ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 68 วาสนาดี

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 68 วาสนาดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                ครั้งเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน ก็ได้รู้แล้วว่ากำหนดการแต่งงานของเสิ่นจั้งฮุยน้องชายของสามีผู้นี้อยู่หลังจากงานแต่งงานของตนสองเดือน ยามนี้นับไปแล้วก็เหลือเวลาอีกราวครึ่งเดือนแล้ว เพิ่งจะเริ่มมาขอให้คนของจวนราชครูไปช่วยในเวลาเช่นนี้ เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคิดถึงเรื่องหยุมหยิมนานาครั้งตนออกเรือนแล้วก็อดจะเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าเวลาจะเพียงพอหรือไม่

                หลังจากกลับไปที่เรือนจินถงแล้ว นางจึงไปสอบถามกับนางหวง เมื่อนางหวงได้ฟังก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยเองก็ยังทราบว่ากำหนดงานแต่งของคุณชายสี่อยู่หลังจากของฮูหยินน้อยและคุณชายสองเดือน… ดีชั่วอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทั้งคุณชายสี่ก็ยังเป็นคนที่ฮูหยินของพวกเราเลี้ยงดูมาจนโตประหนึ่งเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ข้าน้อยคิดว่าครั้งทางจวนราชครูวุ่นวายเตรียมงานให้แก่คุณชายก่อนหน้านี้ คาดว่าคงจะเตรียมงานในส่วนของคุณชายสี่พร้อมกันไปด้วยแล้วเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ตระกูลเสิ่นก็เพิ่งจะรับฮูหยินน้อยเข้าบ้าน เกรงว่าหลายๆ สิ่งก็ล้วนตระเตรียมเอาไว้เสร็จสรรพแล้ว ดังนั้นการรับภรรยาใหม่ของคุณชายสี่เข้าบ้านยิ่งมีแต่จะราบรื่นและมีความชำนาญกว่าเดิมเจ้าค่ะ”

                เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ตระหนักขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “ข้ากลับลืมไปสนิทเลย”

                นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยอายุยังน้อย แม้จะออกเรือนแล้ว และตนเองก็ไม่เคยต้องมาจัดการเรื่องเช่นนี้มาก่อน ก็ไม่แปลกที่จะคิดไม่ถึงเจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ๋งจึงขอคำชี้แนะไปว่า “เช่นนั้น วันพรุ่งข้าไปแล้วต้องทำสิ่งใดบ้างเล่า?”

                “ขอฮูหยินน้อยให้ข้าน้อยพูดความจริงสักคำ ความจริงที่เซียงหนิงปั๋วบอกว่าเชิญให้ฮูหยินและเหล่าสะใภ้ไปช่วยดูแลเรื่องงานแต่งงานของคุณชายสี่ด้วยกันสักหน่อยนั้น คนที่จะเชิญจริงๆ มีเพียงสองท่าน ก็คือฮูหยินและฮูหยินน้อยใหญ่เจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มอ่อนๆ พลางว่า “ฮูหยินน้อยคงจะจำนางเฉียนที่เป็นคนหวีผมให้ฮูหยินน้อยครั้งฮูหยินน้อยออกเรือนได้กระมังเจ้าคะ?”

                “ข้าย่อมจำท่านอาสะใภ้ยี่สิบเอ็ดได้” เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาทันใด แล้วกล่าวว่า “ผู้มีความสุขครบพร้อม?”

                “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เพราะงานแต่งงานเป็นเรื่องมงคล ผู้ที่มาจัดการนั้นหากวาสนาไม่ดีก็จะไม่เป็นมงคลเจ้าค่ะ” นางหวงอมยิ้มพลางว่า “หาไม่แล้วคุณหนูใหญ่ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของท่านเซียงหนิงปั๋วก็กลับมาอยู่บ้านและคอยดูแลเรือนหลังมาโดยตลอด เมื่อครั้งอยู่ที่บ้านซูก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นภรรายาเอกของบุตรชายคนโต หลายเรื่องจะทำไม่ไหวได้ที่ใด? ล้วนเพียงเพราะติดขัดเรื่องฐานะจึงทำงานไม่สะดวกต่างหากเจ้าค่ะ!”

                เสียงนางพลันต่ำลง “ฮูหยินและฮูหยินน้อยใหญ่ล้วนมีบิดามารดาอยู่ครบทั้งยังมีบุตรธิดาพรั่งพร้อม และรักใคร่ปรองดองกับสามีเป็นอย่างดี ย่อมต้องมีวาสนาดีเจ้าค่ะ ส่วนฮูหยินน้อยนั้นกลับมิได้มีที่ใดไม่ดี เพียงแต่เพิ่งจะเข้าบ้านมาทั้งยังไม่เคยจัดงานเช่นนี้มาก่อน ข้าน้อยคาดว่าการที่ทางจวนเซียงหนิงปั๋วเชิญฮูหยินน้อยไปก็เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาทเท่านั้นเจ้าค่ะ อย่างมากที่สุดฮูหยินก็เพียงพาฮูหยินน้อยไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยเท่านั้น เรื่องใหญ่โตประเภทนี้ เพื่อมิให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดๆ ขึ้น ฮูหยินย่อมไม่กล้าให้ฮูหยินน้อยซึ่งเป็นสะใภ้ที่อายุน้อยเช่นนี้ไปก้าวก่ายเรื่องใดจริงจังหรอกเจ้าค่ะ ส่วนฮูหยินน้อยรองนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่มีบุตรชาย ไม่เพียงแค่ตัวฮูหยินน้อยรองเองเท่านั้น แม้แต่หลังเรือนนางก็ยังไม่มีบุตรชายจากอนุด้วย บุตรชายของอนุในจวนเซียงหนิงปั่วก็ยังไม่พรั่งพร้อมเท่าจวนท่านราชครูของเราเลย แล้วจะให้ฮูหยินน้อยรองไปแตะต้องงานแต่งงานของคุณชายสี่ได้อย่างไร?”

                เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้ารู้แล้ว ยามข้าไปถึงทางจวนของท่านอาในวันพรุ่ง ก็ฟังให้มากดูให้มากเป็นพอแล้ว”

                วันต่อมา เมื่อนางส่งเสิ่นจั้งเฟิงไปทำงานแล้ว จึงไปคารวะฮูหยินซูที่เรือนหลัก

                เมื่อเห็นว่าสะใภ้มากันพร้อมแล้ว ฮูหยินซูจิบน้ำชาอกหนึ่งจึงกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถิด”

                 หนนี้เพราะฮูหยินซูเดินทางไปที่จวนด้วยตัวเอง บวกกับเว่ยฉางอิ๋งก็แต่งเข้ามาครบเดือนแล้ว เสิ่นจั้งจู บุตรสาวคนโตของเซียงหนิงปั๋ว ซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ในรุ่นหลานในสายหลักของตระกูลเสิ่นจึงมารอต้อนรับอยู่ที่มุมประตู

                เมื่อนับดูเสิ่นจั้งจูอายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่ดูไปแล้วกลับคล้ายว่าอายุใกล้สี่สิบแล้วเช่นนั้น… ใบหน้ารูปเมล็ดแตงที่ควรจะงดงามเป็นพิเศษนั้นกลับมีความกลัดกลุ้มปกคลุมอยู่เต็มไปหมด หางตารูปเมล็ดท้อทั้งคู่ที่คาดว่าก่อนนี้เคยสุกสว่างก็ตกลงมาเสียแล้ว ดวงตาที่เป็นประกายแวววาวดังธารน้ำในฤดูใบไม้ร่วงทั้งคู่  ยามนี้กลับคล้ายว่าเหือดแห้งไปหมดแล้วเช่นนั้น เผยให้เห็นเพียงความเคว้งคว้างและเปล่าเปลี่ยว….            แม้จะออกมาต้อนรับแขกผู้ใหญ่ทว่ากลับยังมองเห็นถึงความโศกเศร้าอาดูรได้อย่างชัดเจน

                ความโศกเศร้าอาดูรชนิดนี้ของนางกลับไม่เหมือนกับของสนมจง สนมจงนั้นมีความเศร้าสร้อยบางเบาที่ผสานอยู่ในความงดงาม ซึ่งความเหงาเศร้านั้นกลับยิ่งทำให้มีเสน่ห์ ส่วนเสิ่นจั้งจูนั้นกลับเป็นความกลัดกลุ้มที่จริงแท้และท่วมท้นดังผืนทะเล

                ด้วยตนเป็นม่าย นางจึงสวมเสื้อผ้าที่ราบเรียบเป็นอย่างมาก เสื้อส้างหรูคอป้ายสีขาวนวลจันทร์ กระโปรงหลัวฉวินสีน้ำทะเล เกล้าผมทรงผานหวนจี้ โดยมวยผมซึ่งขดเป็นวงกลมนั้นโน้มมาข้างหน้าศีรษะเล็กน้อย ปักปิ่นแบนสองด้ามไว้บนมวยผม ตั้งแต่เสื้อผ้าจนถึงปิ่นปักผมล้วนไม่มีลวดลายใดๆ

                จะว่าไปแล้วฮูหยินซูก็เป็นท่านป้าใหญ่ของนาง ทว่ากลับดูสาวกว่านางมากนัก… เมื่อฮูหยินซูมองเห็นหลานสาวที่มีสภาพดังนี้ จึงอดจะปวดใจยิ่งนักไม่ได้ พลันเข้าไปกุมมือนางแล้วเอ่ยถามว่าระยะนี้นางเป็นเช่นใดบ้างด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                เสิ่นจั้งจูกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างจืดจางว่า “ขอบคุณที่ท่านป้าใหญ่เป็นห่วง ข้าสบายดีทุกประการเจ้าค่ะ”

                ฮูหยินซูถอนหายใจ กล่าวว่า “เจ้าเองก็เปิดใจให้กว้างสักหน่อย ไม่มีเรื่องใดในใต้หล้านี้ที่จะผ่านพ้นไปไม่ได้… อย่าทำให้ตนเองต้องลำบากเกินไป ยามนี้เจ้าอยู่ที่บ้านตนเอง ทุกเรื่องล้วนจัดการเองได้ เรื่องที่ทำไม่ได้ ก็จะมีผู้ใหญ่เช่นพวกเราคอยจัดการให้เจ้า”

                “ท่านป้าใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ” เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งจูไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของตนเองมากนัก… นางจึงพูดกลบเกลื่อนไปดังนั้นประโยคหนึ่ง แล้วหันมาทักทายกับนางหลิว นางตวนมู่ และเว่ยฉางอิ๋ง แล้วเอ่ยถึงภรรยาที่เสิ่นจั้งฮุยกำลังจะแต่งงานด้วย และปรากฏว่าเป็นดังที่นางหวงคาดการณ์เอาไว้จริงๆ “ก่อนหน้านี้ ครั้งน้องสามแต่งงานกับน้องสะใภ้สาม ก็ได้เตรียมของชุดหนึ่งเอาไว้ให้น้องสี่แล้วเจ้าค่ะ เรื่องอื่นๆ นั้น ท่านพ่อบอกว่าให้ล้วนทำตามของน้องสามเจ้าค่ะ ยามนี้ของส่วนมากล้วนเป็นท่านพ่อสั่งคนไปซื้อหามาด้วยตนเอง ข้าล้วนมิได้แตะต้องผ่านมือเลยแต่อย่างใด… ยามท่านพ่อเข้าวังวันนี้ก็นำสมุดบัญชีและรายนามแขกเหรื่อวางไว้ที่ศาลาในสวนหมดแล้ว ไปดูยามนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”

                ฮูหยินซูจึงเอ่ยได้แต่เพียงว่า “เช่นนั้นก็ไปดูเถิด”

                เมื่อถึงศาลากลางสวน เสิ่นจั้งจูก็ให้คนยกน้ำชามา แต่ไม่ยอมแตะต้องสมุดต่างๆ เพียงแต่แนะนำของแต่ละอย่างแก่ฮูหยินซูไปตามที่เสิ่นโจ้วสั่งความไว้เท่านั้น ด้วยเหตุที่เป็นตระกูลเลื่องชื่อระดับสูงสุดในเขตทะเล ทั้งยังเป็นสะใภ้คนแรกของตระกูลในสายของเสิ่นโจ้ว เป็นสะใภ้คนโตในอนาคต ดังนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย   การคัดสิ่งของต่างๆ ในพิธี ย่อมต้องไม่ให้น้อยหนากว่าตอนที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมาเลยแม้แต่น้อย

                ครั้งเว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าบ้าน เพราะนางเป็นสะใภ้ใหม่จึงได้แต่นั่งอยู่ในเกี้ยวและมีคนหามเข้าประตูมา… เรื่องที่บ้านเสิ่นต้องลงมือลงแรงจัดงานไปเท่าใดบ้างนั้นนางกลับไม่รู้เลย ยามนั้นนั่งฟังเสิ่นจั้งจูสาธยายเรื่องสิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นต้องตระเตรียมออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อนมาหนึ่งชั่วจอกน้ำชาเต็มๆ แล้วนางยังบอกอีกว่า “ท่านพ่อกล่าวว่านอกเหนือจากนี้ ท่านเองก็ไม่ใคร่เข้าใจนักแล้ว จึงต้องขอให้ท่านป้าใหญ่ช่วยเสริมให้ด้วยเจ้าค่ะ”

                ฮูหยินซูก็กล่าวว่า “ของใหญ่ๆ ต่างๆ ส่วนมากก็ครบถ้วนแล้ว หรือต่อให้ขาดเหลือไปบ้าง ก็สามารถเอาของจากงานของเฟิงเอ๋อร์และฉางอิ๋งมาใช้ได้ จึงล้วนไม่เป็นไร ส่วนของเล็กๆ น้อยๆ ยังขาดอยู่มาก หากจะจัดหามาให้ครบครันก็ต้องใช้แรงมากสักหน่อย อี๋เอ๋อร์เจ้าเข้ามาจดเอาไว้สักหน่อย…”

                จากนั้นฮูหยินซูจึงพูดทีละเรื่อง ทีละเรื่องออกมาอีกอยู่ค่อนชั่วยาม เมื่อพูดจบแล้ว เสิ่นจั้งจูก็ยังเอ่ยเตือนถึงอีกสองสามเรื่อง และนางหลิวก็จดลงไปอีก… เว่ยฉางอิ๋งนั่งฟังอยู่ข้างๆ จนหัวหมุนตาลายไปหมด ลอบถอนหายใจว่าเรื่องแต่งงานของตระกูลใหญ่นี่ไม่ง่ายเอาเสียเลยจริงๆ …แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งจูที่ดูอิดโรยยิ่งนักผู้นี้กลับมีความจำที่ดีเหลือเกิน เรื่องต่างๆ ที่ฮูหยินซูพูดยังไม่มากเท่าที่นางพูด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังให้นางหลิวเอาพู่กันมาจดไว้ ด้วยกลัวว่าความอัปโชคของตนจะส่งผลร้ายต่อน้องชายจึงไม่กล้าแตะต้องสมุดใดๆ แต่กลับท่องออกมาได้โดยไม่ตกหล่นแม้สักเรื่อง… จะว่าไปก็เป็นเพราะโชคชะตาจริงๆ หากซูอวี๋เซี่ยนไม่ได้ล้มป่วยจนตาย คาดว่าเสิ่นจั้งจูผู้เป็นฮูหยินน้อยรองตระกูลซูผู้ก็คงจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมีความสามารถยิ่ง จักต้องไม่ได้อยู่ในสภาพแก่ก่อนวัยอันควรเช่นนี้แน่

                เป็นเช่นนี้ไปจนถึงเที่ยง ก็ยังคงหารือกันว่ายังต้องซื้อของใดมาเพิ่มอีก โชคดีที่งานแต่งงานของเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งผ่านไปไม่นาน ฮูหยินซูและนางหลิวล้วนยังไม่ได้ลืมเรื่องต่างๆ ที่เคยผ่านมือ จึงสามารถจัดการบัญชีรายการข้าวของได้เสร็จเรียบร้อยก่อนอาหารเที่ยง เสิ่นจั้งจูมองดูรายการข้าวของอยู่ห่างๆ จนหมดแล้ว จึงให้คนไปเรียกแม่บ้านที่ดูแลอาคารพิธีแต่งงานเข้ามาให้ฮูหยินซูสั่งความ

                เมื่อสั่งให้พวกพ่อบ้านออกไปแล้ว ก็รับประทานอาหารเที่ยงกันที่จวนเซียงหนิงปั๋ว จากนั้นฮูหยินซูจึงบอกให้สะใภ้รองและสะใภ้สามที่ตลอดครึ่งวันเช้ายังไม่ทันเรียกให้ทำเรื่องใด ทั้งยังไม่ได้แตะต้องสมุดสักเล่มกลับไปก่อน “ในจวนของเราก็ไม่มีใครคอยดู พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ที่นี่ให้พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นผู้ช่วยข้าก็พอแล้ว”

                ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะฮูหยินซูไว้หน้าเหล่าสะใภ้ นางไม่บอกว่าจนทุกวันนี้นางตวนมู่ยังไม่มีบุตรชาย ส่วนเว่ยฉางอิ๋งก็เพิ่งแต่งเข้าบ้านไม่นานและตัวนางเองก็ยังอายุน้อยเกินไป จึงให้พวกนางนั่งอยู่ด้วยจนถึงเวลานี้เท่านั้น และหาทางลงให้พวกนางได้กลับไปเสีย

                นางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ อย่างไรเสียเว่ยฉางอิ๋งก็แต่งเข้ามาไม่นาน จึงมิได้ใส่ใจใดๆ ทว่านางตวนมู่กลับออกแรงทึ้งผ้าเช็ดหน้า… เพราะเรื่องที่บ้านสองไร้บุตรชายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ดีอยู่เต็มอก แม้จะเตรียมใจเอาไว้นานแล้วทว่าก็ยังอดจะเป็นเสียใจไม่ได้เมื่อมีคนรื้อฟื้นขึ้นมา

                ทั้งสองคนลุกขึ้นน้อมรับ กำลังจะกล่าวคำอำลา เสิ่นจั้งจูกลับดูเหมือนว่าจะนึกบางสิ่งขึ้นได้ จึงรีบบอกว่า “ท่านป้าใหญ่ น้องสะใภ้รองแต่งเข้าบ้านมานานปี คิดว่าเรื่องทางจวนของท่านป้ามีน้องสะใภ้รองคนเดียวดูแลก็คงจะได้แล้ว เช่นนั้นก็ให้น้องสะใภ้สามอยู่คอยช่วยท่านป้าใหญ่เถิด เพื่อมิให้มีพี่สะใภ้ใหญ่อยู่เพียงผู้เดียวแล้วจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเจ้าค่ะ”

ฮูหยินซูตกตะลึง ในใจนางรู้สึกสงสารหลานสาวผู้นี้มาโดยตลอด จึงไม่ไปตำหนิเสิ่นจั้งจูในเรื่องนี้ ดังนั้นแม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจ แต่ก็ยังบอกไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉางอิ๋งเจ้าก็อยู่ต่อเถิด”

นางตวนมู่ขบริมฝีปากล่าง คำนับแล้วว่า “เช่นนั้นสะใภ้กลับก่อนนะเจ้าคะ”

เพราะเสิ่นจั้งจูเอ่ยปากต่อหน้าว่าจะให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่แต่กลับไม่รั้งให้นางตวนมู่อยู่ด้วย ทำให้สถานการณ์ออกจะน่าอึดอัดใจ นางจึงลุกขึ้นแล้วว่า “ข้าจะไปส่งน้องสะใภ้รองสักหน่อยเจ้าค่ะ” แล้วออกไปพร้อมกับนางตวนมู่ และถือเป็นการอธิบายและขอขมาไปพร้อมกันด้วย

รอจนพวกนางออกประตูไป นางหลิวจึงยิ้มพลางว่า “น้องสะใภ้สามและน้องสามรักใคร่กันมาโดยตลอด คำขอนี้คงจะเป็นบ้านเผยเป็นฝ่ายเสนอมากระมัง? ด้วยหวังให้หลังคุณหนูบ้านของพวกเขาแต่งเข้ามาแล้วจะได้รักใคร่ปรองดองกับน้องสี่เช่นเดียวกัน”

ฮูหยินซูแย้มยิ้ม… ความรักใคร่ของสามีภรรยาบ้านสามนั้นนางก็รู้อยู่ ทว่าในสายตาของฮูหยินซูแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านมาไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าหากสามีไม่รักไม่ห่วงก็แย่เต็มทนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นในความคิดของฮูหยินซู ผู้ที่มาเป็นภรรยาของสามีซึ่งเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียมประเพณีอย่างเสิ่นจั้งเฟิงบุตรชายคนที่สามของตนนั้น ขอเพียงไม่ทำเรื่องเลอะเลือนใหญ่โต ก็จะไม่มีทางอยู่อย่างไม่เป็นสุขหรอก วันนี้จะแต่งสะใภ้ หาใช่แต่งบุตรสาวออก เสิ่นจั้งฮุยต้องการทำเหมือนเสิ่นจั้งเฟิง แล้วไยต้องให้เว่ยฉางอิ๋งมาคอยจัดการเรื่องงานแต่งด้วย มิใช่ว่าไปขอคำชี้แนะจากเสิ่นจั้งเฟิงที่จวนก็สิ้นเรื่องหรอกหรือ… ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงเอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “บางทีเพียงแค่จั้งจูมีใจกตัญญู”

นางหลิวรีบกล่าวว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้อง สะใภ้เพียงแค่เย้าน้องสะใภ้สามเล่นเท่านั้นเจ้าค่ะ”

หลายวันมานี้เว่ยฉางอิ๋งคุ้นเคยกับพฤติกรรมคอยจ้องหาทุกโอกาสมากระแนะกระแหนตนของพวกพี่สะใภ้เสียแล้ว จนตอนนี้นางเองก็คร้านจะไปคิดมากว่านางหลิวกล่าวเช่นนี้ด้วยเจตนาใด แต่กลับฉวยโอกาสนี้ขอคำชี้แนะขึ้นมาว่า “ข้ายังไม่รู้ว่าน้องสี่จะแต่งกับคุณหนูท่านใดของตระกูลเผยเลยเจ้าคะ?”

นางหลิวเห็นว่าฮูหญินซูกำลังจดจ่ออยู่กับสมุดบัญชีรายการของ คล้ายไม่มีท่าทีจะตอบด้วยตนเอง จึงกล่าวไปว่า “น้องสะใภ้สามเพิ่งแต่งเข้าบ้าน พวกเราก็กลับลืมบอกกับเจ้าไป น้องสี่จะแต่งกับคุณหนูห้าบ้านเผย นามว่าเหม่ยเหนียง”

                “ภายในพระราชวังวานนี้ ข้าก็เห็นบรรดาสตรีสูงศักดิ์ของตระกูลเผย คล้ายว่าในนั้นจะไม่มีคุณหนูห้า?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว

                “คงเพราะรู้ว่าพวกเราก็จะไปด้วย แล้วกลัวจะอายน่ะสิ” นางหลิวยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “แรกเริ่มนั้นก่อนที่จะกำหนดเรื่องงานแต่งครั้งนี้ ยังเป็นท่านแม่ที่เดินทางไปดูตัวให้น้องสี่ด้วย หลังจากนั้นคุณหนูเผยห้าก็เอาแต่คอยหลบหน้าหลบตาท่านแม่ตลอดมา อย่างไรพวกคุณหนูก็คงจะหน้าบาง”

                 คุณหนูตระกูลใหญ่ไม่ใช่สตรีชั้นสูง ดังนั้นหากไม่มาจึงไม่จำเป็นต้องขออนุญาตลา

                เดิมทีนั้นเว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าตระกูลเผยไม่มีคุณหนูห้า หรือคุณหนูห้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเสียอีก ไม่คิดว่ากลับเป็นเพราะนางอายที่จะพบหน้าท่านป้าของว่าที่สามี

                เมื่อคิดถึงว่าพอคุณหนูเผยห้าผู้นี้แต่งเข้ามาแล้วก็จะต้องมาเป็นนายหญิงของจวนเซียงหนิงปั๋ว แต่กลับเป็นคนขี้อายเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี บอกไปว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ ไม่คิดมาก่อนว่าว่าที่น้องสะใภ้สี่จะขี้อายเช่นนี้”

                 ขณะนั้นเอง เสิ่นจั้งจูไปส่งนางตวนมู่กลับมาแล้วและได้ยินเข้าพอดี นางจึงยิ้มหนหนึ่งแล้วช่วยอธิบายแทนคุณหนูห้าเผยว่า “ความจริงแล้ววานนี้เหม่ยเหนียงก็ไม่ได้จงใจหลบหน้าท่านป้าใหญ่และพวกเจ้า แต่กลับเป็นเพราะว่าสองวันก่อนนางวางน้ำแข็งไว้ในห้องตอนกลางคืนมากเกินไปหน่อย จึงมีอาการไอเล็กน้อย”

                เดิมที่เว่ยฉางอิ๋งและนางหลิวเพียงพูดจาเป็นเรื่องขำขัน และมิได้ประสงค์ร้ายอันใด เมื่อเสิ่นจั้งจูมาได้ยินเข้าและอธิบายให้ฟัง จึงวางตัวไม่ถูกขึ้นมา และพากันขอขมาด้วยอาการเลิ่กลั่ก “เป็นพวกเราพูดมากเอง และคาดเดาว่าที่น้องสะใภ้สี่ไปส่งเดช”

                เสิ่นจั้งจูกล่าวอย่างเกรงใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่และน้องสะใภ้สามโปรดอย่าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ว่าไปเช่นนั้นเอง ความจริงแล้วว่าที่น้องสะใภ้สี่ผู้นี้ยังมิทันแต่งเข้าบ้าน แท้ที่จริงเป็นคนเช่นใด ข้าเองก็ไม่รู้ แต่คิดว่าเมื่อเป็นคนที่ท่านแม่หมายตาไว้อย่างไรก็จะไม่ย่ำแย่เป็นแน่”

                ดังนั้นแล้วทั้งนางหลิว เว่ยฉางอิ๋งและฮูหยินซูจึงได้ขอขมา

                ฮูหยินซูเปิดสมุดดูพลางว่า “หากเป็นการพูดจาล้อเล่นระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็มิเป็นไร แต่อย่าให้เกินเลยไปเป็นพอแล้ว” เมื่อฟังแล้วไม่เหมือนกำลังโกรธ สะใภ้ทั้งสองคนจึงได้โล่งอก

                ฮูหยินซูถามเสิ่นจั้งจูขึ้นมาอีกว่า “ฉางอิ๋งอายุยังน้อย ทั้งไม่มีประสบการณ์ใด เจ้าให้นางอยู่ต่อเกรงว่าคงจะทำได้แค่รินน้ำชาให้พวกเราเท่านั้น” เมื่อครู่นี้ทั้งนางหลิวและฮูหยินซูเพิ่งจะคาดเดากันไปดังนั้น ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อได้ยินฮูหยินซูเอ่ยถามในตอนนี้ขึ้นมา จึงอดจะตั้งหูคอยฟังไม่ได้

                เสิ่นจั้งจูยิ้มอย่างขัดๆ เขินๆ หนแล้วหนเล่า กล่าวว่า “เช้านี้ท่านพ่อเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง… ว่าน้องสะใภ้สามเป็นคนมีวาสนาดี ดังนั้นข้าจึงคิดจะให้น้องสะใภ้สามมาช่วยสักหน่อย จะได้ทำให้น้องสี่และน้องสะใภ้สี่พลอยได้รับวาสนาดีจากน้องสะใภ้สามไปด้วยเจ้าค่ะ”

                นางเองก็รู้สึกว่าเมื่อเอ่ยออกไปย่อมอดจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งวางตัวไม่ถูกขึ้นมาไม่ได้ นางยิ่งพูดจึงยิ่งเสียงเบาลงทุกที… ในหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดงอยู่เป็นนานและไม่สงบลงเสียที นั่นเพราะ วาสนาดี แม้จะเป็นคำดี แต่ที่เสิ่นโจ้วคิดเห็นว่าวาสนาดีนั้น… คงเพราะกำลังเอ่ยถึงเรื่องที่ครั้งนางเจอคนลอบทำร้ายที่เฟิ่งโจวก็สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วภายหลังก็ยังได้พบกับเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นสามีที่ไม่รังเกียจนางเช่นนี้อีกกระมัง?

                สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง ทว่าเพราะเหตุใด… เมื่อได้ยินว่าท่านอารองเสิ่นโจ้วผู้นี้เป็นคนเอ่ย เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าเรื่องที่เขาต้องการพูดจริงๆ นั้นไม่ใช่วาสนาดี หากแต่คือ… มีโชคไม่เลวที่สามารถทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นมงคลได้ กันนะ? คงไม่ได้เห็นว่าตนเป็นเครื่องรางป้องกันภัยเรียกโชคลาภหรอกนะ… เอ่อ… ช่างเถิด เพราะทั้งแม่สามีและพี่สะใภ้ใหญ่ก็ล้วนอยู่ที่นี่ด้วย อย่างไรก็อย่าคิดต่อไปอีกเลย…

                ดังนั้น เว่ยฉางอิ๋งจึงฝืนยิ้มหนหนึ่ง “ท่านอาและพี่หญิงใหญ่เล็งเห็นบางสิ่งในตัวข้า แล้วข้าจะกล้าอู้งานได้ที่ใดเจ้าคะ? เพียงแต่ข้าอายุยังน้อย ล้วนยังไม่เข้าใจสิ่งใดๆ จึงหวังว่าท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่จะชี้แนะข้าให้มากด้วยเจ้าค่ะ”

_______________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด