Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 104 ผู้มาเยือน

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 104 ผู้มาเยือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเดือนแห่งชีวิต (มีนาคม) อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น และกองคาราวาน รถม้า และผู้คนมากมายต่างเดินทางมายังนครอัลโต้มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อย่างเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ราวกับว่าทุกผู้คนจากเมืองและอาณาจักรรอบๆ นี้ต่างเดินทางมายังนครอัลโต้ ทำให้เมืองใหญ่ทางตะวันตกของทวีปแห่งนี้อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลากตา นั่นก็เพราะในอีกไม่กี่วัน ‘เทศกาลดนตรีแห่งนครอัลโต้’ ที่จะจัดขึ้นทุกๆ สามปีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทั้งนักดนตรี กวีขับลำนำ ขุนนาง และพ่อค้าวาณิชแม่ค้าผู้ชื่นชอบในเสียงเพลงจึงรีบเร่งมายังนครอัลโต้อย่างไม่ขาดสาย

แต่แรกเมืองใหญ่แห่งนี้ก็มีนักผจญภัยและทหารรับจ้างเดินทางเข้ามาอยู่ตลอดเพื่อผ่านทางไปยังเทือกเขาไร้แสง ดังนั้นในช่วงเวลานี้ นครอัลโต้จึงเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

แม้ในยามบ่ายแก่ๆ ประตูเมืองทางเขตโนแลนก็ยังมีผู้คนแออัดยัดเยียด และมีเด็กผู้หญิงผมสีชมพูคนหนึ่งนามว่าลิลิธกำลังดึงตัวซาลา พี่ชายของนางฝ่าฝูงชนเข้ามาในเมืองอย่างทุลักทุเล

“พี่มองอะไรอยู่ เดินดีๆ หน่อยสิ!” ลิลิธขบกรามแน่นแล้วตวาดใส่ซาลา แต่ก็ไม่ได้ใช้เสียงดัง เพราะพูดเบาจนติดเป็นนิสัย คล้ายกับกลัวว่าผู้คนรอบๆ นั้นจะหันมาสนใจพวกตน

เด็กสาววัยสิบหกปีนั้นมีใบหน้างดงามสดใส ทว่าแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก ซึ่งทำให้ดูน่าหลงใหลจนลิลิธกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้าน แม้แต่ขุนนางหนุ่มยังถึงกับยอมสละยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อนาง ไม่ยอมแต่งงานเพื่อสืบสายเลือดชนชั้นสูง

ซาลาลูบหลังคอตัวเองด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ลิลิธ ดูนั่นสิ นั่นคือเอล์ฟจันทรา พวกนางช่างงดงามอ่อนช้อยยิ่ง! ใบหูขยับเองได้เหมือนกับที่ตำนานบอกเล่าเลย น่ารักเหลือเกิน!” เขาชี้ไปทางเอล์ฟสาวที่อยู่ไม่ไกลออกไปพลางเอ่ยกับน้องสาวตน

ด้วยความสงสัย ลิลิธจึงเขย่งเท้าชะเง้อมอง

ภาพที่เห็นคือเอล์ฟสาวที่มีสีผิวคล้ายแสงจันทร์ ใบหน้างดงามวิจิตร บนลำคอมี ‘ลวดลายแห่งชีวิต’ อันเป็นความลับแห่งความงามซ่อนอยู่ นิ้วมือของพวกนางเรียวยาวและใบหูชี้แหลมโบกสะบัดเบาๆ ซึ่งทำให้เอล์ฟจันทรามีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด

“สวยกว่าข้านิดหน่อยเอง” ลิลิธพึมพำเมื่อกลับมายืนเต็มเท้า จากนั้นจึงตวัดสายตาไปมองซาลา “พี่ ทำตัวดีๆ หน่อย อย่าทำตัวเหมือนคนลามกแบบนี้สิ ที่นี่คือนครอัลโต้ เมืองที่พระเจ้าเฝ้ามองอยู่นะ!”

เมื่อพูดว่า ‘พระเจ้าเฝ้ามองอยู่’ ลิลิธก็ลดระดับเสียงลงโดยสัญชาตญาณและเหลือบมองฝูงชนด้วยความระแวดระวังทันที

ซาลาที่มีผมสีชมพูเหมือนกับน้องสาว มีรูปร่างค่อนข้างอ่อนช้อยคล้ายผู้หญิง เขาถอนสายตากลับมาอย่างเสียดาย แล้วก็ได้เห็นว่าตนเข้ามาในตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อย จึงรีบดึงตัวน้องสาวไปยังมุมไกลๆ ปลอดผู้คน “ลิลิธ อย่าเครียดนักเลย เจ้าคิดหรือว่าถ้าเจ้าทำตัวไม่เป็นที่สนใจและประหม่ากลัว หรือถ้าข้าทำตัวกระตือรือร้นและผ่อนคลายเกินไป จะทำให้ทางโบสถ์สงสัยเรามากขึ้นเช่นนั้นหรือ”

“แต่อย่างไรเสีย… เราก็เป็นนักเวทฝึกหัดนะ” ลิลิธเหลือบมองซ้ายขวา และเอ่ยคำว่านักเวทฝึกหัดด้วยเสียงกดต่ำอยู่ในลำคอ

ซาลาแบมือยักไหล่ “แล้วอย่างไรเล่า ในนครอัลโต้หาได้มีผู้ใดรู้จักเราเสียหน่อย เราจะหานักวิชาการสักคนแล้วไปจากที่นี่หลังจากปรึกษาหาคำตอบสองสามอย่าง”

“เราจะไม่รอร่วมงานเทศกาลดนตรีนครอัลโต้หรือ พี่” ลิลิธรู้สึกผิดหวัง

ซาลาแสดงสีหน้าจริงจังแล้วส่ายศีรษะ “ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์จากการตีความ หากช่วงเวลากระชั้นชิด เราก็จะต้องจากไปทันที ลิลิธ เจ้ายังมาร่วมงานเทศกาลดนตรีนี้ได้ในอีกสามปีข้างหน้า แต่นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตที่เราจะได้เป็นนักเวทจริงๆ นะ! อย่าเอาแต่ใจสิ เราจะต้องกลายเป็นนักเวทผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับให้ได้”

คำว่านักเวทที่ซาลาเอื้อนเอ่ยนั้นดังอยู่เพียงในลำคอเขา

“ข้ารู้แล้วว่าเทศกาลดนตรีนครอัลโต้จะจัดขึ้นทุกๆ สามปี” ลิลิธผู้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ถูกกดดันและต้องคอยหวาดกลัวว่าทางศาสนจักรจะจับได้และสังหารพวกนางเมื่อไหร่ก็ได้นั้น ทำให้นางเข้าใจดีนางไม่อาจทำอะไรตามใจ “เราจะต้องกลายเป็นนักเวทผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับ”

ในร้านร้านคอปเปอร์โคโรเน็ต นักผจญภัยและทหารรับจ้างมากมายพูดคุยเสียงดังและเสียงยานคางเป็นครั้งคราว บางคราก็จะมีคนสองคนที่มองสบตากันแล้วไปเจอกันตรงมุมด้านหลังประตูร้าน ห้องพักบนชั้นสอง หรือที่อื่นๆ เพื่อจัดการปัญหาทางกายหรือทางการเงิน

ลิลิธเติบโตมาในเมืองเล็กๆ แม้ว่าจะมีอันธพาลหลายคนในร้านเหล้า แต่ก็ไม่เคยมีใครที่ดูดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ หลังจากที่พยายามหลบเลี่ยงมือไม้ที่พยายามเอื้อมมาจะแตะต้องอย่างยากลำบาก นางก็พาซาลาเบียดเสียดมาด้านหน้าบาร์ได้สำเร็จในที่สุด

“ไง ดื่มอะไรดี” คนแคระโคห์นยังคงเมามายอยู่เช่นเดิม

ลิลิธพยายามข่มใจไม่ใช้เวทมนตร์สังหารผู้ชายทั้งหมดที่อยู่ด้านหลัง พลางพยักหน้าให้โคห์น คงเพราะทราบกฎของร้านเหล้าดี “ขอเบียร์ให้เราสองแก้ว”

โคห์นโห่ร้อง “อึ๊ก ข้าชอบเจ้า ช่างเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญเสียจริง ข้าให้เจ้าอีกหนึ่งแก้ว ไม่คิดเงิน”

แก้วทั้งสามที่มีฟองฟอด ส่งกลิ่นหอมมอลต์ถูกนำมาวางตรงหน้าซาลากับลิลิธอย่างรวดเร็ว

หลังจากจ่ายด้วยเหรียญทองแดง ซาลาก็ยกแก้วขึ้นจิบ “เบียร์ดี”

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ขายเหล้าเบียร์ที่เขาไม่ชอบหรอก” ดวงตาขุ่นมัวของโคห์นเปล่งประกายขึ้นวูบหนึ่ง “พวกเจ้าต้องการอะไรหรือเปล่า”

“ท่านลุงคนแคระ เรามาจากเมืองเล็กๆ ใกล้กับอัลโต้ บังเอิญว่าไม่นานมานี้เราได้รับเอกสารโบราณบางอย่าง ข้าจึงอยากจะหานักวิชาการสักคนมาช่วยตีความเนื้อหาน่ะเจ้าค่ะ” ลิลิธพูดถึงที่มาของตนและพี่ชายอย่างคลุมเครือ “ท่านจะช่วยแนะนำนักวิชาการให้เราหน่อยได้ไหมเจ้าคะ”

โคห์นเรอออกมา “เป็นภาษาโบราณในช่วงยุคอาณาจักรเวทมนตร์หรือว่าเป็นภาษาสามัญกันล่ะ หรือว่าเป็นภาษาเอล์ฟ ภาษาคนแคระ ภาษามังกร หรือภาษาปีศาจ”

“เอกสารที่เราได้มาไม่ใช่ต้นฉบับจริงๆ และแปลออกมาเป็นภาษาสามัญแล้วขอรับ” ซาลาและน้องสาวเหลือบมองกันแล้วพยักหน้า “แต่เพราะว่ามันไม่มีเอกสารก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นต่อ เราจึงไม่เข้าใจเลยสักนิด ข้าจึงอยากหานักวิชาการมาช่วยตีความ”

โคห์นหัวเราะขัน “เอกสารนี้เกี่ยวข้องกับขุมทรัพย์ไหม” หลังจากเป็นเจ้าของร้านเหล้าแหล่งรวมนักผจญภัยมาหลายปี เขาจึงเคยเห็นอะไรคล้ายๆ กันนี้มานักต่อนัก บางคนก็ได้กลายเป็นเศรษฐีและกว้านซื้อที่ดิน แต่บางคนกลับหายสาบสูญไป

“เราไม่ทราบเลย เพราะเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเจ้าค่ะ” ลิลิธปิดซ่อนส่วนสำคัญเอาไว้และพยายามเค้นรอยยิ้มจริงใจออกมา

โคห์นรินเบียร์ให้ตัวเอง “ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะข้าไม่เคยถามความลับของลูกค้า เอกสารของพวกเจ้าจะมีเพียงนักวิชาการเท่านั้นที่ได้อ่าน แต่นักประวัติศาสตร์คงจะดีกว่า ในนครอัลโต้มีนักประวัติศาสตร์ดังๆ อย่างเบค อัลฟองโซ…”

“ผู้ใดที่ท่านคิดว่าดีที่สุดหรือเจ้าคะ” ลิลิธถามด้วยความอยากรู้ “หรือว่าผู้ใดคือผู้ที่เก่งที่สุดกันเจ้าคะ”

โคห์นส่ายหน้าจนเคราเปียยาวสีทองของเขาสะบัด “ไม่มีผู้ใดเหมาะสำหรับงานนี้เพราะพวกเขาเป็นชนชั้นสูง! มีเพียงชนชั้นสูงและบาทหลวงเท่านั้นที่อ่านภาษาโบราณกับเอกสารทางประวัติศาสตร์ได้อย่างคล่องแคล่ว และรู้เกี่ยวกับความลับมากมาย หากพวกเจ้านำเอกสารนั้นไปให้พวกเขาดู ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเกิดปัญหา”

“ไม่มีผู้ใดเหมาะกับงานนี้เลยจริงๆ หรือ” ลิลิธกับซาลาผิดหวังอย่างยิ่ง แต่ก็ยอมรับว่าโคห์นพูดถูก การถือเอกสารโบราณไปหาชนชั้นสูง อาจทำให้พวกเขาสงสัยได้ง่ายๆ และเมื่อใดก็ตามที่ถูกสงสัย ศาสนจักรและขุนนางชั้นสูงผู้ทรงอำนาจก็จะรู้เรื่อง สองพี่น้องไร้ที่มาก็อาจถูกจับกุมตัวไปสอบสวนได้ “ไม่มีนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงเลยหรือ”

นักประวัติศาสตร์เช่นนั้นไม่สามารถเข้าถึงเอกสารลับได้เท่าไหร่และไม่ค่อยรู้เรื่องนักเวทกับพวกลัทธินอกรีตเท่าใด

โคห์นส่ายศีรษะอีกครั้ง “หากไม่ใช่ชนชั้นสูงก็ยากที่จะเป็นนักประวัติศาสตร์ได้ แต่เดี๋ยว…” ฉับพลันนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก “ข้ารู้สึกนักวิชาการที่มาจากชนชั้นต่ำ เขาเองก็เป็น ‘นักประวัติศาสตร์’”

“ท่านผู้นั้นคือใครหรือเจ้าคะ” ลิลิธเอ่ยถามอย่างคาดหวัง ซาลาเองก็มีสีหน้าเดียวกัน

โคห์นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นักวิชาการผู้นี้คือลูเซียน อีวานส์ นักดนตรีอัจฉริยะและ ‘นักประวัติศาสตร์’”

“ท่านอีวานส์ผู้ประพันธ์เพลง ‘แด่ซิลเวีย’ กับ ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ นั่นน่ะหรือ” ลิลิธอ้าปากค้าง สีหน้านางดูพิลึกด้วยความประหลาดใจ คลั่งใคล้ ตกใจ และเหลือเชื่อ “ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ด้วยงั้นหรือ”

แต่สีหน้าของซาลานั้นดูดีกว่าของน้องสาวมาก

โคห์นกระดกเครื่องดื่มของตนจนหมด “เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ ข้ารู้จักลูเซียนและเฝ้ามองเขาเติบโตมาเป็นชายหนุ่มมากความสามารถและเฉลียวฉลาก อึ๊ก เอาเป็นว่า ข้าได้ยินมาจากคนในสมาคมนักดนตรีว่านักดนตรีหลายๆ คนมักไปขอคำปรึกษาจากลูเซียนเกี่ยวกับประเด็นทางประวัติศาสตร์เวลาแต่งเพลงกับละครโอเปร่า และต่างเรียกเขาว่า ‘นักประวัติศาสตร์’ นั่นเพราะหลังจากที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าฟ้าหญิง เขาก็ได้เข้าไปอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์มากมายในพระราขวังราเตเซีย เจ้าฟ้าหญิงยังถึงกับขอให้ท่านเบคช่วยแปลตำราและเอกสารโบราณให้เขาเลยเชียวนะ”

“แต่ถึงกระนั้น ท่านอีวานส์ก็เพิ่งเรียนประวัติศาสตร์ได้เพียงห้าหรือหกเดือนเองมิใช่หรือขอรับ” ซาลายังคงไม่เชื่อ

โคห์นแสดงท่าทางไม่พอใจ “ฮึ่ม เจ้าฟ้าหญิงและท่านเบคต่างชื่นชมความสามารถอันยอดเยี่ยมในการจัดเรียงและสรุปข้อมูลของเขา เพราะเขามีความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ และยังมีความทรงจำที่ดีมาก เพียงห้าหรือหกเดือนเขาก็เป็นนักประวัติศาสตร์ที่คุณสมบัติครบได้ เขาเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย!”

นับแต่ที่โด่งดังขึ้นเพราะลูเซียน คำเรียกของวิกเตอร์ก็กลายเป็นที่รู้กันในนครอัลโต้

‘หากว่าไม่มีนักวิชาการคนใดเหมาะสมอีก เราก็อาจจะได้ไปพบท่านอีวานส์’ ลิลิธมองไปทางพี่ชายตนอย่างระมัดระวังและคาดหวัง

โคห์นเห็นสีหน้าของนาง “แม่หนู เจ้าอยากไปเจอลูเซียนเช่นนั้นหรือ”

“แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าชอบบทเพลงของท่านอีวานส์มากๆ โดยเฉพาะ ‘แด่ซิลเวีย’ ที่แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์งดงามของบทเพลงได้ด้วยท่วงทำนองเรียบง่าย” ลิลิธตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ข้าอยากมาร่วมงานเทศกาลดนตรีนครอัลโต้ก็เพื่อจะพบกับท่านอีวานส์และฟังท่านเล่นดนตรีเจ้าค่ะ”

“ท่านลุงคนแคระ ในเมื่อท่านคอยเฝ้ามองท่านอีวานส์เติบโต ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านอีวานส์สง่างามและหล่อเหลามากๆ หรือเปล่าเจ้าคะ” ลิลิธถามอย่างตั้งตาคอยและขัดเขิน

โคห์นหัวเราะร่า “แน่นอน ลูเซียนเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่ง”

ลิลิธที่พอใจในคำตอบ หันไปมองพี่ชายตน สายตาคาดหวังนั้นทำให้ซาลาใจอ่อนยวบ และมันเป็นความจริงที่ว่าไม่มีผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว เขาจึงพยักหน้า “อีกสักครู่เราจะไปหาท่านอีวานส์กัน”

“พวกเจ้าคงต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้เสียก่อน เพราะลูเซียนกำลังฝึกซ้อมอยู่ที่คฤหาสน์ ‘บรอนส์’ นอกเมืองเพื่อเตรียมตัวสำหรับเทศกาลดนตรีครั้งนี้ และตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาที่ประตูเมืองจะปิดแล้วด้วย” โคห์นเตือนทั้งสอง

‘บรอนส์’ หมายถึงความเงียบสงบในภาษาสามัญ

ลิลิธลากแขนเสื้อพี่ชายเดินออกไป “ไปตอนนี้เลย”

“แล้วถ้าเรากลับเข้ามาในเมืองไม่ทันเล่า” ซาลามึนงง

“ก็เรากำลังไปคฤหาสน์ของท่านอีวานส์กันอย่างไรล่ะ”

“…”

เมื่อลิลิธกับซาลามาถึงเขตคฤหาสน์ ‘บรอนส์’ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ตัวคฤหาสน์หลักเป็นเหมือนปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดของยามราตรีและป่าที่รายล้อม

“ทำไมคฤหาสน์หลังนี้ถึงให้ความรู้สึกมืดมนเสียจริง…” ลิลิธตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว

ซาลาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่เขายังกล่าวตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ตอนกลางคืนมันก็ดูเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”

หลังจากบอกยามที่เฝ้าประตูเขตคฤหาสน์ พ่อบ้านโลเปซก็ออกมาต้อนรับลิลิธกับซาลาอย่างว่องไว

“นายท่านบอกให้ข้าพาพวกท่านไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนขอรับ” โลเปซเป็นพ่อบ้านที่ดูแลเขตคฤหาสน์นี้อยู่แล้ว เขามีอายุห้าสิบปี เป็นคนสุขุมมั่นคง ลูเซียนไม่ได้เปลี่ยนคนเพราะอีกไม่นานเขาก็จะไปจากที่นี่แล้ว

ภายในมืดทึม ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลามื้อค่ำ และภายในตัวคฤหาสน์ก็ยังไม่ได้จุดไฟ

ทั้งสองนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างนิ่งสงบเพียงครู่หนึ่ง ก็เห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินลงมาตามบันได มุมมืดบนบันไดขับให้เส้นผมและนัยน์ตาสีดำของเขายิ่งดูลึกลับและสุขุมสง่างาม

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด