Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 23 บันทึกของแม่มด

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 23 บันทึกของแม่มด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นท่าทาง ‘ง่ายๆ’ และ ‘จริงใจ’ ของลูเซียน วิกเตอร์ก็อดหัวเราะออกมาจนน้ำตาแทบไหลไม่ได้ ไม่ว่าไรห์น ล็อตต์ หรือเฟลิเซีย ต่างก็หัวร่องอหายหมดความสง่างาม กระทั่งซาเวียร์เองยังส่ายหน้าและยิ้มขัน นักเรียนคนที่ไม่มีโอกาสได้รับข้อเสนอเป็นศิษย์สายตรงของวิกเตอร์เพื่อเรียนดนตรีก็หัวเราะเช่นกัน แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไว้ด้วยความขมขื่นและริษยา

ลูเซียนมองปฏิกิริยาของทุกคนด้วยสีหน้าเซ่อซ่า และพอจะเข้าใจแล้วว่าพวกเขาขำในความไม่รู้อะไรของเขา แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีท่าทีสงสัยหรือคิดว่าแปลก มันจึงไม่น่าใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เขาเลยถามออกไป “ท่านวิกเตอร์ขอรับ”

วิกเตอร์กระแอมสองสามครั้ง พยายามหยุดยิ้ม ก่อนจะหันมองลูเซียนด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูเซียน ที่ข้าหมายถึงคือ เจ้าอยากเรียนดนตรีกับข้าหรือไม่ แม้ว่าจะยากเพราะเจ้ามาเริ่มเอาตอนอายุเท่านี้ แต่เส้นทางสู่การเป็นนักดนตรีนั้นเป็นเรื่องของพรสวรรค์มากกว่า และด้วยความสามารถพิเศษของเจ้า หลังจากเรียนกับข้าไม่กี่ปี เจ้าก็จะเป็นนักดนตรีมีคุณภาพได้แน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องชีวิตในอนาคตเลย นักดนตรีของอัลโต้มักมีขุนนางจากอาณาจักรอื่นมาเชื้อเชิญเสมอ”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสริมอย่างขบขันว่า “แน่นอนว่าไม่ต้องจ่ายค่าเรียน”

นั่นทำให้ไรห์น ล็อตต์ และคนอื่นๆ หัวเราะออกมาอีกครั้ง

วิกเตอร์แบ่งลูกศิษย์ของเขาออกเป็นสามประเภท หนึ่งคือนักเรียนที่มาเรียนอ่านเขียน ต้องจ่ายห้านาร์ต่อเดือน และถ้านักเรียนคนนั้นมีความสามารถก็จะได้รับเลือกให้เป็นลูกศิษย์ประเภทที่สอง นั่นคือมาเรียนดนตรีกับเขาโดยต้องจ่ายสิบนาร์ต่อเดือน และหากว่านักเรียนแสดงพรสวรรค์โดดเด่นออกมาตอนเรียนดนตรี ก็จะได้เป็นลูกศิษย์ประเภทที่สาม ซึ่งก็คือศิษย์สายตรงที่จะติดตามเขาไปแสดงและใช้เส้นสายความสัมพันธ์เพื่อสร้างชื่อเสียง

ตอนนี้วิกเตอร์มีลูกศิษย์สายตรงเพียงคนเดียว และเขาก็กลายเป็นนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงพอสมควรแล้ว

ส่วนล็อตต์ เฟลิเซีย และเฮโรโดตัสนั้นเป็นลูกศิษย์ประเภทที่สอง หากลูเซียนตอบตกลง เขาก็จะจัดอยู่ในประเภทนี้ เพียงแต่ไม่ต้องจ่ายสิบนาร์ต่อเดือน

วิกเตอร์มีรายได้จากการสอนลูกศิษย์ราวๆ 7 ธาเลต่อปี เทียบเท่ากับค่าแรงที่ดีที่สุดของชนชั้นสามัญชนที่ไม่ได้ทำการค้า แต่นี่ไม่ถือว่ามากมายสำหรับรายได้ต่อปีของนักดนตรีมีชื่อ ยกตัวอย่างเช่น บิดาของแอนนี่เป็นเสมียนอยู่ในศาลาว่าการ และมีรายได้ต่อปีเพียง 15 ธาเล แต่รายได้ส่วนใหญ่ของวิกเตอร์นั้นมาจากการรับคำเชิญไปขึ้นแสดงให้กับเหล่าขุนนางและงานระดับชาติที่ทางสมาคมนักดนตรีจัดขึ้น ปกติแล้ว เขาจะได้เหรียญทองมาประมาณ 100 ธาเลต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีที่ดินหรือกิจการร้านค้าเป็นของตนเอง

ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้วิกเตอร์จะไม่ตอบรับคำเชิญไปขึ้นแสดงตลอดปีที่ผ่านมา และเขากำลังประสบปัญหาเรื่องเงิน แต่การงดเว้นค่าเล่าเรียนของลูเซียนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขานัก

ลูเซียนคาดไม่ถึงว่าวิกเตอร์จะขอบคุณตนด้วยการแสดงความต้องการจะรับเป็นศิษย์เรียนดนตรีเช่นนี้ ครู่หนึ่งที่เขาลังเล แต่ไม่นานลูเซียนก็คิดถึงบันทึกของแม่มดและเขาเองก็อยากจะตอบแทนครอบครัวของโจเอล จึงคิดในใจว่า

‘ฉันยังไม่รู้ว่าจะหาที่เหมาะๆ เรียนเวทมนตร์ได้อย่างไร กลัวว่าฉันจะต้องอยู่ที่อัลโต้ไปอีกนาน อย่างไรเสีย อัลโต้ก็เป็นเมืองใหญ่และมั่งคั่งที่สุดในแถบตะวันตก ใกล้กับเทือกเขาไร้แสงที่สุด และเป็นเมืองที่มีคนเก่งๆ อยู่เยอะมาก การจะหาส่วนประกอบทางเวทมนตร์จากที่นี่คงสะดวกกว่ามาก เพราะอย่างนี้ การเป็นนักเรียนดนตรีหรือนักดนตรีคงจะช่วยปกปิดว่าฉันเป็นนักเวทได้ แล้วก็จะได้เก็บเงินตามที่คิดไว้ อาชีพนี้ยังไงก็เป็นอาชีพที่น่านับถือในอัลโต้’

ตอนที่เขาวางแผนจะเริ่มเรียนเวทมนตร์ในเมืองอัลโต้ ลูเซียนไม่อยากจะใช้สิ่งประดิษฐ์หรืองานสร้างสรรค์ทั้งหลายจากห้องสมุดในห้วงจิตมาหาเงิน เพราะมันอาจดึงดูดความสนใจคนจากโบสถ์ได้ง่าย เมื่อไหร่ที่เขาหาสถานที่ที่จะเรียนเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยแล้วค่อยทำตามแผนเดิมก็ไม่สาย

หลังจากคิดวุ่นวายในหัวอย่างรวดเร็ว ลูเซียนก็ตัดสินใจได้และยิ้มตอบอย่างจริงใจ “ขอบคุณขอรับ ท่านวิกเตอร์ ข้าหวังอย่างยิ่งที่จะได้เรียนเสียงเพลงอันงดงามไพเราะจากท่าน”

วิกเตอร์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ลูเซียน ความเรียบง่าย ขยันหมั่นเพียร จริงจัง และความเฉลียวฉลาดของเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าแทบไม่พบเจอมาก่อน ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จไม่น้อยบนเส้นทางนักดนตรีนี้”

หลังจบประโยคนั้น ลูเซียนก็กลายเป็นศิษย์ที่ได้รับอนุญาตให้เรียนดนตรีกับวิกเตอร์อย่างเป็นทางการ และนั่นทำให้แอนนี่ คอลิน และนักเรียนคนอื่นเริ่มรู้สึกสิ้นหวังและไม่พอใจ

“ข้าไม่ใช่คนเรียบง่ายหรอกขอรับ” ลูเซียนอดที่จะปฏิเสธไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าสายตาของคอลิน เรเน่ และคนอื่นๆ ที่มองมานั้นชวนให้รู้สึกไม่สบายใจชอบกล

วิกเตอร์เรียกพ่อบ้านเอซเข้ามาและคืนเงินห้านาร์ให้กับลูเซียน จากนั้นจึงเชิญไรห์นกับซาเวียร์ไปที่ห้องหนังสือเพื่อขอบคุณพวกเขาเป็นการส่วนตัว และปล่อยให้ล็อตต์ เฟลิเซีย กับเฮโรโดตัสอยู่ในห้องดนตรีเพื่อฝึกซ้อม ส่วนการยกเครื่องฮาร์ปซิคอร์ดนั้นไว้ค่อยทำต่อในภายหลัง

หลังจากที่ลูเซียนยืมพจนานุกรมภาษากลางแล้ว ก็ออกจากห้องโถง เตรียมตัวจะกลับบ้าน เพราะเขายังไม่มีพื้นฐานทางด้านดนตรีสักนิด

“สวัสดี ลูเซียน” เรเน่ เด็กสาวผมสีน้ำตาลร่างเล็ก จู่ๆ ก็เร่งเดินขึ้นมาจากข้างหลัง พร้อมกับส่งยิ้มสดใสให้ “ข้าชื่อเรเน่ เรเน่ ไวซ์ เจ้ามีพรสวรรค์ในการเรียนภาษาจริงๆ”

ลูเซียนกำลังตื่นเต้นที่จะได้ใช้พจนานุกรมช่วยอ่านตีความบันทึกของแม่มด จึงไม่คิดอยากพูดคุยกับเรเน่ “สวัสดี เรเน่ ข้ามีธุระด่วนและกำลังจะสายแล้ว ไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะ ขออภัยด้วย ข้ารีบจริงๆ”

“น่าเสียดายยิ่ง ไปเถอะลูเซียน แล้วพบกันใหม่นะ” สีหน้าเรเน่พลันแข็งทื่อ แต่ก็กลับมายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสดงความเข้าอกเข้าใจ

ในตอนนั้นเอง แอนนี่กับแม็กซี สหายสูงศักดิ์อีกคนกำลังเดินผ่านอีกทางด้านหนึ่งของลูเซียน แม็กซีส่งเสียงเยาะขึ้นจมูกเบาๆ จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปนอกรั้วด้วยท่วงท่าสง่างามโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองทั้งสองคนอีก

เรเน่ที่อยู่หลังลูเซียนและคนอื่นๆ พลันยิ้มแข็งทื่อ ในใจรู้สึกเหลือเชื่อกับการที่ตัวเองต้องการสร้างความสัมพันธ์กับคนธรรมดาๆ อย่างลูเซียน ซึ่งทำให้แอนนี่ไม่พอใจ การเข้าหาและประจบสอพลอตลอดหลายวันมานี้กลับกลายเป็นสูญเปล่าในทันที

คอลินและเดวิดมองเรเน่ด้วยรอยยิ้มเยาะ จากนั้นจึงเหลือบมองแผ่นหลังของลูเซียนแล้วส่ายหน้า นึกเสียใจลึกๆ ที่พวกตนช่างไม่มีโชคเช่นนั้น

เมื่อเขากลับมาถึงกระท่อมในเขตอาเดรอน ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว แต่เมืองอัลโต้ใกล้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว ท้องฟ้าจึงยังสว่างอยู่ ลูเซียนอ้างว่าเขาอยากจะทบทวนบทเรียน และบอกอะลิซ่าว่าจะไม่ไปกินมื้อเย็นที่บ้านนาง จากนั้นเขาก็อบขนมปังก้อนสีดำเพื่อเติมเต็มท้องว่างๆ ส่วนเรื่องดีๆ อย่างการยกเลิกค่าเล่าเรียนและการคืนเงินแปดนาร์ให้อะลิซ่าทั้งหมดนั้นไว้เขาค่อยบอกพรุ่งนี้โดยที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า

ณ ตอนนี้ สำหรับลูเซียนแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการอ่านบันทึกของแม่มดและเรียนเวทมนตร์!

หลังจากกินขนมปังดำหมด ลูเซียนก็ลงกลอนประตูไม้ที่ซ่อมแซมแล้ว วางกระดาษกับปากกาขนนกไว้บนโต๊ะเหมือนว่ากำลังทบทวนบทเรียน จากนั้นก็เพ่งจิตเข้าไปในห้องสมุดแล้วรีบเพิ่มพจนานุกรมเข้าไป

หลังจากเพิ่มเข้าไปเรียบร้อย ลูเซียนก็เปิดบันทึกของแม่มด แล้วอ่านไปพร้อมกับเทียบคำศัพท์ในพจนานุกรมอย่างจริงจัง

ด้วยประสบการณ์และความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นจากหลายๆ วันที่ผ่านมา ราวสี่ทุ่ม ลูเซียนจึงอ่านเนื้อหาทั้งหมดในบันทึกเวทมนตร์ครบหมด ยกเว้นสองสามหน้าสุดท้าย เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

‘ดูเหมือนว่าแม่มดคนนี้จะอ่านภาษาซิลวานาสโบราณไม่ค่อยได้ บันทึกเวทมนตร์เลยจดไว้ละเอียดมาก บางหน้ายังถึงกับคัดลอกจากบันทึกของบรรพบุรุษ ฉันเรียนเวทมนตร์จากการอ่านบันทึกของเธอแค่อย่างเดียวก็ได้ แต่บันทึกการเรียนของเธอดันจบแค่ที่การเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับพื้นฐาน หลังจากนั้น จำเป็นต้องคิดหาทางอื่น หรือไม่ก็ต้องเรียนภาษาซิลวานาสโบราณจากบันทึกเวทมนตร์เพื่อจะได้อ่านเนื้อหาในตำราโหราศาสตร์และเวทธาตุ’

ลูเซียนพร้อมจะเริ่มเรียนเวทมนตร์แล้ว ไม่ว่าหลังจากที่เขากลายเป็นนักเวทเต็มตัวจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่สน

ตามที่แม่มดบันทึกไว้ ผู้คนในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณเชื่อว่าเวทมนตร์คือผลลัพธ์จากธาตุพื้นฐานทั้งสี่ นั่นคือ ดิน ไฟ ลม และน้ำ ซึ่งพลังจะปลดปล่อยจากการชี้นำของพลังจิตในตัวนักเวท ภายหลัง เวทแสงสว่าง ความมืด และมนตร์ดำจึงเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้นักเวทยังสามารถอัญเชิญปีศาจมาจากนรกอเวจีหรือจากต่างมิติได้อีกด้วย สรุปก็คือเวทมนตร์แบ่งออกเป็นแปดแขนง นั่นคือ ศาสตร์แห่งธาตุ โหราศาสตร์ ศาสตร์มืด มายาศาสตร์ ศาสตร์แห่งการอัญเชิญ ศาสตร์แห่งกำลัง ศาสตร์แห่งการแปลงร่าง ศาสตร์แห่งการแปรธาตุ ส่วนตำราโหราศาสตร์และเวทธาตุก็เน้นไปที่ศาสตร์แห่งธาตุและโหราศาสตร์ จึงแทบไม่กล่าวถึงศาสตร์แขนงอื่น

หากยังไม่ใช่นักเวทที่แท้จริง จะไม่สามารถเรียนการสร้างวงแหวนเวทได้ ผู้ฝึกใช้มนตราจึงได้เรียนเพียงเวทเล็กๆ น้อยๆ

ในความคิดของลูเซียน โครงสร้างมนตราสำหรับผู้ฝึกใช้นั้นง่ายมาก มันก็แค่การรวมกันของลวดลายทางเรขาคณิตทั่วไปที่ใช้เรียนในระดับมัธยมต้น หรือเรียกว่าอักษรรูน ซึ่งง่ายยิ่งกว่าดาวหกแฉกเสียอีก จากนั้น ถ้าออกเสียงเรียกใช้มนตราพร้อมกับกระตุ้นน้ำยาเวทมนตร์เพื่อสร้างอักษรรูน เท่านี้ก็ใช้เวทมนตร์ได้แล้ว

นอกจากนี้แล้ว ผู้ฝึกใช้มนตรายังแบ่งออกมาเป็นสามระดับ คือ ระดับฝึกหัด ระดับกลาง และระดับสูง โดยแบ่งตามระดับพลังจิตที่มากน้อยต่างกัน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าจะได้เรียนมนตรากี่บท นั่นคือสาม ห้า และยี่สิบตามลำดับ

หลังจากเพิ่มพลังจิตผ่านการเข้าฌานจนถึงจุดที่กำหนด ก็จะสามารถใช้น้ำยาเวทช่วยสร้างสัญลักษณ์มนตราขึ้นประทับบนจิตของตนได้

ผู้ที่สร้างสัญลักษณ์นั้นได้สำเร็จก็จะกลายเป็นนักเวทอย่างเต็มตัว และการร่ายเวทก็จะไม่ต้องใช้อักษรรูน น้ำยา และท่าทางอะไรอีก มันขึ้นกับเพียงว่าพลังจิตของตนอ่อนแรงลงหรือไม่ หรือว่ายังติดช่วงพักจากการร่ายเวทครั้งก่อนหรือไม่

หลังจากอ่านเรื่องนี้ ลูเซียนก็ต้องข่มกลั้นความกระตือรือร้นที่จะลงมือทำ แล้วอ่านหน้าท้ายๆ ต่อไป ด้วยตั้งใจจะอ่านให้จบเสียที

‘วันนี้ข้าได้พบกับนักเวทอีกท่านในเมืองอัลโต้แห่งนี้ ข้าได้พบนักเวทท่านอื่นจริงๆ! เขาดูแตกต่างจากนักเวทที่ปลีกวิเวกแยกตัวไปอย่างมาก ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลก’

หลังจากอ่านหน้านี้ ลูเซียนก็พลันเข้าใจถึงเนื้อหาสำคัญว่า เมืองอัลโต้มีนักเวทท่านอื่นอยู่จริงๆ!

ฉับพลันนั้น ลูเซียนก็มีกำลังใจและรู้สึกตื่นเต้น ก่อนจะรีบอ่านต่อ

‘ข้าเจอหนูดวงตาสีแดงแปลกๆ ในท่อน้ำเสีย บนตัวมันมีไอเวทอยู่ แต่ข้าไม่รู้ว่ามันได้มาจากที่ใด และหาต้นตอไม่พบแม้จะค้นหาอยู่เป็นนาน’

‘จากการทดลองแล้ว หนูดวงตาสีแดงพวกนี้แพร่พันธุ์เร็วมากๆ และเลือดของพวกมันก็มีพิษทำให้เห็นภาพหลอนและเป็นอัมพาต’

‘พอจับคู่กับเถาวัลย์เลือดแห่งแลปแลนด์ ผลลัพธ์ก็ออกมาดีเหลือเชื่อ กับดักเวทมนตร์ที่ข้าคิดภาพไว้จึงวางได้สำเร็จ’

‘ใครกันที่พัฒนาพวกมันขึ้น’

อ่านมาถึงตรงนี้ ลูเซียนก็อดก้มลงมองพื้นไม่ได้ หากว่าฝูงหนูดวงตาสีแดงไม่ใช่สัตว์เวทที่แม่มดเลี้ยงดู แล้วพวกมันเป็นของผู้ใดกัน แล้วในท่อน้ำเสียข้างล่างนี้ยังมีภัยอันตรายอื่นใดอีกที่แฝงตัวอยู่

ลูเซียนจึงรีบเปิดไปอ่านหน้าถัดไป

‘ข้าได้พบกับนักเวทท่านนั้นอีกครั้ง ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ของเขาช่างแตกต่างและมีความเข้าใจลึกซึ้ง เสน่ห์ของเขาช่างน่าหลงใหล’

‘แต่เขากลับบอกว่านอกจากเวทที่แข็งแกร่งกับมนตราแปลกๆ ที่สามารถนำมาใช้อ้างอิงแล้ว เวทมนตร์โบราณที่เหลือนั้นล้าสมัย ไร้อารยธรรม และโง่เขลา มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?!’

‘เขานำตำราเวทที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีมาให้ข้าดู มันไม่ได้หนามาก เป็นตำราที่เรียกว่าวารสาร และมีชื่อว่า ‘อาร์เคน’ ตามที่เขาอธิบาย คำว่า ‘อาร์’ หมายถึงจุดกำเนิดของโลกและองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎแห่งการดำเนินชีวิต อาร์เคนหมายถึงธรรมชาติและทฤษฎีเวทมนตร์ ซึ่งฟังแล้วน่าสนใจอย่างยิ่ง’

‘วารสาร ‘อาร์เคน’ เล่มนั้นเป็นฉบับแรกที่ตีพิมพ์เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน ในหน้าแรกนั้นเป็นบทความที่เขียนโดยผู้ใช้อาร์เคนที่ยิ่งใหญ่ เป็นคำพูดของท่านจากการประชุมเวทมนตร์’

‘จากสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว เขาจะต้องนับถือผู้ใช้อาร์เคนท่านนั้นมาก อาจถึงขั้นเคารพบูชาเลยก็ได้’

‘ข้าอ่านบทความนั้นอย่างตั้งใจ แล้วความรู้สึกเย็นเยือกก็แล่นไปทั่วกายจนข้าสั่นสะท้านไปทั้งตัว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ากลับมาบ้านได้อย่างไร ความคิดตีกันในหัวให้วุ่น ข้าอยากจะบันทึกเอาไว้ เหตุใดข้าจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน’

ตัวหนังสือในหน้านี้ก็เหมือนกับหน้าก่อนๆ เสียส่วนใหญ่ ลายมือที่ใช้เขียนนั้นเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ ขยับขึ้นลงไม่เป็นเส้นตรงและดูยุ่งเหยิงไปหมด ราวกับว่าเจ้าของบันทึกกำลังตื่นเต้นอย่างมาก ลูเซียนได้แต่อ่านด้วยความมึนงง และอยากจะรู้ว่าบทความอะไรที่ทำให้แม่มดถึงกับไม่สามารถทำใจให้สงบอยู่เป็นนาน

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย เมื่อหลายปีก่อน เพื่อที่จะต่อกรกับสัตว์เวททั้งหลาย บรรพบุรุษผู้ทรงเกียรติของเราหลายท่านจึงได้เรียนรู้วิธีการใช้พลังจิตโดยตรงจากมังกร เอล์ฟ ยักษ์ ปีศาจและจากสัตว์เวทอีกหลายชนิด พวกท่านวิเคราะห์จากโครงสร้างร่างกายและการไหลเวียนของเลือดในตัวพวกมัน แล้วค่อยๆ นำมาผสมผสานกับเลือดในตัวพวกท่าน ทำให้เกิดวิวัฒนาการทางร่างกาย ทั้งยังคิดค้นหลากหลายวิธีในการเข้าฌานเพื่อเสริมสร้างพลังจิตให้แข็งแกร่ง และจากการอ้างอิงโครงสร้างเวทมนตร์ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย พวกท่านได้รังสรรค์มนตราขึ้นมากมายหลายชนิด ยังมีผลให้มนุษย์เราแข็งแกร่งขึ้นจนขับไล่เหล่าปีศาจกลับไปยังนรกอเวจี และทำให้มังกร เอล์ฟ กับยักษ์ต้องถอยร่นกลับเข้าไปในป่าลึก ยอมพ่ายแพ้แทบเท้าเรา”

“ชัยชนะอันรุ่งโรจน์นี้ทำให้นักเวทในตำนานยิ่งมุ่งมั่นที่จะเสาะแสวงหาพลังอำนาจ จากทั้งนรกอเวจี และพื้นที่แปลกประหลาดที่ยังมิมีผู้ใดเคยย่างกรายเข้าไป จนกระทั่งศาสนจักรนักบุญแห่งความจริงแข็งแกร่งขึ้น ภายในไม่กี่ร้อยปี จักรวรรดิเวทมนตร์ทั้งสามจักรวรรดิใหญ่ก็ถูกทำลายย่อยยับ ความรุ่งโรจน์ในอดีตจึงกลายเป็นเพียงความขมขื่น ความสับสน และความสิ้นหวังในทุกวันนี้”

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่รัก ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้สติ อย่าหลงมัวเมาไปกับพลังอำนาจ ถึงเวลาแล้วที่เราจะทำใจให้สงบและคิดหาทางแก้ไขปัญหานี้ เราจำเป็นต้องหาทางออก”

“อะไรคือธรรมชาติของเวทมนตร์”

“เพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงมีพลังจิต”

“อะไรคือแก่นแท้ของพลังจิต”

“มันสถิตอยู่ในรูปแบบใด”

“ดิน ไฟ ลม และน้ำคือธาตุพื้นฐานจริงหรือ หากเป็นเช่นนั้น พวกมันใช้กฎหรือรูปแบบใดเพื่อก่อกำเนิดเป็นโลกแสนอัศจรรย์ใบนี้ หากไม่ใช่ แล้วอะไรเล่าที่เป็นพื้นฐาน องค์ประกอบเวทมนตร์ที่แท้จริงควรจะเป็นสิ่งใด”

“ธรรมชาติของดวงจิตคืออะไร”

“ดวงจิตและจิตสำนึกแตกต่างกันหรือไม่ หากแตกต่าง เช่นนั้นจิตสำนึกสถิตอยู่ในรูปแบบใดกัน”

“เราจำเป็นต้องใช้ ‘เครื่องมือ’ เพื่อช่วยเราก่อร่างโครงสร้างทางเวทมนตร์ด้วยหรือ”

“พระเจ้าไม่มีอยู่จริง เพราะหากมี ธรรมชาติของพระองค์คืออะไรและพระองค์จะสถิตอยู่ในรูปแบบใด เอ็ตนา บรรพบุรุษแวมไพร์คงอยู่ได้โดยรูปแบบใด เหตุใดนางจึงไม่ตาย”

“เพราะเหตุใดโลกนี้จึงมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สีเงิน เพราะเหตุใดมันจึงขึ้นและตกทุกๆ วัน และพลังงานอะไรที่ทำให้พวกมันดำเนินต่อไปเช่นนั้น สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญในโลกนี้ หากเราถามหาเหตุผลมากขึ้น เราก็อาจจะค้นพบความจริง แต่ตอนนี้เรายังไม่เข้าใจเลยว่าความจริง กฎเกณฑ์ และองค์ความรู้เหล่านี้เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์หรือไม่ ว่าพวกมันนำมาใช้ร่วมกับเวทมนตร์ได้หรือไม่ และมันจะช่วยให้เราสำรวจธรรมชาติของโลกเวทมนตร์ได้หรือไม่”

“สหายที่รักของพวกท่าน ดักลาส”

————————————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด