ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 204-1 ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องชังข้านัก

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 204-1 ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องชังข้านัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่ออันดับหนึ่งในเขตทะเลมีฝีมือเหนือชั้น …ประเด็นหลักคือมีหวังจะทำให้เว่ยเจิ้งหงหายป่วยได้ ข่าวนี้สะนั่นสะเทือนประหนึ่งฟ้าฝ่ากลางวันแสกๆ ลงกลางหัวทุกผู้ทุกคน!

จวนเว่ยในเมืองหลวง เว่ยเซิ่งอี๋อ่อนปวกเปียกลงกับที่นั่ง ดวงตามองเหม่อขึ้นไปบนคานบ้าน หากมิใช่เพราะทรวงอกยังคงขยับขึ้นลง ทั้งตัวเขาก็ซังกะตายประหนึ่งคนที่ตายแล้วเช่นนั้น

หลังจากเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยพี่น้องได้ยินข่าวก็รีบพากันมาหา เมื่อมาเห็นภาพนี้ น้ำตาก็อดจะร่วงลงมาไม่ได้ ต่างลงคุกเข่าตรงหน้าเขา เขย่าแขนเขา “ท่านพ่อ! ท่านพ่อขอรับ! เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อบ้านเรายิ่งนัก ท่านต้องรักษาตัวให้ดีนะขอรับ!”

“รักษาตัว? จะยังรักษาตัวได้อย่างไรอีก?” เว่ยเซิ่งอี๋ท้อถอยเพียงนี้ ได้แต่ปล่อยให้บุตรชายทั้งสองดึงแขนเสื้อตน แต่ยังคงเหม่อมองไปบนหัว เอ่ยอย่างโรยแรงว่า “แม่ใหญ่เพียรพยายามข่มพวกเรา ใจของท่านพ่อก็โน้มเอียงไปทางบ้านใหญ่ ความชอบที่ข้าต้องต่อสู้เพียงลำพังอย่างอยากลำบากในเมืองหลวงมาเกือบยี่สิบปี และต้องทนทุกข์กับแผนการนับร้อยนับพันของแม่ใหญ่ … ทว่าพวกเจ้าก็เห็นแล้ว ที่สุดแล้วข้าได้สิ่งใดตอบแทน? มิใช่คำมั่นสัญญา มิใช่การรับรองจากท่านปู่ของพวกเจ้า กระทั่งคำปลอบโยนก็ยังเพียงแค่คำพูดผิวเผินไม่กี่คำ …กระทั่งยังมีเว่ยซินหย่งอีกคน! ยามนี้ แม้แต่พี่ใหญ่ก็จะหายป่วยแล้ว สายของพวกเรานอกจากนับวันรอความตายแล้วยังทำสิ่งใดได้อีก?”

“ท่านย่าข่มเหงพวกเราบ้านสองสาหัสเกินไปแล้ว!” เว่ยฉางอวิ๋นยังคงรู้สึกผิดเรื่องที่ครั้งนั้นตนเองไม่ระวังไปแพร่งพรายเรื่องจะให้รับบุตรบุญธรรม จนทำให้ท่านย่าจับผิดบิดาของตนได้ นับแต่นั้นมาจึงหาทางป้องกันและข่มบ้านสองเอาไว้ทุกวิถีทาง เมื่อมาเห็นภาพนี้ในยามนี้ ยิ่งรู้สึกเสียใจและชิงชังเป็นหนักหนา ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและกล่าวอย่างชิงชังว่า “หากมิใช่ว่าท่านพ่อตรากตรำต่อสู้มาตลอดหลายสิบปีนี้ แล้วรุ่ยอวี่ถังจะมีวันรุ่งโรจน์เช่นยามนี้หรือ? ท่านปู่ท่านย่ากลับไม่เคยคำนึงถึงความชอบและความลำบากของท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่มอบรุ่ยอวี่ถังให้ท่านพ่อสืบทอด กระทั่งยังคิดจะถอนรากถอนโคนอีก …ในเมื่อเป็นดังนี้มิสู้พวกเราทุกคนลุกขึ้นสู้ตายกับพวกเขาเสียเลย!”

เว่ยเซิ่งอี๋เอ่ยอย่างสิ้นหวังว่า “สู้ตายอันใดกับเขา? หึๆ …พวกเขาอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว ทางเมืองหลวงนี้ก็มีเพียงพวกสตรีกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทำให้มันตายแล้วจะอย่างไร? เว่ยเจิ้งหง เว่ยฉางเฟิง คนใดที่ไม่ได้รับการคุ้มกันประหนึ่งอยู่ในกำแพงเหล็กกล้า? หาไม่แล้วยังต้องให้พวกเจ้ามาเตือนสติข้าอีกหรือ?”

“ท่านพ่อขอรับ เวลานี้เว่ยเจิ้งหงยังไม่หายดี เพียงแค่สังหารจี้ชวี่ปิ้ง…” เว่ยฉางอวิ๋นเอ่ยเสียงหนัก “จี้ชวี่ปิ้งมีชื่อมาหลายปี ในเขตทะเลนี้ไม่เคยมีวิชาแพทย์ของผู้ใดทัดเทียมได้! ขอเพียงสังหารเขาเสีย เว่ยเจิ้งหงก็จะไม่มีวันหายแล้ว!” เขาเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นังแก่ซ่งซินโหรวมิใช่เห็นว่าสายเลือดแท้ๆ ของนางเป็นดังชีวิตหรือ? หากรู้ว่าเว่ยเจิ้งหงมีโอกาสจะหายได้อีก แต่กลับต้องมีอันล้มเหลว ก็ไม่รู้ว่านังแก่นั่นอายุปูนนี้แล้ว จะยังทานรับเรื่องสะเทือนใจได้อีกหรือไม่? หากวันใดนังแก่นี่ตายแล้ว เจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงหรือจะมีปัญญามาต่อสู้อันใดกับท่านพ่อ?”

เว่ยเซิ่งอี๋ได้ฟังดวงตาพลันสว่างวาบขึ้นมาก่อน จากนั้นก็หม่นมองลงไป หัวเราะหยันตนเองว่า “เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งล้วนอยู่ที่เมืองหลวง กำลังคนในมือพวกนางก็นับว่าไม่น้อยแล้ว ยิ่งไม่ต้องบอกว่าบ้านฝั่งสามีพวกนางต้องยื่นมือมาช่วยเหลือ ยามนี้เจ้าข้าพ่อลูกตกต่ำเพียงนี้ จะไปสังหารจี้ชวี่ปิ้งได้อย่างไร?”

“ยังมีฮ่องเต้นะขอรับ!” ในเมื่อเว่ยฉางอวิ๋นพูดคำเช่นนี้ออกมา เขาย่อมคิดมาก่อนแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อโปรดคิดดู ฮ่องเต้ทรงหวั่นเกรงพวกเราตระกูลสูงศักดิ์มาแต่ไร หากรู้ว่าเว่ยเจิ้งหงกำลังจะหายป่วย รุ่ยอวี่ถังจะต้องกลับมารุ่งโรจน์! ฮ่องเต้หรือจะอยากเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น?!”

 “…แล้วฮ่องเต้จะสามารถไม่ทรงอนุญาตให้จี้ชวี่ปิ้งไปรักษาเว่ยเจิ้งหงที่เฟิงโจวได้หรือ?” เว่ยเซิ่งอี๋ตะลึงพลางโพล่งออกไป

เว่ยฉางอวิ๋นเอ่ยเสียงต่ำว่า “ต่อหน้าฮ่องเต้ย่อมไม่ทำเช่นนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจมีการเคลื่อนไหวใดกระมังขอรับ?”

แต่ก็ยังคงวกกลับมาคุยกันเรื่องเดิม “เสิ่นและซูสองตระกูลต้องยื่นมือเข้าช่วย ต่อให้ถึงยามนั้น ฮ่องเต้ทรงลอบส่งราชองครักษ์ลับออกไปจากเมืองหลวง ก็ยังเกรงว่าจะคว้าน้ำเหลวเลย!” หากส่งกำลังคนไปน้อย องครักษ์ของทั้งสองตระกูลก็ล้วนเก่งกล้าสามารถเสียยิ่งนัก ไม่แน่ว่ายังจะกลายเป็นการให้ความชอบเรื่อง ‘ปราบโจรร้าย’ แก่พวกเขาเสียอีก หากส่งไปมาก พวกตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ก็หาใช่คนที่ตายแล้วไม่

ยามนี้พวกเขาเคารพนบนอบต่อราชสำนัก ก็ด้วยประการแรกอิทธิพลของต้าเว่ยยังไม่สิ้น ประการที่สองต้าเว่ยก็ให้อภิสิทธิ์นานาแก่พวกเขาเสียยิ่งนัก หากฮ่องเต้ทรงทำเรื่องที่ต้องการให้บุตรชายคนโตของเว่ยฮ่วนตายอย่างเปิดเผยจริงๆ ก็เกรงว่าเหล่าตระกูลสูงศักดิ์จะต้องไปอยู่ข้างตระกูลเว่ย แล้วผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะทำการใด?

ขอเพียงฮ่องเต้ยังไม่ทรงวิปลาสย่อมไม่ทำเช่นนี้แน่ แต่เมื่อไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะทำสิ่งใดกับจี้ชวี่ปิ้งได้?

ทว่าหากเว่ยฉางอวิ๋นไม่ลองดูสักหน่อยเขาก็จะไม่ยอมใจ จึงกล่าวว่า “นอกจาก ฮ่องเต้แล้ว ก็ยังมีตระกูลหลิว และจือเปิ่นถังที่จะต้องไม่อยากเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้น! บางทีจือเปิ่นถังอาจไม่มีความสามารถพอในยามนี้ แต่ตระกูลหลิวเล่า? จากเมืองหลวงไปถึงเฟิ่งโจวก็ต้องเดินทางจากเมืองทางเหนือเข้าไป ที่นั้นห่างจากตงหูเพียงแม่น้ำกั้นเท่านั้น หากตระกูลหลิวปล่อยให้พวกรงจำนวนหนึ่งเข้ามา …หรือว่า …เพราะอย่างไรก็ตามเมื่อเว่ยเจิ้งหงหายดีแล้ว ก็จะต้องไปตามไล่เรียงเอาความกับตระกูลหลิวให้แก่บุตรชายและบุตรสาวของตนเป็นแน่! เพราะตระกูลหลิวทางสายของเวยหย่วนโหว เคยวางแผนลอบสังหารบุตรชายและบุตรสาวของเขา! ส่วนทางสายของสมุหกลาโหมก็เคยสร้างข่าวลือให้ชื่อเสียงบุตรสาวของเขาเสียหาย! ต่อให้เมื่อเว่ยเจิ้งหงหายดีแล้วจะมีบุตรธิดาคนอื่นอีก ทว่าจะไม่มาสนใจเรื่องที่บุตรชายและบุตรสาวตอนถูกข่มเหงรังแกได้หรือขอรับ?”

เว่ยเซิ่งอี๋มีสติกลับคืนมา ดวงตาสงบนิ่งพลางใคร่ครวญ

เว่ยฉางซุ่ยที่ฟังพี่ชายคนโตและบิดาสนทนามาโดยตลอดเอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “แต่ก็ไม่ทราบว่าสถานการณ์ของท่านลุงใหญ่เป็นเช่นใดบ้าง หากท่านพ่อไปเล่าเรื่องต่างๆ ที่พวกเราต้องประสบมาในหลายปีนี้แก่ท่านลุงใหญ่ ขอให้ท่านลุงใหญ่ไปขอร้องต่อท่านย่าให้แก่บ้านเรา…” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ถูก เว่ยฉางอวิ๋นตบหน้าเอาหนักๆ คราวหนึ่ง ตบเขาเสียจนมองเห็นดาวไปหมด…

ท่ามกลางความสับสนมึนงงนั้น ได้ยินเพียงเว่ยฉางอวิ๋นตวาดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ? ถึงกับคิดจะไปขอความเห็นใจจากบ้านใหญ่? เจ้าคงไม่ได้ลืมแล้วว่าตลอดหลายปีมานี้บ้านเราถูกซ่งซินหร่วนกดขี่ข่มเหงจนเป็นเช่นใด? เจ้าลืมแล้วหรือว่าท่านแม่เสียไปอย่างไร? ยังไม่ทันพ้นกำหนดไว้ทุกข์เลย เจ้ากลับคิดจะไปขอความเห็นใจจากศัตรูแล้ว! หากเจ้ายังกล่าววาจาเช่นนี้อีก ก็อย่าโทษว่าข้าไร้ความเมตตา!”

เว่ยฉางซุ่นฝืนหยัดตัวยืน กำลังจะโต้แย้ง ก็ได้ยินว่ามีบ่าววิ่งเข้ามาจากข้างนอก และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองบรรดานายที่กำลังสับสนอลหม่านกันอยู่ พลางรายงานไปอย่างระมัดระวังว่า “นายท่านหกมาขอรับ นายท่านจะพบหรือไม่ขอรับ?”

“เว่ยซินหย่ง เขามาทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอวิ๋นกำลังโมโหที่น้องชายถึงกับคิดจะไปขอความเห็นใจจากศัตรูที่สังหารมารดา เมื่อได้ยินคำพลันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปบอกเขา ท่านพ่อไม่สบาย ไม่พบ!”

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 204-1 ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องชังข้านัก

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 204-1 ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องชังข้านัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่ออันดับหนึ่งในเขตทะเลมีฝีมือเหนือชั้น …ประเด็นหลักคือมีหวังจะทำให้เว่ยเจิ้งหงหายป่วยได้ ข่าวนี้สะนั่นสะเทือนประหนึ่งฟ้าฝ่ากลางวันแสกๆ ลงกลางหัวทุกผู้ทุกคน!

จวนเว่ยในเมืองหลวง เว่ยเซิ่งอี๋อ่อนปวกเปียกลงกับที่นั่ง ดวงตามองเหม่อขึ้นไปบนคานบ้าน หากมิใช่เพราะทรวงอกยังคงขยับขึ้นลง ทั้งตัวเขาก็ซังกะตายประหนึ่งคนที่ตายแล้วเช่นนั้น

หลังจากเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยพี่น้องได้ยินข่าวก็รีบพากันมาหา เมื่อมาเห็นภาพนี้ น้ำตาก็อดจะร่วงลงมาไม่ได้ ต่างลงคุกเข่าตรงหน้าเขา เขย่าแขนเขา “ท่านพ่อ! ท่านพ่อขอรับ! เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อบ้านเรายิ่งนัก ท่านต้องรักษาตัวให้ดีนะขอรับ!”

“รักษาตัว? จะยังรักษาตัวได้อย่างไรอีก?” เว่ยเซิ่งอี๋ท้อถอยเพียงนี้ ได้แต่ปล่อยให้บุตรชายทั้งสองดึงแขนเสื้อตน แต่ยังคงเหม่อมองไปบนหัว เอ่ยอย่างโรยแรงว่า “แม่ใหญ่เพียรพยายามข่มพวกเรา ใจของท่านพ่อก็โน้มเอียงไปทางบ้านใหญ่ ความชอบที่ข้าต้องต่อสู้เพียงลำพังอย่างอยากลำบากในเมืองหลวงมาเกือบยี่สิบปี และต้องทนทุกข์กับแผนการนับร้อยนับพันของแม่ใหญ่ … ทว่าพวกเจ้าก็เห็นแล้ว ที่สุดแล้วข้าได้สิ่งใดตอบแทน? มิใช่คำมั่นสัญญา มิใช่การรับรองจากท่านปู่ของพวกเจ้า กระทั่งคำปลอบโยนก็ยังเพียงแค่คำพูดผิวเผินไม่กี่คำ …กระทั่งยังมีเว่ยซินหย่งอีกคน! ยามนี้ แม้แต่พี่ใหญ่ก็จะหายป่วยแล้ว สายของพวกเรานอกจากนับวันรอความตายแล้วยังทำสิ่งใดได้อีก?”

“ท่านย่าข่มเหงพวกเราบ้านสองสาหัสเกินไปแล้ว!” เว่ยฉางอวิ๋นยังคงรู้สึกผิดเรื่องที่ครั้งนั้นตนเองไม่ระวังไปแพร่งพรายเรื่องจะให้รับบุตรบุญธรรม จนทำให้ท่านย่าจับผิดบิดาของตนได้ นับแต่นั้นมาจึงหาทางป้องกันและข่มบ้านสองเอาไว้ทุกวิถีทาง เมื่อมาเห็นภาพนี้ในยามนี้ ยิ่งรู้สึกเสียใจและชิงชังเป็นหนักหนา ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและกล่าวอย่างชิงชังว่า “หากมิใช่ว่าท่านพ่อตรากตรำต่อสู้มาตลอดหลายสิบปีนี้ แล้วรุ่ยอวี่ถังจะมีวันรุ่งโรจน์เช่นยามนี้หรือ? ท่านปู่ท่านย่ากลับไม่เคยคำนึงถึงความชอบและความลำบากของท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่มอบรุ่ยอวี่ถังให้ท่านพ่อสืบทอด กระทั่งยังคิดจะถอนรากถอนโคนอีก …ในเมื่อเป็นดังนี้มิสู้พวกเราทุกคนลุกขึ้นสู้ตายกับพวกเขาเสียเลย!”

เว่ยเซิ่งอี๋เอ่ยอย่างสิ้นหวังว่า “สู้ตายอันใดกับเขา? หึๆ …พวกเขาอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว ทางเมืองหลวงนี้ก็มีเพียงพวกสตรีกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทำให้มันตายแล้วจะอย่างไร? เว่ยเจิ้งหง เว่ยฉางเฟิง คนใดที่ไม่ได้รับการคุ้มกันประหนึ่งอยู่ในกำแพงเหล็กกล้า? หาไม่แล้วยังต้องให้พวกเจ้ามาเตือนสติข้าอีกหรือ?”

“ท่านพ่อขอรับ เวลานี้เว่ยเจิ้งหงยังไม่หายดี เพียงแค่สังหารจี้ชวี่ปิ้ง…” เว่ยฉางอวิ๋นเอ่ยเสียงหนัก “จี้ชวี่ปิ้งมีชื่อมาหลายปี ในเขตทะเลนี้ไม่เคยมีวิชาแพทย์ของผู้ใดทัดเทียมได้! ขอเพียงสังหารเขาเสีย เว่ยเจิ้งหงก็จะไม่มีวันหายแล้ว!” เขาเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นังแก่ซ่งซินโหรวมิใช่เห็นว่าสายเลือดแท้ๆ ของนางเป็นดังชีวิตหรือ? หากรู้ว่าเว่ยเจิ้งหงมีโอกาสจะหายได้อีก แต่กลับต้องมีอันล้มเหลว ก็ไม่รู้ว่านังแก่นั่นอายุปูนนี้แล้ว จะยังทานรับเรื่องสะเทือนใจได้อีกหรือไม่? หากวันใดนังแก่นี่ตายแล้ว เจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงหรือจะมีปัญญามาต่อสู้อันใดกับท่านพ่อ?”

เว่ยเซิ่งอี๋ได้ฟังดวงตาพลันสว่างวาบขึ้นมาก่อน จากนั้นก็หม่นมองลงไป หัวเราะหยันตนเองว่า “เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งล้วนอยู่ที่เมืองหลวง กำลังคนในมือพวกนางก็นับว่าไม่น้อยแล้ว ยิ่งไม่ต้องบอกว่าบ้านฝั่งสามีพวกนางต้องยื่นมือมาช่วยเหลือ ยามนี้เจ้าข้าพ่อลูกตกต่ำเพียงนี้ จะไปสังหารจี้ชวี่ปิ้งได้อย่างไร?”

“ยังมีฮ่องเต้นะขอรับ!” ในเมื่อเว่ยฉางอวิ๋นพูดคำเช่นนี้ออกมา เขาย่อมคิดมาก่อนแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อโปรดคิดดู ฮ่องเต้ทรงหวั่นเกรงพวกเราตระกูลสูงศักดิ์มาแต่ไร หากรู้ว่าเว่ยเจิ้งหงกำลังจะหายป่วย รุ่ยอวี่ถังจะต้องกลับมารุ่งโรจน์! ฮ่องเต้หรือจะอยากเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น?!”

 “…แล้วฮ่องเต้จะสามารถไม่ทรงอนุญาตให้จี้ชวี่ปิ้งไปรักษาเว่ยเจิ้งหงที่เฟิงโจวได้หรือ?” เว่ยเซิ่งอี๋ตะลึงพลางโพล่งออกไป

เว่ยฉางอวิ๋นเอ่ยเสียงต่ำว่า “ต่อหน้าฮ่องเต้ย่อมไม่ทำเช่นนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจมีการเคลื่อนไหวใดกระมังขอรับ?”

แต่ก็ยังคงวกกลับมาคุยกันเรื่องเดิม “เสิ่นและซูสองตระกูลต้องยื่นมือเข้าช่วย ต่อให้ถึงยามนั้น ฮ่องเต้ทรงลอบส่งราชองครักษ์ลับออกไปจากเมืองหลวง ก็ยังเกรงว่าจะคว้าน้ำเหลวเลย!” หากส่งกำลังคนไปน้อย องครักษ์ของทั้งสองตระกูลก็ล้วนเก่งกล้าสามารถเสียยิ่งนัก ไม่แน่ว่ายังจะกลายเป็นการให้ความชอบเรื่อง ‘ปราบโจรร้าย’ แก่พวกเขาเสียอีก หากส่งไปมาก พวกตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ก็หาใช่คนที่ตายแล้วไม่

ยามนี้พวกเขาเคารพนบนอบต่อราชสำนัก ก็ด้วยประการแรกอิทธิพลของต้าเว่ยยังไม่สิ้น ประการที่สองต้าเว่ยก็ให้อภิสิทธิ์นานาแก่พวกเขาเสียยิ่งนัก หากฮ่องเต้ทรงทำเรื่องที่ต้องการให้บุตรชายคนโตของเว่ยฮ่วนตายอย่างเปิดเผยจริงๆ ก็เกรงว่าเหล่าตระกูลสูงศักดิ์จะต้องไปอยู่ข้างตระกูลเว่ย แล้วผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะทำการใด?

ขอเพียงฮ่องเต้ยังไม่ทรงวิปลาสย่อมไม่ทำเช่นนี้แน่ แต่เมื่อไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะทำสิ่งใดกับจี้ชวี่ปิ้งได้?

ทว่าหากเว่ยฉางอวิ๋นไม่ลองดูสักหน่อยเขาก็จะไม่ยอมใจ จึงกล่าวว่า “นอกจาก ฮ่องเต้แล้ว ก็ยังมีตระกูลหลิว และจือเปิ่นถังที่จะต้องไม่อยากเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้น! บางทีจือเปิ่นถังอาจไม่มีความสามารถพอในยามนี้ แต่ตระกูลหลิวเล่า? จากเมืองหลวงไปถึงเฟิ่งโจวก็ต้องเดินทางจากเมืองทางเหนือเข้าไป ที่นั้นห่างจากตงหูเพียงแม่น้ำกั้นเท่านั้น หากตระกูลหลิวปล่อยให้พวกรงจำนวนหนึ่งเข้ามา …หรือว่า …เพราะอย่างไรก็ตามเมื่อเว่ยเจิ้งหงหายดีแล้ว ก็จะต้องไปตามไล่เรียงเอาความกับตระกูลหลิวให้แก่บุตรชายและบุตรสาวของตนเป็นแน่! เพราะตระกูลหลิวทางสายของเวยหย่วนโหว เคยวางแผนลอบสังหารบุตรชายและบุตรสาวของเขา! ส่วนทางสายของสมุหกลาโหมก็เคยสร้างข่าวลือให้ชื่อเสียงบุตรสาวของเขาเสียหาย! ต่อให้เมื่อเว่ยเจิ้งหงหายดีแล้วจะมีบุตรธิดาคนอื่นอีก ทว่าจะไม่มาสนใจเรื่องที่บุตรชายและบุตรสาวตอนถูกข่มเหงรังแกได้หรือขอรับ?”

เว่ยเซิ่งอี๋มีสติกลับคืนมา ดวงตาสงบนิ่งพลางใคร่ครวญ

เว่ยฉางซุ่ยที่ฟังพี่ชายคนโตและบิดาสนทนามาโดยตลอดเอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “แต่ก็ไม่ทราบว่าสถานการณ์ของท่านลุงใหญ่เป็นเช่นใดบ้าง หากท่านพ่อไปเล่าเรื่องต่างๆ ที่พวกเราต้องประสบมาในหลายปีนี้แก่ท่านลุงใหญ่ ขอให้ท่านลุงใหญ่ไปขอร้องต่อท่านย่าให้แก่บ้านเรา…” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ถูก เว่ยฉางอวิ๋นตบหน้าเอาหนักๆ คราวหนึ่ง ตบเขาเสียจนมองเห็นดาวไปหมด…

ท่ามกลางความสับสนมึนงงนั้น ได้ยินเพียงเว่ยฉางอวิ๋นตวาดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ? ถึงกับคิดจะไปขอความเห็นใจจากบ้านใหญ่? เจ้าคงไม่ได้ลืมแล้วว่าตลอดหลายปีมานี้บ้านเราถูกซ่งซินหร่วนกดขี่ข่มเหงจนเป็นเช่นใด? เจ้าลืมแล้วหรือว่าท่านแม่เสียไปอย่างไร? ยังไม่ทันพ้นกำหนดไว้ทุกข์เลย เจ้ากลับคิดจะไปขอความเห็นใจจากศัตรูแล้ว! หากเจ้ายังกล่าววาจาเช่นนี้อีก ก็อย่าโทษว่าข้าไร้ความเมตตา!”

เว่ยฉางซุ่นฝืนหยัดตัวยืน กำลังจะโต้แย้ง ก็ได้ยินว่ามีบ่าววิ่งเข้ามาจากข้างนอก และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองบรรดานายที่กำลังสับสนอลหม่านกันอยู่ พลางรายงานไปอย่างระมัดระวังว่า “นายท่านหกมาขอรับ นายท่านจะพบหรือไม่ขอรับ?”

“เว่ยซินหย่ง เขามาทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอวิ๋นกำลังโมโหที่น้องชายถึงกับคิดจะไปขอความเห็นใจจากศัตรูที่สังหารมารดา เมื่อได้ยินคำพลันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปบอกเขา ท่านพ่อไม่สบาย ไม่พบ!”

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+