Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 184 อัลลิน

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 184 อัลลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าวิธีการเข้าฌานสมาธิแบบโบราณส่วนใหญ่จะได้รับการพิสูจน์โดยอาร์คานาศาสตร์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพ แต่คาถาเวทมนตร์โบราณที่มีเอกลักษณ์หลายอย่างก็ยังคงได้รับความนิยมในหมู่นักเวทในปัจจุบัน ทุกครั้งที่เหล่านักเวททำการสำรวจโบราณวัตถุ ซึ่งยกเว้นวัตถุเวทมนตร์หรือวัสดุเขาหรือนางมักจะมองหาเวทมนตร์หรือพิธีกรรมที่ไม่ซ้ำกัน เพราะเหตุนี้เองทำให้ต้องมีมาตรฐานแบบเดียวกันในการตัดสินว่าเวทมนตร์ดีหรือไม่ดีคือการดูว่ามันมีประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า

ในตอนนี้เวทมนตร์โบราณไม่ได้ด้อยไปกว่าเวทมนตร์สมัยใหม่แน่นอน ความแตกต่างที่อาจเห็นได้ชัดคือความต้องการในการเรียนรู้เวทมนตร์บางอย่างในวันนี้ต่ำกว่าในสมัยอดีต ตัวอย่างเช่นเวทมนตร์ระดับเจ็ดหรือแปดในอดีตก็น่าจะเป็นเวทมนตร์ระดับสี่หรือห้าในวันนี้

ยิ่งไปกว่านั้นเวทมนตร์โบราณที่ไม่เหมือนใครสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับจอมเวทได้เช่นกัน ผลการวิจัยอาร์คานาจำนวนมากมาจากการศึกษาเวทมนตร์โบราณ ดังนั้นสภาจึงค่อนข้างใจกว้างเสมอในกรณีแบบนี้

ในหนังสือโหราศาสตร์และธาตุ เฉพาะเวทมนตร์ระดับสามขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถนับได้ว่าเป็นเวทมนตร์พิเศษและมันยังไม่ได้เกิดขึ้นกับลูเซียน ตอนนี้มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะวางแผนและเลือกเวทมนตร์ที่ไม่ค่อยสำคัญที่เขาสร้างหรือปรับปรุงด้วยตนเองเพื่อเผยแพร่

ในบรรดาเวทมนตร์เหล่านี้ลูเซียนเห็นว่าเวทมนตร์ระดับหนึ่งที่ชื่อเวทลวงใจคน มีคุณค่าที่สุดและมันมีสองรูปแบบอีกด้วยคือ หนึ่งเป้าหมายพ่อมดและหนึ่งเป้าหมายอัศวิน ลูเซียนรู้สึกว่าถ้าเขาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวทมนตร์นี้เขาอาจจะกลายเป็นผู้บุกเบิกในสาขาใหม่ จากนั้นเขาก็อาจจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพลวงตาหรือนักเวทศาสตร์มืด

สำหรับ ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ ลูเซียนไม่สามารถสัมผัสได้ในตอนนี้ ตั้งแต่ที่ผู้คนรู้ว่าลูเซียนเป็นผู้สร้างเวทมนตร์ได้ด้วยตนเอง มันก็คงไม่ยากที่ผู้คนจะรู้ว่าลูเซียนเป็นศาสตราจารย์ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในนครอัลโต้ ลูเซียนไม่ต้องการที่จะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับ ฌานสมาธิสนามแม่เหล็กก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเวทระดับห้า

เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสำนักเวทมนตร์และความเชื่อของศาสนจักร และลูเซียนก็ยังต้องการที่จะรักษาความลับในการสังเคราะห์คาร์บาไมด์ไว้กับตัวเองในตอนนี้เช่นกัน ในเมื่อเข้าเป็นผู้ริเริ่มในด้านนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะเสี่ยงโค่นล้มสองมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และหากเขาไม่ระมัดระวังให้ดีพวกนักเวทศาสตร์มืดและพวกโบสถ์ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะฆ่าเขา

ลูเซียนได้ยินจากแอสตาร์เกี่ยวกับจอมเวทที่ใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขข้อพิพาททางวิชาการมามากมาย แต่ในท้ายที่สุดจอมเวทก็ยังคงเป็นมนุษย์และพวกเขาก็ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาวางข่ายต่อต้านเวทมนตร์เล็กๆ จำนวนหนึ่งไว้ในผนังห้องสนทนามากมาย

จากสถานการณ์อันตรายมากมายที่ลูเซียนได้ผ่านมา เขาก็สรุปได้ว่า ‘ไม่ควรเปิดเผยตัวเองมากเกินไป’

“ถ้าอย่างนั้น ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’…” ลูเซียนคิดกับตัวเองในขณะที่เขาก็เคาะโต๊ะไปด้วยโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ลาร์ซาตัดสินใจทิ้งลูเซียนให้อยู่กับตัวเอง เพราะเขาเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับนักเวทที่จะยอมรับต่อข้อเรียกร้องของสภา

เสียงแหลมของนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดรถไฟก็ค่อยๆ ชะลอตัวและหยุดตรงสถานีสุดท้าย

สถานีนี้ดูน่าขนลุกและมืดสลัวกว่าสถานีอื่นๆ

มีคนจำนวนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์โบราณสีดำขึ้นมาบนเรือ บางคนก็กำลังดูแลกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

“โอ้… พวกที่ชอบสมสู่กับศพ… ข้ายินดีจ่ายมากขึ้นถ้ามันสามารถทำให้รถไฟข้ามไปเมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ได้” ลาร์ซาบ่นด้วยเสียงเบาๆ แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลเล็กน้อยเช่นกัน

“เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’…?” ลูเซียนมองออกไปอย่างสับสนและเห็นรอยแตกในหมอกควัน

ด้วยพลังของมงกุฎสุริยันทำให้ลูเซียนสามารถเห็นรอยแตกที่เชื่อมต่อโลกนี้และโลกแห่งวิญญาณ!

ลูเซียนพบรอยร้าวห้าหรือหกรอยในลักษณะนี้เมื่อตอนเขาเดินทางข้ามทวีป มันสร้างความประหลาดใจให้เขามากเพราะที่โฮล์มก็มีเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่น่าสงสัยเลยที่จะมีนักเวทศาสตร์มืดมากมายที่นี้

ลาร์ซาเข้ามาใกล้กับลูเซียนเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “หลังจากการก็ตั้งสภา พวกที่ชอบสมสู่กับศพเหล่านี้สังเกตเห็นว่าในเมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ มีพลังแห่งความตายที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ มายังเมืองนี้ หากเจ้าได้มีโอกาศเดินทางไปที่เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’… ข้าหมายความว่า… เจ้าจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายมากกว่ามนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไหนจะพวกผีดิบสายพันธ์ใหม่บางชนิดที่สามารถช่วยเกษตรกรและช่างตีเหล็กได้”

“ว้าว… มันเยี่ยมมาก” ลูเซียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

“…” ลาร์ซาไม่รู้จะพูดอะไร

เมื่อนักเวทศาสตร์มืดเข้ามาใกล้ ทั้งลูเซียนและลาร์ซาก็ประหลาดใจ

ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟลิเป

ตามปกติเฟลิเปจะใส่มือของเขาในเสื้อคลุมสีดำและเขาก็ยังดูไม่ค่อยสบาย ในขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวไปอีกมุมหนึ่ง เขาก็มองเห็นตู้โดยสารที่ลาร์ซาและลูเซียนนั่งอยู่

ลาร์ซายืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “สวัสดี ท่านเฟลิเป”

แม้ว่าสภาจะได้ยกเลิกประเพณีที่ไม่ดีมากมายที่มีอยู่ในยุคของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ เช่น พันธะทาสส่วนตัวของนักเวทฝึกหัดมนตร์กับนักเวท แต่การเคารพนักเวทผู้มีอำนาจยังคงอยู่ แม้ว่าลาร์ซาจะมาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ก็ตาม แต่เมื่อต้องเผชิญกับเฟลิเปที่ทั้งระดับเวทมนตร์และอาร์คานาสูงกว่าตัวเขาเอง ลาร์ซาก็ยังคงต้องแสดงความเคารพ

แต่เฟลิเปก็ไม่ได้สนใจ เขาพยักหน้าอย่างเฉยเมยแล้วเดินเข้าไปในตู้ถัดไป

“ลาร์ซา ผู้ชายคนนั้นคือใคร? เขาดูค่อนข้าง… ทรงพลัง” ไฮดี้ ถามในขณะที่นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ หลังลูเซียน

เมื่อเห็นว่าเฟลิเปก็ทำเหมือนไม่รู้จักเขา ลูเซียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา จากนั้นลูเซียนก็มองไปที่ลาร์ซาเหมือนนักเวทฝึกหัดที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้

“ท่านเฟลิเปเป็นนักเวทศาสตร์มืดจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ “ลาร์ซากล่าวว่า และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป” เข้าเป็นจอมเวทระดับสี่และนักเวทศาสตร์มืดระดับห้า เขาเป็นอัจฉริยะ”

“ข้ารู้จักเขา! ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน! ข้าคิดว่าเขาเป็นคนฝ่าผ่านแนวกั้นปิดล้อมของโบสถ์!” สปรินต์กล่าวอย่างตื่นเต้นราวกับว่าเฟลิเปบุคคลที่เขาชื่นชอบ “ท่านเฟลิเปอยู่ในรายการชำระล้างในฐานะนักเวทระดับกลาง! เจ๋งมาก!”

นักเวทฝึกหัดทุกคนในตู้คันนี้กำลังมองไปที่ตู้คันถัดไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับนี้เลย

“อืม… จริงๆ แล้วเราก็มีคนอย่างท่านเฟลิเปในกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ของเราเช่นกัน เราเรียกเขาว่า ‘ศาสตราจารย์’ และเขาก็อยู่ในรายชื่อ… ที่ต่ำกว่าท่านเฟลิเปแค่อันดับเดียว” ลาร์ซาพยายามที่จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’

เมื่อได้ยินคำพูดของลาร์ซา ลูเซียนก็สงสัยว่า ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แน่ใจได้อย่างไรว่า ‘ศาสตราจารย์’ เป็นสมาชิกของพวกเขาจริงๆ

ดังนั้นลูเซียนจึงถามว่า “ข้าเคยได้ยินชื่อเขามาสองสามครั้งแล้ว เขามาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ หรือไม่?”

“แน่นอนท่านเฟลิเปดูเหมือนจะไม่ถูกกับศาสตราจารย์ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการของเราท่านแกสตันพบว่าท่านเฟลิเปแอบมาตรวจสอบนักเวทในกลุ่มของเราอย่างลับๆ ท่านแกสตันโกรธมากและเกือบจะฆ่าท่านเฟลิเป นี่อาจเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดในสภาเมื่อเร็วๆ เลย” ลาร์ซาตอบ

จากนั้นลาร์ซาก็เหลียวมองไปที่ตู้ถัดไปและลดเสียงของเขาลงอีก “จอมเวทหลายคนที่รู้จักกับท่านเฟลิเปพูดว่าหลังจากนายเฟลิเปกลับมาจากภารกิจ เขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาบอกว่าเขาสงบลง หยิ่งน้อยลงและดูเหมือนว่าเขาจะกำลังทำการทดลองอย่างลับๆ อยู่ในตอนนี้”

ลูเซียนพยักหน้าและเริ่มวิเคราะห์ ตามคำพูดของลาร์ซา ลูเซียนเดาว่าแม้ว่าเฟลิเปจะบอกกับคนอื่นว่าศาสตราจารย์มาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แต่เขาก็ไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการสังเคราะห์ยูเรีย มิฉะนั้นการทดลองของศาสตราจารย์จะกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สุดเมื่อไม่นานมานี้แทน

ในทางกลับกันลูเซียนค่อนข้างมั่นใจว่าเฟลิเปพยายามที่จะสังเคราะห์องค์ประกอบชีวิตของเขาเอง

แคทรีนา นักเวทฝึกหัดอีกคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะสนใจศาสตราจารย์ลึกลับคนนี้

“ท่านลาร์ซา ท่านรู้จักชื่อจริงของศาสตราจารย์ไหม?”

“ข้าไม่รู้” ลาร์ซาตอบ “มหาจอมเวทแฮททาเวย์ กล่าวว่าท่านศาสตราจารย์มาจากสภา แล้วเธอก็ไม่ได้บอกอะไรอีกเกี่ยวกับศาสตราจารย์ลึกลับคนนี้”

ลูเซียนรู้สึกอับอายอย่างมาก เมื่อผู้อำนวยการของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ พบว่าไม่มีบุคคลที่ชื่อศาสตราจารย์ดังกล่าวในกลุ่มของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือในสภาระดับที่สูงซึ่งก็คือแฮททาเวย์ ค่อนข้างเป็นไปได้ว่าแฮททาเวย์ได้พบศาสตราจารย์คนนี้มาจากวันที่และสถานที่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นและแฮททาเวย์ก็ดูแลนาตาซาเป็นอย่างดีมาก

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างแฮททาเวย์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของศาสตราจารย์ลึกลับออกไป

ในเวลานี้แอนนิคที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างและปากของเขาก็เปิดออกด้วยความประหลาดใจ “เรา… เรากำลังบิน!”

ลูเซียนเพิ่งสังเกตเห็นว่ารถไฟได้ออกจากพื้นดินลอยขึ้นไปในอากาศ ในขณะที่รถไฟยังอยู่บนราง

ป่า ทุ่งนา คฤหาสน์ และเมืองบนพื้นด้านล่างก็ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จนดูราวกับมด

“สนามต่อต้านแรงโน้มถ่วง มีสนามต่อต้านแรงโน้มถ่วงบนรางรถไฟใกล้กับอัลลิน” เมื่อเห็นลูเซียนหันไปมองรอบๆ ลาร์ซาก็ตอบเขาก่อนที่ลูเซียนจะถามคำถามว่า “เจ้าจะเห็นสิ่งเหล่านี้รอบๆ อัลลินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นสภาได้ล้มละลายแน่”

นักเวทฝึกหัดแห่กันไปที่หน้าต่างและดูรถไฟที่แล่นผ่านท้องฟ้าสีคราม จุดสีดำที่ด้านหน้ารถไฟเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า!

เมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากยอดภูเขาขนาดใหญ่ที่ถูกตัดออกจากภูเขาและให้ส่วนปลายของภูเขาคว่ำลงมา ในส่วนตัวภูเขาที่ถูกตัดขวางมีพื้นที่กว้างมากซึ่งทำหน้าที่เป็นดินแดนของเมืองนี้ทั้งหมด มีสวน ไม้ ถนน อาคารธรรมดานับไม่ถ้วน และจุดเวทมนตร์แตกต่างกันหลายรูปแบบ ทั้งเมืองมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของนครอัลโต้

นี่คือสำนักงานใหญ่ของ ‘สภาแห่งเวทมนตร์’ ‘นี้คือเมืองลอยฟ้า’ ‘นี้คือ อัลลิน’!

“วิเศษมาก…”

“ว้าว…”

เมื่อเห็นว่านักเวทฝึกหัดแทบทุกคนเกือบจะกรามหลุดออกมาจากการมองเห็นทัศนียภาพดังกล่าว ลาร์ซาก็ยิ้มและกล่าวว่า “พวกเจ้ายังมีโอกาสมากมายที่จะมาเดินชมเมือง แต่ก่อนหน้านั้นทางสภาจะมีการประเมินพวกเจ้า เพื่อที่จะส่งพวกเจ้าไปสำนักที่เหมาะสมตามระดับอาร์คานาและความสนใจ”

“การประเมิน? ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้?” ไฮดี้อุทานออกมา และนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ ก็รีบนั่งลงบนที่นั่งแล้วเริ่มเปิดหนังสือเพื่อเตรียมตัว

ทั้งสปรินต์ และแคทรีนา ยังค่อนข้างสงบนิ่ง จากนั้นนางก็พูดกับไฮดี้ว่า “เจ้าเรียนอาร์คานามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังตื่นตกใจเช่นนี้อีก”

“ข้ายังไม่พร้อม… ยังไม่พร้อม…” ไฮดี้บ่น ขณะอ่านหนังสืออย่างประหม่า

รถไฟชะลอความเร็วลงและหยุดที่สถานีชานชาลาของอัลลิน

ในตอนนี้เอง สาวสวยสองคนที่สวมชุดสีน้ำเงินอ่อนและถือสมุดบันทึกปกแข็งก็เดินเข้ามาในรถไฟ พวกนางพูดกับลูเซียนและลาร์ซาด้วยความเคารพ “แขกผู้มีเกียรติที่รัก โปรดแนะนำข้อเสนอแนะที่มีค่าของท่านเพื่อช่วยปรับปรุงการบริการของเรา”

ตอนนี้รถไฟไอน้ำเวทมนตร์ยังคงอยู่ในระยะนำร่องเริ่มแรก

ลูเซียนหยิบสมุดบันทึกและปากกามาเขียนคำสองคำอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ส่งสมุดบันทึกไปที่ลาร์ซา

ลาร์ซามองไปที่ความคิดเห็นที่ลูเซียนเขียนทิ้งไว้อย่างสับสน

ในสมุดบันทึกมันเขียนไว้ว่า “ห้าคะแนนเต็ม!”

………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 184 อัลลิน

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 184 อัลลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าวิธีการเข้าฌานสมาธิแบบโบราณส่วนใหญ่จะได้รับการพิสูจน์โดยอาร์คานาศาสตร์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพ แต่คาถาเวทมนตร์โบราณที่มีเอกลักษณ์หลายอย่างก็ยังคงได้รับความนิยมในหมู่นักเวทในปัจจุบัน ทุกครั้งที่เหล่านักเวททำการสำรวจโบราณวัตถุ ซึ่งยกเว้นวัตถุเวทมนตร์หรือวัสดุเขาหรือนางมักจะมองหาเวทมนตร์หรือพิธีกรรมที่ไม่ซ้ำกัน เพราะเหตุนี้เองทำให้ต้องมีมาตรฐานแบบเดียวกันในการตัดสินว่าเวทมนตร์ดีหรือไม่ดีคือการดูว่ามันมีประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า

ในตอนนี้เวทมนตร์โบราณไม่ได้ด้อยไปกว่าเวทมนตร์สมัยใหม่แน่นอน ความแตกต่างที่อาจเห็นได้ชัดคือความต้องการในการเรียนรู้เวทมนตร์บางอย่างในวันนี้ต่ำกว่าในสมัยอดีต ตัวอย่างเช่นเวทมนตร์ระดับเจ็ดหรือแปดในอดีตก็น่าจะเป็นเวทมนตร์ระดับสี่หรือห้าในวันนี้

ยิ่งไปกว่านั้นเวทมนตร์โบราณที่ไม่เหมือนใครสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับจอมเวทได้เช่นกัน ผลการวิจัยอาร์คานาจำนวนมากมาจากการศึกษาเวทมนตร์โบราณ ดังนั้นสภาจึงค่อนข้างใจกว้างเสมอในกรณีแบบนี้

ในหนังสือโหราศาสตร์และธาตุ เฉพาะเวทมนตร์ระดับสามขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถนับได้ว่าเป็นเวทมนตร์พิเศษและมันยังไม่ได้เกิดขึ้นกับลูเซียน ตอนนี้มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะวางแผนและเลือกเวทมนตร์ที่ไม่ค่อยสำคัญที่เขาสร้างหรือปรับปรุงด้วยตนเองเพื่อเผยแพร่

ในบรรดาเวทมนตร์เหล่านี้ลูเซียนเห็นว่าเวทมนตร์ระดับหนึ่งที่ชื่อเวทลวงใจคน มีคุณค่าที่สุดและมันมีสองรูปแบบอีกด้วยคือ หนึ่งเป้าหมายพ่อมดและหนึ่งเป้าหมายอัศวิน ลูเซียนรู้สึกว่าถ้าเขาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวทมนตร์นี้เขาอาจจะกลายเป็นผู้บุกเบิกในสาขาใหม่ จากนั้นเขาก็อาจจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพลวงตาหรือนักเวทศาสตร์มืด

สำหรับ ‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’ ลูเซียนไม่สามารถสัมผัสได้ในตอนนี้ ตั้งแต่ที่ผู้คนรู้ว่าลูเซียนเป็นผู้สร้างเวทมนตร์ได้ด้วยตนเอง มันก็คงไม่ยากที่ผู้คนจะรู้ว่าลูเซียนเป็นศาสตราจารย์ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในนครอัลโต้ ลูเซียนไม่ต้องการที่จะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับ ฌานสมาธิสนามแม่เหล็กก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเวทระดับห้า

เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสำนักเวทมนตร์และความเชื่อของศาสนจักร และลูเซียนก็ยังต้องการที่จะรักษาความลับในการสังเคราะห์คาร์บาไมด์ไว้กับตัวเองในตอนนี้เช่นกัน ในเมื่อเข้าเป็นผู้ริเริ่มในด้านนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะเสี่ยงโค่นล้มสองมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และหากเขาไม่ระมัดระวังให้ดีพวกนักเวทศาสตร์มืดและพวกโบสถ์ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะฆ่าเขา

ลูเซียนได้ยินจากแอสตาร์เกี่ยวกับจอมเวทที่ใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขข้อพิพาททางวิชาการมามากมาย แต่ในท้ายที่สุดจอมเวทก็ยังคงเป็นมนุษย์และพวกเขาก็ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาวางข่ายต่อต้านเวทมนตร์เล็กๆ จำนวนหนึ่งไว้ในผนังห้องสนทนามากมาย

จากสถานการณ์อันตรายมากมายที่ลูเซียนได้ผ่านมา เขาก็สรุปได้ว่า ‘ไม่ควรเปิดเผยตัวเองมากเกินไป’

“ถ้าอย่างนั้น ‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’…” ลูเซียนคิดกับตัวเองในขณะที่เขาก็เคาะโต๊ะไปด้วยโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ลาร์ซาตัดสินใจทิ้งลูเซียนให้อยู่กับตัวเอง เพราะเขาเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับนักเวทที่จะยอมรับต่อข้อเรียกร้องของสภา

เสียงแหลมของนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดรถไฟก็ค่อยๆ ชะลอตัวและหยุดตรงสถานีสุดท้าย

สถานีนี้ดูน่าขนลุกและมืดสลัวกว่าสถานีอื่นๆ

มีคนจำนวนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์โบราณสีดำขึ้นมาบนเรือ บางคนก็กำลังดูแลกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

“โอ้… พวกที่ชอบสมสู่กับศพ… ข้ายินดีจ่ายมากขึ้นถ้ามันสามารถทำให้รถไฟข้ามไปเมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ได้” ลาร์ซาบ่นด้วยเสียงเบาๆ แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลเล็กน้อยเช่นกัน

“เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’…?” ลูเซียนมองออกไปอย่างสับสนและเห็นรอยแตกในหมอกควัน

ด้วยพลังของมงกุฎสุริยันทำให้ลูเซียนสามารถเห็นรอยแตกที่เชื่อมต่อโลกนี้และโลกแห่งวิญญาณ!

ลูเซียนพบรอยร้าวห้าหรือหกรอยในลักษณะนี้เมื่อตอนเขาเดินทางข้ามทวีป มันสร้างความประหลาดใจให้เขามากเพราะที่โฮล์มก็มีเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่น่าสงสัยเลยที่จะมีนักเวทศาสตร์มืดมากมายที่นี้

ลาร์ซาเข้ามาใกล้กับลูเซียนเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “หลังจากการก็ตั้งสภา พวกที่ชอบสมสู่กับศพเหล่านี้สังเกตเห็นว่าในเมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ มีพลังแห่งความตายที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ มายังเมืองนี้ หากเจ้าได้มีโอกาศเดินทางไปที่เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’… ข้าหมายความว่า… เจ้าจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายมากกว่ามนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไหนจะพวกผีดิบสายพันธ์ใหม่บางชนิดที่สามารถช่วยเกษตรกรและช่างตีเหล็กได้”

“ว้าว… มันเยี่ยมมาก” ลูเซียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

“…” ลาร์ซาไม่รู้จะพูดอะไร

เมื่อนักเวทศาสตร์มืดเข้ามาใกล้ ทั้งลูเซียนและลาร์ซาก็ประหลาดใจ

ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟลิเป

ตามปกติเฟลิเปจะใส่มือของเขาในเสื้อคลุมสีดำและเขาก็ยังดูไม่ค่อยสบาย ในขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวไปอีกมุมหนึ่ง เขาก็มองเห็นตู้โดยสารที่ลาร์ซาและลูเซียนนั่งอยู่

ลาร์ซายืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “สวัสดี ท่านเฟลิเป”

แม้ว่าสภาจะได้ยกเลิกประเพณีที่ไม่ดีมากมายที่มีอยู่ในยุคของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ เช่น พันธะทาสส่วนตัวของนักเวทฝึกหัดมนตร์กับนักเวท แต่การเคารพนักเวทผู้มีอำนาจยังคงอยู่ แม้ว่าลาร์ซาจะมาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ก็ตาม แต่เมื่อต้องเผชิญกับเฟลิเปที่ทั้งระดับเวทมนตร์และอาร์คานาสูงกว่าตัวเขาเอง ลาร์ซาก็ยังคงต้องแสดงความเคารพ

แต่เฟลิเปก็ไม่ได้สนใจ เขาพยักหน้าอย่างเฉยเมยแล้วเดินเข้าไปในตู้ถัดไป

“ลาร์ซา ผู้ชายคนนั้นคือใคร? เขาดูค่อนข้าง… ทรงพลัง” ไฮดี้ ถามในขณะที่นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ หลังลูเซียน

เมื่อเห็นว่าเฟลิเปก็ทำเหมือนไม่รู้จักเขา ลูเซียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา จากนั้นลูเซียนก็มองไปที่ลาร์ซาเหมือนนักเวทฝึกหัดที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้

“ท่านเฟลิเปเป็นนักเวทศาสตร์มืดจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ “ลาร์ซากล่าวว่า และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป” เข้าเป็นจอมเวทระดับสี่และนักเวทศาสตร์มืดระดับห้า เขาเป็นอัจฉริยะ”

“ข้ารู้จักเขา! ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน! ข้าคิดว่าเขาเป็นคนฝ่าผ่านแนวกั้นปิดล้อมของโบสถ์!” สปรินต์กล่าวอย่างตื่นเต้นราวกับว่าเฟลิเปบุคคลที่เขาชื่นชอบ “ท่านเฟลิเปอยู่ในรายการชำระล้างในฐานะนักเวทระดับกลาง! เจ๋งมาก!”

นักเวทฝึกหัดทุกคนในตู้คันนี้กำลังมองไปที่ตู้คันถัดไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับนี้เลย

“อืม… จริงๆ แล้วเราก็มีคนอย่างท่านเฟลิเปในกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ของเราเช่นกัน เราเรียกเขาว่า ‘ศาสตราจารย์’ และเขาก็อยู่ในรายชื่อ… ที่ต่ำกว่าท่านเฟลิเปแค่อันดับเดียว” ลาร์ซาพยายามที่จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’

เมื่อได้ยินคำพูดของลาร์ซา ลูเซียนก็สงสัยว่า ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แน่ใจได้อย่างไรว่า ‘ศาสตราจารย์’ เป็นสมาชิกของพวกเขาจริงๆ

ดังนั้นลูเซียนจึงถามว่า “ข้าเคยได้ยินชื่อเขามาสองสามครั้งแล้ว เขามาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ หรือไม่?”

“แน่นอนท่านเฟลิเปดูเหมือนจะไม่ถูกกับศาสตราจารย์ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการของเราท่านแกสตันพบว่าท่านเฟลิเปแอบมาตรวจสอบนักเวทในกลุ่มของเราอย่างลับๆ ท่านแกสตันโกรธมากและเกือบจะฆ่าท่านเฟลิเป นี่อาจเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดในสภาเมื่อเร็วๆ เลย” ลาร์ซาตอบ

จากนั้นลาร์ซาก็เหลียวมองไปที่ตู้ถัดไปและลดเสียงของเขาลงอีก “จอมเวทหลายคนที่รู้จักกับท่านเฟลิเปพูดว่าหลังจากนายเฟลิเปกลับมาจากภารกิจ เขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาบอกว่าเขาสงบลง หยิ่งน้อยลงและดูเหมือนว่าเขาจะกำลังทำการทดลองอย่างลับๆ อยู่ในตอนนี้”

ลูเซียนพยักหน้าและเริ่มวิเคราะห์ ตามคำพูดของลาร์ซา ลูเซียนเดาว่าแม้ว่าเฟลิเปจะบอกกับคนอื่นว่าศาสตราจารย์มาจาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แต่เขาก็ไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการสังเคราะห์ยูเรีย มิฉะนั้นการทดลองของศาสตราจารย์จะกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สุดเมื่อไม่นานมานี้แทน

ในทางกลับกันลูเซียนค่อนข้างมั่นใจว่าเฟลิเปพยายามที่จะสังเคราะห์องค์ประกอบชีวิตของเขาเอง

แคทรีนา นักเวทฝึกหัดอีกคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะสนใจศาสตราจารย์ลึกลับคนนี้

“ท่านลาร์ซา ท่านรู้จักชื่อจริงของศาสตราจารย์ไหม?”

“ข้าไม่รู้” ลาร์ซาตอบ “มหาจอมเวทแฮททาเวย์ กล่าวว่าท่านศาสตราจารย์มาจากสภา แล้วเธอก็ไม่ได้บอกอะไรอีกเกี่ยวกับศาสตราจารย์ลึกลับคนนี้”

ลูเซียนรู้สึกอับอายอย่างมาก เมื่อผู้อำนวยการของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ พบว่าไม่มีบุคคลที่ชื่อศาสตราจารย์ดังกล่าวในกลุ่มของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือในสภาระดับที่สูงซึ่งก็คือแฮททาเวย์ ค่อนข้างเป็นไปได้ว่าแฮททาเวย์ได้พบศาสตราจารย์คนนี้มาจากวันที่และสถานที่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นและแฮททาเวย์ก็ดูแลนาตาซาเป็นอย่างดีมาก

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างแฮททาเวย์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของศาสตราจารย์ลึกลับออกไป

ในเวลานี้แอนนิคที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างและปากของเขาก็เปิดออกด้วยความประหลาดใจ “เรา… เรากำลังบิน!”

ลูเซียนเพิ่งสังเกตเห็นว่ารถไฟได้ออกจากพื้นดินลอยขึ้นไปในอากาศ ในขณะที่รถไฟยังอยู่บนราง

ป่า ทุ่งนา คฤหาสน์ และเมืองบนพื้นด้านล่างก็ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จนดูราวกับมด

“สนามต่อต้านแรงโน้มถ่วง มีสนามต่อต้านแรงโน้มถ่วงบนรางรถไฟใกล้กับอัลลิน” เมื่อเห็นลูเซียนหันไปมองรอบๆ ลาร์ซาก็ตอบเขาก่อนที่ลูเซียนจะถามคำถามว่า “เจ้าจะเห็นสิ่งเหล่านี้รอบๆ อัลลินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นสภาได้ล้มละลายแน่”

นักเวทฝึกหัดแห่กันไปที่หน้าต่างและดูรถไฟที่แล่นผ่านท้องฟ้าสีคราม จุดสีดำที่ด้านหน้ารถไฟเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า!

เมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากยอดภูเขาขนาดใหญ่ที่ถูกตัดออกจากภูเขาและให้ส่วนปลายของภูเขาคว่ำลงมา ในส่วนตัวภูเขาที่ถูกตัดขวางมีพื้นที่กว้างมากซึ่งทำหน้าที่เป็นดินแดนของเมืองนี้ทั้งหมด มีสวน ไม้ ถนน อาคารธรรมดานับไม่ถ้วน และจุดเวทมนตร์แตกต่างกันหลายรูปแบบ ทั้งเมืองมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของนครอัลโต้

นี่คือสำนักงานใหญ่ของ ‘สภาแห่งเวทมนตร์’ ‘นี้คือเมืองลอยฟ้า’ ‘นี้คือ อัลลิน’!

“วิเศษมาก…”

“ว้าว…”

เมื่อเห็นว่านักเวทฝึกหัดแทบทุกคนเกือบจะกรามหลุดออกมาจากการมองเห็นทัศนียภาพดังกล่าว ลาร์ซาก็ยิ้มและกล่าวว่า “พวกเจ้ายังมีโอกาสมากมายที่จะมาเดินชมเมือง แต่ก่อนหน้านั้นทางสภาจะมีการประเมินพวกเจ้า เพื่อที่จะส่งพวกเจ้าไปสำนักที่เหมาะสมตามระดับอาร์คานาและความสนใจ”

“การประเมิน? ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้?” ไฮดี้อุทานออกมา และนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ ก็รีบนั่งลงบนที่นั่งแล้วเริ่มเปิดหนังสือเพื่อเตรียมตัว

ทั้งสปรินต์ และแคทรีนา ยังค่อนข้างสงบนิ่ง จากนั้นนางก็พูดกับไฮดี้ว่า “เจ้าเรียนอาร์คานามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังตื่นตกใจเช่นนี้อีก”

“ข้ายังไม่พร้อม… ยังไม่พร้อม…” ไฮดี้บ่น ขณะอ่านหนังสืออย่างประหม่า

รถไฟชะลอความเร็วลงและหยุดที่สถานีชานชาลาของอัลลิน

ในตอนนี้เอง สาวสวยสองคนที่สวมชุดสีน้ำเงินอ่อนและถือสมุดบันทึกปกแข็งก็เดินเข้ามาในรถไฟ พวกนางพูดกับลูเซียนและลาร์ซาด้วยความเคารพ “แขกผู้มีเกียรติที่รัก โปรดแนะนำข้อเสนอแนะที่มีค่าของท่านเพื่อช่วยปรับปรุงการบริการของเรา”

ตอนนี้รถไฟไอน้ำเวทมนตร์ยังคงอยู่ในระยะนำร่องเริ่มแรก

ลูเซียนหยิบสมุดบันทึกและปากกามาเขียนคำสองคำอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ส่งสมุดบันทึกไปที่ลาร์ซา

ลาร์ซามองไปที่ความคิดเห็นที่ลูเซียนเขียนทิ้งไว้อย่างสับสน

ในสมุดบันทึกมันเขียนไว้ว่า “ห้าคะแนนเต็ม!”

………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+