ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 206 การตัดสินใจ

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย Chapter บทที่ 206 การตัดสินใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206 การตัดสินใจ

บทที่ 206 การตัดสินใจ

“ไม่มีอะไรขอรับ ข้าน่าจะกินเร็วเกินไปหน่อยก็เลยรู้สึกร้อนน่ะขอรับ” สวีเฉิงเจ๋อพูดพลางใช้หลังมือทาบหน้า ใบหน้าของเขาทั้งแดงทั้งร้อน

“เด็กคนนี้ เหตุใดจึงกินเร็วเยี่ยงนี้ ไม่มีใครแย่งเจ้ากินเสียหน่อย เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเจ้ากินเร็วขนาดนี้มาก่อน” ฮูหยินสวีตักเตือน

“อาจารย์น้อยสวีน่าจะรู้สึกว่ากับข้าวอร่อยมากกระมังขอรับ” กู้หนิงอันที่อยู่อีกด้านเอ่ยเคล้ารอยยิ้ม แล้วแก้ตัวให้สวีฉิ่งเจ๋อ

คาดว่าน่าจะมีแค่กู้หนิงอันที่เดาออกว่า เหตุใดสวีเฉิงเจ๋อถึงกินข้าวเร็วแบบนั้น

เพราะฝีมือของพี่สาวตัวเองดีน่ะสิ อีกทั้งยังชอบสรรหาของที่พวกเขาไม่เคยกินมาทำให้พวกเขากินอยู่เรื่อย สวีเฉิงเจ๋อเป็นคนชอบกิน เดิมทีครั้งนี้สวีเฉิงเจ๋อก็คิดตามตัวเองกลับหมู่บ้านด้วยกัน เพียงแต่ในวันต่อมาดันติดธุระเสียก่อนจึงไม่ได้ไปด้วย

เมื่อวานตอนเย็นยังพูดอยู่เลยว่าไม่ได้ไปกินของอร่อย วันนี้พี่สาวก็โผล่มาเสียแล้ว

พอเลิกเรียน สาวใช้มาบอกกล่าว กู้หนิงอันกำลังจะลุกยืนอาจารย์น้อยสวีก็ประชิดข้างตัวเขาเสียแล้ว เดิมทีอาจารย์น้อยสวียังรู้สึกเศร้าใจ แต่พอได้ยินประโยคของสาวใช้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วก็ลากแขนเข้ามาที่นี่อย่างไรเล่า

ดูเหมือนอาจารย์น้อยสวีผู้นี้จะมีวิญญาณตะกละเข้าสิงจริง ๆ เสียแล้ว จิตใจคิดแต่จะตรงปรี่มาที่นี่ กู้หนิงอันคิดแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก

สวีเฉิงเจ๋อเห็นนักเรียนของตัวเองหัวเราะตน ก็มองค้อนตาเหลือกกลับไป กู้หนิงอันกับอาจารย์สวีส่งสัญญาณให้กันทางสายตา ครั้นเห็นท่าทางนั้นของอาจารย์น้อยสวีก็รีบกลั้นขำแล้วจดจ่อกับการกินข้าว

สวีเซียนหลินเอ่ยชมกับข้าวจานนั้นบ้าง “รสชาติอาหารจานนี้ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก ทั้งยังมีกลิ่นหอม เคี้ยวแล้วมีรสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ”

ฮูหยินสวีเองก็ชื่นชอบเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่านางเห็นลูกชายตัวเองกินแต่กับข้าวจานนั้น นางก็รู้ว่าลูกชายของนางชอบมากจึงเหลือให้เขาได้กินเยอะ ๆ ส่วนนางก็กินแค่สองสามคำเท่านั้น

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่ชอบกิน “ไม่เลวเลยเสี่ยวหวาน กับข้าวฝีมือเจ้าอร่อยจริง ๆ”

ครั้นเห็นครอบครัวของสวีเฉิงเจ๋อชอบมากขนาดนี้ กู้เสี่ยวหวานที่เพิ่งคิดเมื่อครู่ว่าดูเหมือนเห็ดตี้มู่ของนางจะไม่พอจริง ๆ ก็คิดจะหยิบมาอีกเล็กน้อย “ถ้าท่านอาจารย์กับฮูหยินชอบ ข้าจะเอามาให้อีกนะเจ้าคะ เห็ดตี้มู่นอกจากจะเอามาผัดไข่แล้ว ยังเอามันผัดกับพริกหยวกได้ด้วย หรือนำไปต้มก็มีรสชาติที่ไม่เลวเช่นกัน”

ฮูหยินสวีได้ยินก็พยักหน้า วิธีทำเหล่านี้นางจำไว้ในใจ ปากของลูกชายนางช่างเลือกปานนั้น ต้องให้พ่อครัวเรียนรู้ให้ดีเสียหน่อยแล้ว

“ไม่ต้องแล้วล่ะ” สวีเฉิงเจ๋อปฏิเสธเมื่อเขาได้ยินกู้เสี่ยวหวานจะเอามาให้อีก “วันนี้เจ้าขายสิ่งนี้ไม่ออกหรือ” เมื่อครู่นี้สาวใช้มารายงาน สวีเฉิงเจ๋อก็ถามอย่างละเอียดถึงสาเหตุที่กู้เสี่ยวหวานที่นี่ จนกระทั่งได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานบอกกับมารดาตนว่านางเข้ามาในเมือง แต่กลับไม่ได้ขายของ สวีเฉิงเจ๋อจึงอดที่จะร้อนรนไม่ได้

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานพูดตามตรง “วันนี้เถ้าแก่ร้านจิ่นฝูไม่อยู่ร้าน ข้าจึงไม่ได้ขายของให้เขา นอกจากเถ้าแก่แล้ว คนอื่นก็ไม่รับซื้อของสิ่งนี้หรอกเจ้าค่ะ”

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดชื่อใครออกมาตรง ๆ แต่คนฉลาดอย่างสวีเฉิงเจ๋อย่อมทราบดี เถ้าแก่หลี่ไม่อยู่ร้านจิ่นฝู คนที่อยู่รักษาการณ์ก็คงจะเป็นเหมียวเอ้อร์แล้ว

นอกจากเขาที่ไม่รับ ใครหรือจะกล้าเล่า

คิดถึงตรงนี้สวีเฉิงเจ๋อก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกเป็นห่วงด้วย

ตอนที่เข้ามานั้น ในตะกร้ามีของบรรจุอยู่เต็มตะกร้า เขาเองก็เห็นแล้ว เด็กสาวตัวคนเดียวแบกตะกร้าหนักขนาดนี้เดินทางมาไกล ถ้าวันนี้ไม่สามารถขายได้ก็ต้องแบกกลับ

เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็รู้สึกหัวร้อนกรุ่นขึ้นมาทันที

“ร้านจิ่นฝูเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลิวเจียแล้ว เถ้าแก่หลี่ร้านจิ่นฝูผู้นั้นเป็นคนเก่ง เขาไม่เคยหยุดที่จะสรรหาวัตถุดิบใหม่ ๆ มาทำอาหาร เห็ดตี้มู่นี้ของเจ้า เขาไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ตามหลักแล้วร้านจิ่นฝูก็ควรต้องซื้อในราคาสูงสิ” สวีเซียนหลินพอได้ยินว่าร้านจิ่นฝูไม่รับซื้อของจากกู้เสี่ยวหวาน ก็รู้สึกงุนงงไม่น้อย เหตุใดเขาจะไม่รู้เล่าว่า ตอนที่กู้เสี่ยวหวานไปร้านจิ่นฝูครั้งแรกก็ถูกเหมียวเอ้อร์ด่าตะเพิดออกมา ต่อมาด้วยสายตาแหลมคมของหลี่ฝาน เขาก็หักหน้าของเหมียวเอ้อร์ และต้อนรับกู้เสี่ยวหวาน เหมียวเอ้อร์ผู้นั้นรู้สึกตัวเองโดนดูถูก แต่เขาก็ไม่กล้าต่อกรกับหลี่ฝาน สุดท้ายเลยกลับมาเกลียดกู้เสี่ยวหวานแทน

สวีเฉิงเจ๋อเล่าเรื่องนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกับสวีเซียนหลิน ทำให้สวีเซียนหลินกับฮูหยินสวีรู้ความเป็นมาของเรื่อง

“เหมียวเอ้อร์ผู้นี้ใจคอคับแคบยิ่งนัก” ฮูหยินสวีตำหนิ “กับแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เขากลับถือสาหาความกับนางอยู่ได้”

“เดิมทีเหมียวเอ้อร์ผู้นี้เป็นคนรู้หนังสือและยังเคยสอบผ่านซิ่วไฉ ถือว่าเป็นคนมีความรู้ผู้หนึ่ง แต่ในตอนที่สอบเคอจวี่[1]เขาดันโกงข้อสอบ แล้วถูกคนจับได้ หลังจากนั้นก็ถูกตัดสิทธิ์ทันที นั่นทำให้เขาไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้อีกเลย เมื่อเห็นว่าหมดหวัง แต่เขาก็ยังต้องทำมาหากิน เหมียวเอ้อร์จึงเปลี่ยนเส้นทางไปเป็นผู้ทำบัญชี” สวีเซียนหลินรู้จักเรื่องของเหมียวเอ้อร์เป็นอย่างดี เพราะเมื่อก่อนเคยเรียนด้วยกัน

เพียงแต่ว่าเหมียวเอ้อผู้นี้ไม่ซื่อสัตย์และไร้น้ำใจ ทั้งยังมีจิตใจคับแคบ สวีเซียนหลินไม่คิดจะเดินไปตามเส้นทางกับคนแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนิทอะไรกันนัก เพียงไปกินอาหารที่ร้านจิ่นฝูเป็นบางครั้ง ก็สามารถเห็นเหมียวเอ้อร์ได้

ครั้นเห็นครอบครัวสวีอยากทวงความยุติธรรมให้กู้เสี่ยวหวาน นางก็รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย แต่นางไม่อยากให้พวกเขาเอาเรื่องของนางไปทำให้ยุ่งยากใจ จึงรีบพูดว่า “ยังดีที่ตอนที่ข้าออกมานั้น เสี่ยวเอ้อร์ของร้านจิ่นฝูบอกข้าว่าในอีกเมืองนั้นมีร้านจิ่นฝูอยู่อีกแห่ง และยังเป็นร้านของเถ้าแก่หลี่ด้วยเช่นกัน เขาบอกให้ข้าไปที่นั่นเพื่อลองดูว่าจะสามารถขายได้หรือไม่”

ถ้ากู้เสี่ยวหวานขายไม่ได้ นางก็คงต้องเจียมเนื้อเจียมตัว รสสัมผัสของเห็ดตี้มู่ดีอยู่แล้ว อีกอย่างนี่ก็เป็นการขายครั้งแรก เดาได้ว่า ไม่ว่าที่ไหนนางก็สามารถขายออกไปได้ เพียงแต่ว่านางแค่อยากขายในราคาสูงหน่อยเท่านั้น เนื่องจากหากขายออกไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อนำมาขายอีกครั้งราคาก็ตกและไม่ได้ราคาดีเหมือนเดิม

พอสวีเฉิงเจ๋อได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานจะเดินทางไปอีกเมือง เขาขมวดคิ้วพูดว่า “ที่นั่นอยู่ไกลเกินไปหรือไม่ เจ้าเป็นหญิงตัวคนเดียวจะเดินทางไกลได้อย่างไร”

กู้เสี่ยวหวานย่อมรู้ว่าการเดินทางไปยังต่างเมืองนั้นค่อนข้างไกลและอันตรายด้วย แต่เพื่ออนาคต เพื่อค่าเล่าเรียนของน้องชายละน้องสาว นางจึงจำเป็นต้องไป

“ใช่ สวี่เฉิงเจ๋อพูดไม่ผิด ที่นั่นอยู่ไกลเกินไป เจ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่สะดวกไปเองหรอก” ฮูหยินสวีก็พูดเช่นกัน

“ท่านพ่อ เสี่ยวเซิ่งจื่ออยู่ที่ไหน” สวีเฉิงเจ๋อโพล่งถาม “เด็กคนนั้นไม่มาหาพวกเราที่นี่นานแล้ว”

“ใช่ ไม่มานานแล้วจริงด้วย”

“ได้ยินลูกจ้างในร้านบอกว่าเขาไม่ค่อยมาร้านจิ่นฝูเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เจอเขาที่ร้านจิ่นฝู เพียงแต่ได้ยินลูกจ้างที่ร้านพูดเช่นนี้

“คงไม่ใช่ว่าช่วยเถ้าแก่หลี่อยู่อยู่ที่นั่นหรอกหรือ” สวีเซียนหลินพูด หลานชายที่ปากหวานคนนี้ เขาไม่เจอนานแล้วจริง ๆ ด้วย

[1] การสอบเคอจวี่ คือ ระบบการคัดเลือกข้าราชการที่ราชสำนักจัดขึ้นให้เป็นการสอบส่วนกลาง ซึ่งปรากฏครั้งแรกในสมัยราชวงศ์สุย โดยแบ่งเป็นสี่ระดับ ได้แก่ การสอบระดับท้องถิ่น การสอบระดับมณฑล การสอบระดับประเทศ และการสอบต่อหน้าพระพักตร์

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *