Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 29 ศพที่ดูคุ้นตา

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 29 ศพที่ดูคุ้นตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ย่ำรุ่ง ลูเซียนที่ผ่านการฝึกฝนและทดลองมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็เรียนรู้และใช้ ‘เวทดวงตาแห่งดารา’ ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ ‘เวทดับแสง’ ‘เวทฝ่ามือผู้วิเศษ’ และ ‘เวทสาดน้ำกรด’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ทั้งห้าที่เขาเพิ่งเริ่มเรียนเมื่อวานได้อย่างคล่องแคล่ว และยังพยายามใช้ ‘เวทบ่วงปลดอาวุธ’ โดยไม่ร่ายคาถา ตอนนี้ลูเซียนทำให้เวลาในการเรียกใช้มั่นคงที่ภายในสามวินาที

หากเทียบกับสถิติของแม่มดแล้วลูเซียนพบว่าเวลาในการวิเคราะห์ เรียนรู้ และใช้เวทมนตร์ได้อย่างคล่องแคล่วของเขานั้นค่อนข้างน่าทึ่งมากทีเดียว จะเว้นก็แต่ ‘เวทบ่วงปลดอาวุธ’ ที่แม่มดไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แต่กลับบังคับฝึกฝนจนใช้การได้ นางใช้ ‘เวทสาดน้ำกรด’ และ ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ ของศาสตร์แห่งธาตุได้ดี ซึ่งนางต้องใช้เวลากว่าสามถึงสี่วัน ฝึกฝนเป็นเวลายี่สิบชั่วโมง และฝึกทดลองร่ายคาถาเพื่อวิเคราะห์และใช้ได้ชำนาญ แต่สำหรับลูเซียน เขาเพียงฝึกใช้ ‘เวทสาดน้ำกรด’ ห้าครั้ง ใช้ ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ เจ็ดครั้ง และใช้ ‘เวทดวงตาแห่งดารา’ สิบครั้ง มีเพียง ‘เวทดับแสง’ ที่เขาวิเคราะห์ผิดพลาดและไม่ได้ทำความเข้าใจมาล่วงหน้า จึงต้องฝึกใช้ถึงสามสิบครั้งเต็มๆ กว่าจะใช้ได้คล่อง

ในสายตาลูเซียน ที่เขาเรียนรู้ได้รวดเร็วนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะโครงสร้างมนตราดูเหมือนจะมีพื้นฐานมาจากตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ แล้วจากนั้นเขาก็เอาความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับกระบวนการร่ายเวทมนตร์มารวมกับความรู้นั้น นอกจากนี้ โครงสร้างหลักของเวทมนตร์แต่ละบทก็เป็นเพียงอักษรรูนง่ายๆ ที่มีรูปทรงเหมือนเรขาคณิตจากระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย ดังนั้นหลังจากที่เขาเข้าไปทบทวนจากตำราเรียนในห้องสมุดห้วงจิตสักพัก การวิเคราะห์เวทมนตร์ระดับฝึกหัดทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย

เพื่อให้เข้าใจกระบวนการร่ายเวทมนตร์มากขึ้น ลูเซียนจึงพึ่งพาองค์ความรู้จากอดีตด้วยเช่นกัน เช่น เขาเข้าใจว่า ‘เวทสาดน้ำกรด’ เปลี่ยนผงซัลเฟอร์ให้กลายเป็นกรดซัลฟูริก ทว่า ลูเซียนไม่สามารถนำความรู้จากโลกก่อนมาใช้กับเวทดับแสงได้ เขาจึงคิดเล่นๆ ว่าคงต้องสลับกระบวนการแล้วทำลายโครงสร้างของ ‘ตะไคร่น้ำเรืองแสง’ เพื่อทำให้มันดูดซับแสงเข้าไป ไม่ใช่สะท้อนกลับ ผลลัพธ์ออกมาไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก และเขาต้องฝึกฝนอยู่นานมากกว่าจะเชี่ยวชาญ

การฝึกฝนทดลองทำให้ลูเซียนต้องย้อนกลับมามองตนเอง ‘นายจะเอาแต่พึ่งพาความรู้จากโลกก่อนไม่ได้ เวทมนตร์ของโลกนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ จริงอยู่ว่าเวทบางบทสามารถนำความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์ เคมี หรือวิทยาศาสตร์อื่นๆ มาผนวกใช้กันได้ แต่เวทบทอื่นก็ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ตัวบทของมันเอง เพราะยังไงธาตุและกฎของโลกนี้ก็ค่อนข้างแตกต่างจากโลกก่อน เช่น บันทึกของแม่มดบอกว่าที่นี่มีแร่ล้ำค่าอย่างมิธริลกับอาดามันเทียมเหมือนกับของโลกก่อน ส่วนตัวอย่างของความแตกต่างคือ ทำไมเราถึงสามารถพึ่งพาโหราศาสตร์ในการทำนายดวง โชคชะตา และอื่นๆ’

สำหรับ ‘เวทบ่วงปลดอาวุธ’ นั้น ลูเซียนเข้าใจดีเลยว่ามันเป็นเวทมนตร์ที่ใช้พลังจากแรงโน้มถ่วง ดังนั้นเขาจึงร่นระยะเวลาในการร่ายคาถาให้เหลือเท่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากฟื้นฟูพลังจิตด้วยการพักเงียบๆ สิบนาที ลูเซียนก็เริ่มเก็บกวาดร่องรอยที่เขาทำทิ้งไว้ อย่างเช่นพื้นผิวของหินที่ถูกกัดกร่อน

‘เวทมนตร์ระดับฝึกหัดพวกนี้ยังไม่ทรงพลังมากพอจริงๆ เวทลำแสงแช่แข็งจะฆ่าคนได้ก็ต้องโจมตีเข้าที่หัวใจหรือลำคอ ทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหายใจไม่ออก ไม่อย่างนั้น ต่อให้ใช้เวทนี้ถึงสามครั้งก็ไม่ได้ผลอะไร ถ้าจะได้ผลก็คงแค่ทำให้เกิดบาดแผลรุนแรงจากการถูกความเย็นกัด และทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวกับคิดได้ช้าลง และเพราะความเข้มข้นกับความรุนแรงของน้ำกรดไม่ได้มีฤทธิ์ถึงตาย ฉันถึงต้องใช้เวทสาดน้ำกรดให้โดนอวัยวะสำคัญเหมือนกัน’ ลูเซียนวิเคราะห์เวทมนตร์ระดับฝึดหัดที่เขาเพิ่งเรียนด้วยใจสงบนิ่ง เขาไม่ได้ผิดหวังอะไรมาก แม้ว่าเวทหลายบทอาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากใช้ให้ดีๆ ผลลัพธ์ก็สามารถออกมายอดเยี่ยมในสถานการณ์จำเพาะและในเวลาที่เหมาะเจาะ

หลังจากจัดการกับร่องรอยเสร็จ ลูเซียนก็เก็บส่วนประกอบการร่ายเวทมนตร์ไว้ในกระเป๋าในแบบที่ไม่สะดุดตาแต่หยิบใช้ได้ง่าย แต่แทนที่เขาจะกลับขึ้นไปด้านบน เขากลับสำรวจเส้นทางในท่อน้ำเสียต่อไปจนสุดทางระบายของเขตสลัม

เป็นเพราะลูเซียนคิดจะหาเห็ดซากศพ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาต้องหาซากศพให้ได้เสียก่อน การไปหาจากสุสานภายใต้การสอดส่องของโบสถ์นั้นเสี่ยงเกินไป ดังนั้นถ้าไม่ไปหาซากศพของสัตว์หรือมนุษย์ที่เสียชีวิตในป่าดำเมลเซอร์ ท่อระบายน้ำจึงเป็นสถานที่เดียวที่เขาจะหาศพคนตายได้ คนยากไร้และขอทานที่อาศัยอยู่แถบนี้อาจไม่มีแม้แต่ผ้าห่อศพใช้ด้วยซ้ำ หากว่าพวกเขาไม่มีครอบครัวหรือสหายเลย ก็เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นอาจเสียชีวิตอยู่ในท่อน้ำเสียอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีผู้ใดรับรู้ และก็คงไม่แปลกที่จะเจอซากศพของสัตว์และเศษเนื้อเน่าๆ ที่ถูกโยนทิ้งเข้ามาในท่อน้ำเสีย

แต่แรกนั้น แม่มดเองก็มาสำรวจท่อน้ำเสียด้วยตั้งใจจะหาเห็ดซากศพ แต่ภายหลัง นางมาเพื่อตามหาที่มาของฝูงหนูดวงตาสีแดง แต่ว่านางไม่เคยพบเจอภัยอันตรายใดๆ ด้วยเหตุนี้ลูเซียนจึงกล้าออกสำรวจที่แห่งนี้

ลูเซียนแผ่พลังจิตออกมารอบกายเพื่อให้รับรู้ถึงสภาพแวดล้อม ขณะเดินต่อไปเรื่อยๆ ภายในท่อน้ำเสีย

ผ่านไปยี่สิบนาที ลูเซียนก็สำรวจไปแล้วหลายจุด และพบศพสามศพ เป็นหนูสองตัวและสัตว์รูปร่างแปลกๆ เหมือนเยลลี่หนึ่งตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเห็ดซากศพเติบโตบนซากของพวกมัน

พอเลี้ยวตรงมุมข้างหน้า ลูเซียนก็ต้องเบิกตาโตเมื่อในที่สุดเขาก็พบขอทานที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำเสีย

ท่อน้ำเสียตรงส่วนนี้กว้างมาก ตรงกลางเป็นสายน้ำที่ไหลเอื่อยพัดพาเศษขยะล่องลอยไป ซึ่งมันจะไหลออกไปยังทางระบายน้ำของเขตและไปบรรจบที่แม่น้ำเบเล็ม ทางเดินหินทั้งสองฝั่งน้ำมีพรมเก่าสกปรกเรียงกันเป็นแถว ทั้งยังมีหม้อดินเผากับสิ่งของอื่นๆ และมีขอทานหลายคนในชุดขาดๆ จนเผยเนื้อหนังมากกว่าปกปิดนั่งรวมตัวกันอยู่บนทางเดินฝั่งหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี

ลูเซียนเห็นว่าพวกเขาเป็นเพียงขอทาน จึงไม่คิดหลบเลี่ยง และเขาก็ถูกพบเห็นแล้ว เขาจึงอยากจะเดินผ่านไปยังอีกฝั่งหนึ่งโดยปลอดภัย

“เจ้าหนุ่ม ท่อน้ำเสียหาใช่ที่ที่เจ้าควรมา เจ้าต้องการอันใด” ชายชราอายุราวหกสิบปีในหมู่ขอทานเดินออกมา เขาผอมเสียจนเนื้อแนบติดกับกระดูกซี่โครง แต่เมื่อได้ยินเสียงของเขา ลูเซียนกลับพบว่าเขาเป็นชายอายุประมาณสี่สิบปี

แม้ว่าชุดของลูเซียนจะเป็นผ้าลินินเก่าๆ ซอมซ่อที่ไม่อาจปกปิดสถานะยากจนของเขาได้ แต่เมื่อเทียบกับขอทานเหล่านี้แล้ว ลูเซียนกลับดูสูงศักดิ์ราวกับขุนนาง อย่างน้อยชุดเขาก็จะไม่เก่าขาดจนเปิดเผยเนื้อหนังแบบพวกเขา และอย่างน้อยมันก็สะอาด ดังนั้นชายชราจึงรู้ได้ทันทีว่าลูเซียนไม่ใช่ ‘ชนพื้นเมือง’ จากท่อน้ำเสีย

ลูเซียนตอบด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “ข้ามีสหายที่อาศัยอยู่ในท่อน้ำเสียนี้ และข้ามาตามหาเขาขอรับ” เขาแสดงท่าทางมั่นใจยโสโอหัง และทำเหมือนว่าขอทานเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตาเขา เพราะที่นี่คือท่อน้ำเสียที่เต็มไปด้วยเรื่องดำมืดและไร้กฎเกณฑ์ การแสดงออกว่าตนคือผู้แข็งแกร่งจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดเพื่อไม่ทำให้เหล่าขอทานเกิดละโมบขึ้นมา

ข้างหลังชายชราร่างผอมแกร็น มีขอทานหลายคนยืนขึ้น ต่างมองลูเซียนด้วยสายตามุ่งร้ายและละโมบ ทว่าลูเซียนกลับมองพวกเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน เพียงยืนนิ่งให้เห็นร่างกายที่แข็งแรงและกริชที่ส่องประกายแวววาวท่ามกลางความมืด

นั่นทำให้พวกเขาหลบสายตาลูเซียนไปโดยไม่รู้ตัว

ขณะเฝ้ามองลูเซียนเดินหน้ามาทีละก้าวๆ ชายชราร่างผอมก็พลันหัวเราะ “เจ้าหนุ่ม ข้าว่าเจ้าก็หาได้แต่งตัวดี แต่กลับมีกริชอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำงานบางอย่างที่ไม่เหมาะสมนะ

ลูเซียนประหลาดใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพูดคุยกับเขา คิดเสร็จเขาก็ตอบอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า”

ชายชราร่างผอมแย้มยิ้มกว้าง “อย่างไรก็ดี ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าเองก็กำลังลำบากไม่น้อย เพราะแม้แต่คนหนุ่มอย่างเจ้าที่ขยันทำงานอย่างหนัก ก็ยังไม่ได้กินขนมปังขาวและเนื้อทุกวัน ข้าคิดว่านั่นหาใช่ความผิดของเจ้า หลักคำสอนของนักบุญแห่งความจริงบอกเราว่าทุกคนคือผู้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า แต่เหตุใดพวกขุนนางถึงได้มีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย แต่คนจนที่ศรัทธาในพระเจ้ากลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับบาป!”

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะพูดอะไร เจ้าควรหยุดพูดกับข้าเสีย” ลูเซียนกล่าวเสียงเฉยชา

แม้ว่าชายชราร่างผอมจะพูดอย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจนว่ามีเจตนาอย่างไร แต่จากคำพูดของเขา ลูเซียนสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคย นั่นคือการเผยแพร่ศาสนา และจากที่เห็นแล้ว คงจะไม่ใช่ศาสนานักบุญแห่งความจริงเป็นแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าองค์อื่น หรือปีศาจตนใด ตอนนี้ลูเซียนก็ไม่สนใจทั้งนั้น ถ้าเขายังไม่แข็งแกร่งพอแล้วไปพบปะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนอกรีต นั่นคงเป็นการฆ่าตัวตายอย่างหนึ่ง

อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายพูดมากไปกว่านี้ เพราะยิ่งเขารู้ เขาก็จะยิ่งจากไปไม่ได้ ภายใต้การควบคุมของศาสนจักรนักบุญแห่งความจริง การเผยแพร่ความเชื่ออื่นถือเป็นความผิดร้ายแรงและจะต้องถูกเผาทั้งเป็น แต่ขอทานเหล่านี้ไม่มีทางแพร่ข่าวออกไปแน่

ชายชราร่างผอมและขอทานอีกหลายคนไม่คาดคิดว่าลูเซียนจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงจ้องมองลูเซียนด้วยท่าทางกรุ่นโกรธ ราวกับว่าเขาเพิ่งดูถูกเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าของพวกเขา

“อยากจะลองดีกับกริชข้างั้นหรือ” ลูเซียนโบกกริชในมือไปมาจากนั้นจึงเดินต่อไปอย่างสงบนิ่งและมั่นคง

เมื่อเดินมาถึงทางข้ามสายน้ำดำมืดที่ไหลตัดผ่านไปยังทางระบาย ลูเซียนก็สังเกตเห็นว่าจุดที่พวกขอทานนั่งอยู่ก่อนหน้านี้มีผ้าสีดำสะอาดและบนผ้าผืนนั้นก็มีบางอย่างรูปทรงคล้ายเขาสัตว์สีเงิน

ชายชราร่างผอมนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาพูดและรู้สึกว่าเขาไม่ได้เปิดเผยอะไรออกไป มันก็เหมือนกับคำพูดแสดงความไม่พอใจจากคนจนทั่วไป ก็แค่ความไม่พอใจที่พุ่งไปที่พวกขุนนาง ในขณะเดียวกันเขาก็ประเมินอายุของลูเซียน สภาพร่างกาย และกริชในมือ สุดท้ายเขาจึงกลับไปนั่งลงอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังจากทิ้งพวกขอทานมาและเดินต่อไปอีกประมาณสิบนาที เสียงน้ำไหลก็ดังลอยมาเข้าหูลูเซียนชัดขึ้น

‘ดูเหมือนว่าจะเป็นทางระบายน้ำ น่าจะไปถึงแม่น้ำเบเล็ม’ ลูเซียนมองเห็นสายน้ำดำมืดที่ผันผวนเล็กน้อยก่อนจะตกลงไปในหลุมที่มีตาข่ายลวดหนามขนาดใหญ่ขึงกางคลุมไว้ เขาจึงค่อยๆ เดินไปด้านข้าง เพื่อมองหาซากศพจากจุดที่มีขยะกองอยู่แน่นหนา

พอเดินไปถึงตาข่าย ลูเซียนกลับไม่พบอะไร จึงผิดหวังเล็กน้อย และเตรียมตัวจะกลับขึ้นไปด้านบน

แต่เมื่อลูเซียนหันหน้าไปและเห็นทางหางตาว่าจุดหนึ่งของตาข่ายนั้นแตะกับผิวน้ำ เขาประหลาดใจเพราะส่วนอื่นๆ ของตาข่ายไม่มีจุดไหนที่แตะกับผิวน้ำเลย แต่ตรงจุดนั้นคล้ายกับจะมีแสงเรืองรองและน้ำก็กระเพื่อมอยู่ตลอด

ด้วยความอยากรู้ ลูเซียนจึงเดินตรงไปทางด้านนั้น จับตาข่ายเขย่าและพยายามยกมันขึ้น ก่อนจะเพ่งมองมัน จึงได้เห็นว่ามีรูเล็กๆ บนตาข่ายลวดหนามนี้

แต่ก่อนที่จะได้หาคำตอบว่ามันเป็นรูที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือมีคนทำมันขึ้น ลูเซียนก็เห็นวัตถุดำใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นมาตรงหน้าเขา ราวกับเป็นเพราะแรงเขย่าบนตาข่ายเมื่อครู่นี้

เมื่อมันลอยขึ้นมาบนผิวน้ำและชนกับตาข่ายเพราะแรงของสายน้ำดำมืด ลูเซียนก็เห็นได้ชัดเจนว่านั่นคือศพลอยอืด ผิวหนังและกล้ามเนื้อบนใบหน้ากับร่างกายนั้นเน่าเสียผุกร่อนไปมากแล้ว จึงมองได้เพียงเค้าโครงหน้า เสื้อผ้าบนตัวก็เต็มไปด้วยขยะ และมีบางส่วนที่ลอยอยู่ในน้ำ

ลูเซียนสะกดกลั้นความอยากอาเจียนเมื่อเห็นซากศพ และมองหาเห็ดซากศพอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะแทบไม่มีความหวังเพราะศพแช่อยู่ในน้ำ แต่บางทีมันก็อาจมีเรื่องให้ประหลาดใจก็ได้

ขณะมองศพตรงหน้า คิ้วลูเซียนก็ขมวดมุ่น เพราะสาเหตุการตายของศพดูแปลกประหลาดยิ่ง บนอกมีร่องรอยถูกทำร้ายจนแตกหัก และพอลูเซียนใช้กริชแซะดูเมื่อครู่ ก็พบว่าข้างในอกไม่มีหัวใจอยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะถูกควักหัวใจออกมาทั้งเป็น

‘ใครกันที่โหดเหี้ยมถึงขนาดนี้’ ลูเซียนมองศพตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และทันใดนั้น ก็พบถุงใส่เงินตุงๆ อยู่ตรงเอว ‘ทำไมมันดูคุ้นๆ จัง’

พอใช้กริชดึงมันขึ้นมา ลูเซียนก็มองมันอย่างระมัดระวัง ‘นี่มันถุงเงินของฉัน!’

นี่คือถุงเงินที่ลูเซียนถูกพวกอันธพาลปล้นไป และเขาไม่มีเวลาพอจะไปทวงคืน แต่มันกลับมาอยู่กับศพที่ตายอย่างแปลกประหลาดในท่อน้ำเสีย

ลูเซียนพินิจมองใบหน้าของศพอีกครั้งด้วยความประหลาดใจและขยะแขยง

‘อังเดร?’

เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นในหัว ยิ่งลูเซียนมองจึงยิ่งรู้สึกว่าเหมือน แต่ว่าอังเดร คนของแก๊งอารอนจะมาตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?!

————————————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด