงผู้ใหญ่ในบ้านฝั่งมารดา นี่…คงมิใช่ว่า?”

เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็โมโหโกรธานักหนา เอ่ยเสียงเย็นเฉียบไปว่า “ข้ามีความสุขสบายดีในบ้านสามีหรือไม่ ภายนอกจะไม่ได้ยินข่าวคราวหรือไร? ท่านพี่รักข้าเป็นหนักหนายังไม่ว่า แม่สามีก็ปฏิบัติกับข้าเช่นบุตรสาวแท้ๆ! เช่นนี้แล้วยังไม่ดี แล้วต้องให้เป็นเช่นใดจึงจะดี? น้องเจ็ด ตามหลักแล้วท่านอารองและท่านอาสะใภ้รองล้วนยังอยู่ เดิมทีก็ไม่ควรเป็นข้าซึ่งเป็นพี่สาวร่วมตระกูลในรุ่นเดียวกันจะมาสอนสั่งเจ้า เพียงแต่คำพูดนี้ของเจ้าก็เกินเลยเกินไปแล้ว! เจ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ไม่รู้จักไปเรียนรู้กฎธรรมเนียมให้ดีๆ ไม่ไปเรียนว่าจะเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยดีงามได้อย่างไร แต่กลับมายั่วยุทั้งกริยาวาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เจ้าก็ไม่รู้จักคิดดูว่าบ้านสามีข้านี้เป็นท่านปู่เลือกมาด้วยตนเอง นี่เจ้ากำลังบอกว่าสายตาของท่านปู่ใช้ไม่ได้หรือ?”

เว่ยฉางเจวียนพลันมีน้ำตาคลอในทันใด เอ่ยขอความเห็นใจว่า “พี่สาวคนดี เป็นข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่รู้จักพูด …แต่ข้าได้ยินว่าเมื่อครู่นี้พี่สามเรียกท่านอาหญิงรองว่าท่านอา แต่หากนับตามฝั่งบ้านสามีแล้วท่านควรเรียกว่าอาสะใภ้สามจึงจะถูก ท่านเอาแต่ยึดตามบ้านฝั่งมารดาไปทุกเรื่อง นี่…”

“ข้าจะเรียกท่านอาหญิงรองเช่นใด เป็นเรื่องที่แม้แต่แม่สามีก็ยังไม่ว่าอันใดเลย!” เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่ายามเว่ยฉางเจวียนสะอึกสะอื้นก็เริ่มทำให้คนรอบๆ ตัวหันมาสนใจแล้ว มีคนกำลังกระซิบที่ข้างหูเว่ยฉางหว่านซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับสตรีชั้นสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ นาง เว่ยฉางหว่านก็คล้ายเตรียมตัวจะเดินมา ในใจเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกชิงชังน้องสาวร่วมตระกูลผู้นี้ยิ่งนัก ในขณะที่กำลังจะตอบนาง….

ไม่คิดว่าจู่ๆ เสิ่นจั้งหนิงที่นั่งถัดไปก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา แล้วเดินข้ามาสองสามก้าว ยกมือขึ้นผลักเว่ยฉางเจวียนจนเซ!

เดิมทีจู่ๆ เว่ยฉางเจวียนก็จะร้องไห้ออกมาท่ามกลางงานเลี้ยงแต่งงานก็ทำให้คนสนใจอยู่แล้ว เวลานี้เสิ่นจั้งหนิงมาลงมือยิ่งทำให้มีคนหลายคนล้อมวงกันเข้ามาห้ามทัพ “นี่เป็นเรื่องใดกัน? เรื่องใดกัน? วันนี้เป็นวันดีของพี่หญิงใหญ่ซู พวกเจ้าล้วนเป็นพี่น้องของพี่หญิงใหญ่ซู เหตุใดจึงมาทะเลาะกันที่นี่ทั้งยังลงไม้ลงมือกันด้วย? น้องเว่ยเจ็ดก็ร้องไห้เสียแล้ว?”

ในเวลาเดียวกัน เว่ยฉางหว่านกับฮูหยินยังสาวในชุดงดงามก็เร่งก้าวเท้าเข้ามา ร้องเสียงดังว่า “น้องสามนี่เจ้าทำสิ่งใด? น้องเจ็ดมาเตือนเจ้าด้วยความหวังดี แล้วเหตุใดจึงยุยงให้คุณหนูสี่บ้านเสิ่นทำนางร้องไห้เสียแล้ว?!”

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ทุกคนก็ล้วนหันมาทางเว่ยฉางอิ๋ง…

____________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด