Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 217 ภายในหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 217 ภายในหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โรเจริโอถอนหายใจออกมายาวเหยียด “รางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’… พ่อหนุ่มคนนี้นี่… ผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์…”

ขณะที่เขาพึมพำอยู่นั้น มือข้างหนึ่งของโรเจริโอก็ยกขึ้นมาแตะลำคอ ราวกับว่ามันมีเครื่องรางในจินตนาการห้อยอยู่ตรงนั้น เขาบากบั่นเพื่อให้ได้รับรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ มาหลายปี แต่กลับกลายเป็นว่าเขามีความสามารถทางเวทมนตร์มากกว่าอาร์คานา

“บนไหล่ของยักษ์… ไหล่ของยักษ์…” อะดอล ปีศาจผีดิบ ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวโดยมีแก้วไวน์อยู่ในมือข้างหนึ่ง “บางทีนี่ก็อาจอยู่เหนือความคาดหมายอันยิ่งใหญ่ของศาสตราจารย์ไปไกลเช่นกัน และบางที เขาอาจจะยังพยายามสังเคราะห์ส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตอยู่ ด้วยหวังว่าเขาจะชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ กับ ‘บัลลังก์นิรันดร’ ฮ่าๆ พวกเจ้าจะยอมรับการค้นพบของเขาหรือไม่เล่า”

หากมองจากด้านหลัง ย่อมไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าแท้จริงแล้วอะดอลคือสิ่งไม่มีชีวิต

พวกเขาได้ตรวจสอบจากริชาร์ดสัน นักเวทเพียงคนเดียวที่ยังไม่ใช่นักเวทระดับสูงตอนที่ได้รับรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ครั้งก่อนแล้ว และพวกเขาก็แน่ใจว่าเขาไม่ใช่ศาสตราจารย์

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าศาสตราจารย์ เจ้ายักษ์ตนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้นหรือไม่” โรเจริโอเอ่ยเสียงหยัน “อีกอย่าง ฟิลิปได้สร้างความคืบหน้าไปมากแล้ว”

จากนั้นเขาก็ร้องเรียกใครสักคนเข้ามาก่อนจะออกคำสั่ง “จับตามองลูเซียน อีวานส์ เอ็กซ์. ให้ดี ใช้ระดับเดียวกันกับที่เราจับตามองแลร์รี่ ทิโมธี และยูลิสิส และรายงานข้าตลอดด้วย”

ตอนนี้ลูเซียนดึงดูดความสนใจจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ เพราะตัวเขาเองแล้ว ไม่ใช่เพราะศาสตราจารย์ ดังนั้น เขาจึงถือว่าปลอดภัยในช่วงนี้ เพราะ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ไม่มีทางสังหารอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยศักยภาพโดยไร้เหตุผล และสภาสูงสุดย่อมไม่ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นแน่

“และ บอกท่านผู้นั้นว่า… จงหาตัวศาสตราจารย์ต่อไป” โรเจริโอกล่าวเสริม “เราสัญญากับเขาแล้วว่าจะทำพิธีกรรม ‘จอมเวทอสูรผันแปร’ ให้ และเราคือผู้รักษาคำพูดเสมอ”

อะดอลที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวยาวเอ่ยเสียงหยัน “เจ้าพวกมนุษย์หน้าโง่…”

ท่ามกลางความมืดยามราตรีที่หนาวเหน็บ แม้แต่แสงสว่างจากสองข้างถนนดูยังดูทึบทึมกว่าปกติ

รถม้าแล่นผ่านไปบนหิมะที่ปกคลุมพื้นดินไว้บางๆ ก่อนจะชะลอลงจอดตรงหน้า ‘หอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม’ ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเขตขุนนาง

คนขับรถม้าเปิดประตูห้องโดยสารแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ ในมือข้างหนึ่งของเขามีแสงสีเหลืองเลือนราง “ท่านอีวานส์ ท่านลาซาร์ เรามาถึงแล้วขอรับ”

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงสามัญชน แต่ก็ทำงานกับทาง ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ มานานมาก จึงเคารพนับถือนักเวททุกท่าน

ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ตนเองสดชื่นขึ้น

ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในหอคอยเวทมนตร์ ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานก็มาต้อนรับทั้งสอง “สายัณห์สวัสดิ์ขอรับ ข้าคือพ่อบ้านประจำ ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ นามว่าร็อดแฮม ตามที่ท่านมอร์ริสได้สั่งไว้ ข้าจะช่วยท่านหาในสิ่งที่ท่านต้องการจากที่นี่เองขอรับ ท่านอีวานส์ ว่าแต่ ท่านจะพักค้างคืนที่นี่หรือไม่ขอรับ”

ผมสีบลอนด์ของชายวัยกลางคนถูกจัดทรงแบบม้วนตรงขึ้นจากหน้าผากเรียกว่าทรงปอมปาดัว และเขาก็ดูได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างดีเยี่ยม

เพราะความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกระหว่าง ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ กับราชวงศ์อย่างตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก ในที่แห่งนี้จึงค่อนข้างมีกลิ่นอายเข้มข้นของการแบ่งแยกชนชั้น

“ยินดีที่ได้พบท่าน ท่านร็อดแฮม” ลูเซียนค่อมศีรษะลงเล็กน้อย “ท่านช่วยพาข้าไปดูส่วนของอุปกรณ์เวทมนตร์ได้หรือไม่ ข้าต้องการเสื้อคลุมเวทมนตร์น่ะขอรับ และใช่ หากว่ายังพอจะมีห้องว่าง ข้ากับสหายก็จะขอพักที่นี่สักคืนหนึ่งขอรับ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้รับใช้ท่านขอรับ” ร็อดแฮมตอบ พร้อมกับยกมือซ้ายมาวางทาบบนอก “ในฐานะที่ท่านอีวานส์คือผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ท่านจึงถือเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของทางเราในทันที อีกสักครู่ข้าจะนำเอกสารมาให้ท่าน ดังนั้นขอให้ท่านเพลิดเพลินไปกับทุกสิ่ง ณ ที่แห่งนี้นะขอรับ”

ด้วยเพราะตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ทั้งหอคอยจึงเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของร็อดแฮม ลูเซียน และลาซาร์เท่านั้นที่ดังไปทั่ว

ในตอนนั้น คนกลุ่มหนึ่งเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง นำโดยชายชราผู้สวมสูทกระดุมสองแถวสีแดงเข้มและเสื้อคลุมไม่มีแขนสีดำ เขาช่างดูคุ้นตาลูเซียน เพราะดวงตาสีเทาเงินนั้นเหมือนกับของนาตาชาเป๊ะ และเขาก็ดูเหมือนนาตาชาในร่างของผู้ชายเลยทีเดียว ทว่า ชายผู้นี้กลับดูผอมบาง ซีดเซียวและอมโรค ซึ่งแตกต่างจากเจ้าหญิงแห่งอัลโต้ผู้ที่สองของแก้มมักจะดูมีสุขภาพดีเสมอโดยสิ้นเชิง

บนเสื้อคลุมและสูทนั้นมีตราประจำตระกูลสีแดงอมม่วง เส้นสายมากมายที่ล้อมรอบอยู่คือตัวแทนของเมฆหมอก มงกุฎที่มีคทากับดาบค้ำอยู่ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ลูเซียนบอกได้ในทันทีที่มองเห็นว่านี่คือตราประจำตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก ราชวงศ์ของอาณาจักรโฮล์ม

ผู้ที่เดินตามชายชรามาครึ่งฝีเท้านั้นเป็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาล เสื้อสูทยาวแสนสง่าของเขาปลิ้นออกเพราะขนาดตัวใหญ่ๆ ใต้แขนเขาหนีบกระเป๋าหนังสีดำเอาไว้ และบนใบหน้าอวบอูมก็มีรอยยิ้มประจบประแจง

“ฝ่าบาท” ร็อดแฮมทำความเคารพชายชราด้วยความเคารพอย่างสูง

ชายชราผู้นี้ก็คือเจ้าชายเพียงคนเดียวแห่งโฮล์ม ดยุกแห่งอีเดนโบ แพทริก ฮอฟเฟนเบิร์ก พี่ชายของเมอเรดิธและลุงของนาตาชา

ลาซาร์กับลูเซียนโค้งตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ให้ความเคารพเท่าร็อดแฮม เหตุเพราะมันไม่มีขนบธรรมเนียมเคร่งครัดระหว่างชนชั้นสูงและนักเวท เว้นแต่ว่านักเวทนั้นๆ จะทำงานให้กับชนชั้นสูง

แพทริกพยักหน้ารับนิดๆ แต่เมื่อเขากำลังจะออกเดินต่อไปทางประตู เขาก็มองเห็นแหวนสีม่วงอ่อนเปล่งประกายอยู่บนมือซ้ายของลูเซียน จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับคนป่วย “แหวนมงกุฎแห่งโฮล์มงั้นหรือ ท่านคือลูเซียน อีวานส์ ใช่หรือไม่”

เหตุผลที่ว่าทำไมตระกูลฮอฟเฟนเบิร์กจึงเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโฮล์ม อาณาจักรที่สนับสนุนการพัฒนาเวทมนตร์อย่างเต็มที่ เกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่าสมาชิกตระกูลหลายๆ คนเป็นนักเวท จอมเวทผู้ทรงอิทธิพล และกระทั่งมหาจอมเวทนั่นเอง ดังนั้น แพทริกจึงไม่มีทางปล่อยโอกาสในการทำความรู้จักกับผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ คนล่าสุดไปแน่นอน

“พะย่ะค่ะ กระหม่อมเอง” ลูเซียนยิ้ม “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ฝ่าบาททรงจำชื่อของกระหม่อมได้”

แพทริกพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าชื่อลูเซียน อีวานส์ นี้จะได้ยินไปทั่วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนหนึ่งคือนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ อีกคนก็เป็นนักเวทอัจฉริยะ เป็นผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุด” หลังจากชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ “ท่านจะเข้าร่วมโครงการวิจัยกับชาวดรูอิดใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ” ลูเซียนไม่รู้ว่าทำไมแพทริกถึงได้ถามเขาเรื่องนี้

“ดีๆ” แพทริกตอบ “พวกเขาติดสินใจจะใช้เมืองที่ชื่อซาริวาเป็นเมืองทดลองสำหรับโครงการนี้ และที่นั่นก็เป็นเมืองเล็กภายใต้การปกครองของตระกูลข้า แม้ว่าที่นั่นค่อนข้างกันดาร แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เจ้าหน้าที่ประจำเมืองคอยดูแลเจ้าอย่างดี”

ทันใดนั้น คำพูดของแพทริกก็ถูกการไออย่างหนักของเขาเองขัดจังหวะ เขาไอหนักเสียจนดูเหมือนจะเริ่มหายใจไม่ออก แพทริกอาการไม่ดีขึ้นจนกระทั่งเขารีบกระดกน้ำยาเวทมนตร์สีเขียวอ่อนจากขวดเล็กๆ ลงไป

ลูเซียนไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิดกับความกระตือรือร้นอย่างกระทันหันของแพทริก แต่เขาก็ยังตอบกลับไปด้วยความสุภาพ “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

แพทริกดูดีขึ้นแล้วในตอนนี้ เขายกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์ก็มาจากการสนับสนุนของเหล่านักเวทเช่นกัน”

หลังจากพูดคุยอย่างเป็นกันเองครู่สั้นๆ ก็เห็นได้ชัดว่าแพทริกมีอาการแย่ลงมาก เขาจึงจำเป็นต้องจากไปก่อน แต่ก่อนหน้านั้น เขากลับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “นาตาชาส่งจดหมายมาหาข้า และในจดหมายนั้น มีผลงานชิ้นล่าสุดของนักดนตรีมากสามารถ โซนาตาแสงจันทร์…”

ลูเซียนประหลาดใจเล็กน้อย เขานึกสงสัยว่าแพทริกทราบถึงตัวตนของเขาหรือยัง ทว่า เขาเองก็คิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้หลังจากที่เขาได้รับรางวัล ในเมื่อเขาดึงดูดความสนใจเสียมากมายขนาดนั้น และลูเซียนก็ไม่เคยดูถูกความสามารถในการรวบรวมข้อมูลของทางศาสนจักรและสภาเวทมนตร์เลย ตอนนี้ เขาทำได้เพียงหวังว่านาตาชาจะทำตามที่ลั่นวาจาไว้และดูแลครอบครัวของเขาอย่างดี

ลูเซียนรู้สึกว่าถึงเวลาที่เขาจะเขียนจดหมายหานาตาชาแล้วในเมื่อตอนนี้เขาสามารถขจัดการเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ได้แล้ว

หลังจากที่แพทริกจากไป ชายวัยกลางคนร่างอวบอ้วนก็เดินกลับมาหาลูเซียน เขากล่าวกับลูเซียนด้วยรอยยิ้มกว้างขวางจนใบหน้าเหี่ยวย่น “ท่านคือท่านอีวานส์นี่เอง! ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านที่นี่ในวันนี้ ข้ามั่นใจว่าท่านจะได้เป็นนักเวทระดับสูงในเร็วๆ วันนี้แน่ อ้อ ข้ามีนามว่าอาเธอร์ ดอยล์ ผู้อำนวยการธนาคารสหภาพแห่งเมืองโฮล์ม เป็นบารอนขอรับ”

ลูเซียนนึกภาพออกเลยว่าผู้นี้คงจะมีขุนนางคนสำคัญหนุนหลังอยู่ มิเช่นนั้นบารอนธรรมดาๆ คงไม่มีทางมีโอกาสได้เป็นผู้อำนวยการของธนาคารเช่นนี้

หลังจากพูดคุยเล็กน้อย อาเธอร์ก็ถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ “นักเวทหนุ่มสาวมักเปิดใจรับมากกว่าจริงๆ ธนาคารของเราสนใจการสร้างเส้นทางรถไฟหัวจักรเวทมนตร์มานานมากแล้ว โดยเฉพาะเส้นที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือทั้งหลาย แต่ข้อเสนอของทางเรากลับไม่เคยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกิจการเสียที ข้าจึงหวังอย่างยิ่งว่านักเวทวัยเยาว์มากสามารถเช่นท่านจะเข้าร่วมคณะกรรมการกิจการได้ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้ทำงานร่วมกันอย่างไรล่ะขอรับ”

ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็ยื่นนามบัตรให้กับลูเซียน

ท่าทีของลูเซียนที่มีต่ออาเธอร์นั้นคลุมเครือ เขาดูไม่กระตือรือร้นและก็ไม่เย็นชาใส่ หลังอาเธอร์จากไป ลาซาร์ก็ถอนหายใจ “เจ้าเป็นคนสำคัญไปแล้ว อีวานส์”

“ข้าไม่สำคัญสำหรับพวกเขาหรือก แต่เป็นผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับจากข้าต่างหากที่สำคัญสำหรับพวกนั้น” ลูเซียนแย้มยิ้มพลางส่ายศีรษะ

จากนั้น ลูเซียนกับลาซาร์ก็เดินขึ้นบันไดตามหลังร็อดแฮมไป

รถไฟหัวจักรเวทมนตร์วิ่งตรงไปด้วยความเร็วเต็มที่อยู่บนที่ราบกว้างเปิดโล่ง ชาวดรูอิดบนรถไฟต่างมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาเบิกโพลงและอ้าปากค้าง

จากบรรดาชาวดรูอิดทั้งหมด บางคนก็เป็นเอลฟ์หน้าตาดี บ้างก็เป็นมนุษย์ และบ้างก็เป็นคนแคระหรือมาจากเผ่าพันธุ์อื่นอีกมากมาย

“เหนือจินตนาการไปเลย! ผลผลิตจากการเล่นแร่แปรธาตุนี้…” ชาวดรูอิดหลายคนอุทาน ผลผลิตจากการเล่นแร่แปรธาตุที่ว่าก็คือรถไฟนั่นเอง

ทว่า ชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายชาวเอลฟ์ในหมู่พวกเขากลับดูฉุนเฉียว และเขาก็พูดกับสหายตนด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าพวกสารเลวนั่น… ทางรถไฟและรถไฟพวกนี้น่ะทำลายสมดุลของพระแม่แห่งสรรพสิ่ง แผ่นดินกำลังร้องไห้ และพืชที่ตายไปก็กำลังสาปแช่ง ขอให้พวกมันพบเจอแต่ความทุกข์ยาก!”

เด็กสาวชาวเอลฟ์พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้เฒ่าหลวงถึงยืนกรานจะทำงานร่วมกับคนชั่วร้ายพวกนี้ด้วย ท่านไม่ยอมฟังแม้กระทั่งคำทัดทานของท่านผู้เฒ่าคนอื่นๆ เลย”

………………………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 217 ภายในหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 217 ภายในหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โรเจริโอถอนหายใจออกมายาวเหยียด “รางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’… พ่อหนุ่มคนนี้นี่… ผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์…”

ขณะที่เขาพึมพำอยู่นั้น มือข้างหนึ่งของโรเจริโอก็ยกขึ้นมาแตะลำคอ ราวกับว่ามันมีเครื่องรางในจินตนาการห้อยอยู่ตรงนั้น เขาบากบั่นเพื่อให้ได้รับรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ มาหลายปี แต่กลับกลายเป็นว่าเขามีความสามารถทางเวทมนตร์มากกว่าอาร์คานา

“บนไหล่ของยักษ์… ไหล่ของยักษ์…” อะดอล ปีศาจผีดิบ ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวโดยมีแก้วไวน์อยู่ในมือข้างหนึ่ง “บางทีนี่ก็อาจอยู่เหนือความคาดหมายอันยิ่งใหญ่ของศาสตราจารย์ไปไกลเช่นกัน และบางที เขาอาจจะยังพยายามสังเคราะห์ส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตอยู่ ด้วยหวังว่าเขาจะชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ กับ ‘บัลลังก์นิรันดร’ ฮ่าๆ พวกเจ้าจะยอมรับการค้นพบของเขาหรือไม่เล่า”

หากมองจากด้านหลัง ย่อมไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าแท้จริงแล้วอะดอลคือสิ่งไม่มีชีวิต

พวกเขาได้ตรวจสอบจากริชาร์ดสัน นักเวทเพียงคนเดียวที่ยังไม่ใช่นักเวทระดับสูงตอนที่ได้รับรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ครั้งก่อนแล้ว และพวกเขาก็แน่ใจว่าเขาไม่ใช่ศาสตราจารย์

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าศาสตราจารย์ เจ้ายักษ์ตนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้นหรือไม่” โรเจริโอเอ่ยเสียงหยัน “อีกอย่าง ฟิลิปได้สร้างความคืบหน้าไปมากแล้ว”

จากนั้นเขาก็ร้องเรียกใครสักคนเข้ามาก่อนจะออกคำสั่ง “จับตามองลูเซียน อีวานส์ เอ็กซ์. ให้ดี ใช้ระดับเดียวกันกับที่เราจับตามองแลร์รี่ ทิโมธี และยูลิสิส และรายงานข้าตลอดด้วย”

ตอนนี้ลูเซียนดึงดูดความสนใจจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ เพราะตัวเขาเองแล้ว ไม่ใช่เพราะศาสตราจารย์ ดังนั้น เขาจึงถือว่าปลอดภัยในช่วงนี้ เพราะ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ไม่มีทางสังหารอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยศักยภาพโดยไร้เหตุผล และสภาสูงสุดย่อมไม่ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นแน่

“และ บอกท่านผู้นั้นว่า… จงหาตัวศาสตราจารย์ต่อไป” โรเจริโอกล่าวเสริม “เราสัญญากับเขาแล้วว่าจะทำพิธีกรรม ‘จอมเวทอสูรผันแปร’ ให้ และเราคือผู้รักษาคำพูดเสมอ”

อะดอลที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวยาวเอ่ยเสียงหยัน “เจ้าพวกมนุษย์หน้าโง่…”

ท่ามกลางความมืดยามราตรีที่หนาวเหน็บ แม้แต่แสงสว่างจากสองข้างถนนดูยังดูทึบทึมกว่าปกติ

รถม้าแล่นผ่านไปบนหิมะที่ปกคลุมพื้นดินไว้บางๆ ก่อนจะชะลอลงจอดตรงหน้า ‘หอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม’ ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเขตขุนนาง

คนขับรถม้าเปิดประตูห้องโดยสารแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ ในมือข้างหนึ่งของเขามีแสงสีเหลืองเลือนราง “ท่านอีวานส์ ท่านลาซาร์ เรามาถึงแล้วขอรับ”

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงสามัญชน แต่ก็ทำงานกับทาง ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ มานานมาก จึงเคารพนับถือนักเวททุกท่าน

ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ตนเองสดชื่นขึ้น

ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในหอคอยเวทมนตร์ ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานก็มาต้อนรับทั้งสอง “สายัณห์สวัสดิ์ขอรับ ข้าคือพ่อบ้านประจำ ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ นามว่าร็อดแฮม ตามที่ท่านมอร์ริสได้สั่งไว้ ข้าจะช่วยท่านหาในสิ่งที่ท่านต้องการจากที่นี่เองขอรับ ท่านอีวานส์ ว่าแต่ ท่านจะพักค้างคืนที่นี่หรือไม่ขอรับ”

ผมสีบลอนด์ของชายวัยกลางคนถูกจัดทรงแบบม้วนตรงขึ้นจากหน้าผากเรียกว่าทรงปอมปาดัว และเขาก็ดูได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างดีเยี่ยม

เพราะความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกระหว่าง ‘สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม’ กับราชวงศ์อย่างตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก ในที่แห่งนี้จึงค่อนข้างมีกลิ่นอายเข้มข้นของการแบ่งแยกชนชั้น

“ยินดีที่ได้พบท่าน ท่านร็อดแฮม” ลูเซียนค่อมศีรษะลงเล็กน้อย “ท่านช่วยพาข้าไปดูส่วนของอุปกรณ์เวทมนตร์ได้หรือไม่ ข้าต้องการเสื้อคลุมเวทมนตร์น่ะขอรับ และใช่ หากว่ายังพอจะมีห้องว่าง ข้ากับสหายก็จะขอพักที่นี่สักคืนหนึ่งขอรับ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้รับใช้ท่านขอรับ” ร็อดแฮมตอบ พร้อมกับยกมือซ้ายมาวางทาบบนอก “ในฐานะที่ท่านอีวานส์คือผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ท่านจึงถือเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของทางเราในทันที อีกสักครู่ข้าจะนำเอกสารมาให้ท่าน ดังนั้นขอให้ท่านเพลิดเพลินไปกับทุกสิ่ง ณ ที่แห่งนี้นะขอรับ”

ด้วยเพราะตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ทั้งหอคอยจึงเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของร็อดแฮม ลูเซียน และลาซาร์เท่านั้นที่ดังไปทั่ว

ในตอนนั้น คนกลุ่มหนึ่งเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง นำโดยชายชราผู้สวมสูทกระดุมสองแถวสีแดงเข้มและเสื้อคลุมไม่มีแขนสีดำ เขาช่างดูคุ้นตาลูเซียน เพราะดวงตาสีเทาเงินนั้นเหมือนกับของนาตาชาเป๊ะ และเขาก็ดูเหมือนนาตาชาในร่างของผู้ชายเลยทีเดียว ทว่า ชายผู้นี้กลับดูผอมบาง ซีดเซียวและอมโรค ซึ่งแตกต่างจากเจ้าหญิงแห่งอัลโต้ผู้ที่สองของแก้มมักจะดูมีสุขภาพดีเสมอโดยสิ้นเชิง

บนเสื้อคลุมและสูทนั้นมีตราประจำตระกูลสีแดงอมม่วง เส้นสายมากมายที่ล้อมรอบอยู่คือตัวแทนของเมฆหมอก มงกุฎที่มีคทากับดาบค้ำอยู่ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ลูเซียนบอกได้ในทันทีที่มองเห็นว่านี่คือตราประจำตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก ราชวงศ์ของอาณาจักรโฮล์ม

ผู้ที่เดินตามชายชรามาครึ่งฝีเท้านั้นเป็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาล เสื้อสูทยาวแสนสง่าของเขาปลิ้นออกเพราะขนาดตัวใหญ่ๆ ใต้แขนเขาหนีบกระเป๋าหนังสีดำเอาไว้ และบนใบหน้าอวบอูมก็มีรอยยิ้มประจบประแจง

“ฝ่าบาท” ร็อดแฮมทำความเคารพชายชราด้วยความเคารพอย่างสูง

ชายชราผู้นี้ก็คือเจ้าชายเพียงคนเดียวแห่งโฮล์ม ดยุกแห่งอีเดนโบ แพทริก ฮอฟเฟนเบิร์ก พี่ชายของเมอเรดิธและลุงของนาตาชา

ลาซาร์กับลูเซียนโค้งตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ให้ความเคารพเท่าร็อดแฮม เหตุเพราะมันไม่มีขนบธรรมเนียมเคร่งครัดระหว่างชนชั้นสูงและนักเวท เว้นแต่ว่านักเวทนั้นๆ จะทำงานให้กับชนชั้นสูง

แพทริกพยักหน้ารับนิดๆ แต่เมื่อเขากำลังจะออกเดินต่อไปทางประตู เขาก็มองเห็นแหวนสีม่วงอ่อนเปล่งประกายอยู่บนมือซ้ายของลูเซียน จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับคนป่วย “แหวนมงกุฎแห่งโฮล์มงั้นหรือ ท่านคือลูเซียน อีวานส์ ใช่หรือไม่”

เหตุผลที่ว่าทำไมตระกูลฮอฟเฟนเบิร์กจึงเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโฮล์ม อาณาจักรที่สนับสนุนการพัฒนาเวทมนตร์อย่างเต็มที่ เกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่าสมาชิกตระกูลหลายๆ คนเป็นนักเวท จอมเวทผู้ทรงอิทธิพล และกระทั่งมหาจอมเวทนั่นเอง ดังนั้น แพทริกจึงไม่มีทางปล่อยโอกาสในการทำความรู้จักกับผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ คนล่าสุดไปแน่นอน

“พะย่ะค่ะ กระหม่อมเอง” ลูเซียนยิ้ม “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ฝ่าบาททรงจำชื่อของกระหม่อมได้”

แพทริกพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าชื่อลูเซียน อีวานส์ นี้จะได้ยินไปทั่วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนหนึ่งคือนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ อีกคนก็เป็นนักเวทอัจฉริยะ เป็นผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุด” หลังจากชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ “ท่านจะเข้าร่วมโครงการวิจัยกับชาวดรูอิดใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ” ลูเซียนไม่รู้ว่าทำไมแพทริกถึงได้ถามเขาเรื่องนี้

“ดีๆ” แพทริกตอบ “พวกเขาติดสินใจจะใช้เมืองที่ชื่อซาริวาเป็นเมืองทดลองสำหรับโครงการนี้ และที่นั่นก็เป็นเมืองเล็กภายใต้การปกครองของตระกูลข้า แม้ว่าที่นั่นค่อนข้างกันดาร แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เจ้าหน้าที่ประจำเมืองคอยดูแลเจ้าอย่างดี”

ทันใดนั้น คำพูดของแพทริกก็ถูกการไออย่างหนักของเขาเองขัดจังหวะ เขาไอหนักเสียจนดูเหมือนจะเริ่มหายใจไม่ออก แพทริกอาการไม่ดีขึ้นจนกระทั่งเขารีบกระดกน้ำยาเวทมนตร์สีเขียวอ่อนจากขวดเล็กๆ ลงไป

ลูเซียนไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิดกับความกระตือรือร้นอย่างกระทันหันของแพทริก แต่เขาก็ยังตอบกลับไปด้วยความสุภาพ “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

แพทริกดูดีขึ้นแล้วในตอนนี้ เขายกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์ก็มาจากการสนับสนุนของเหล่านักเวทเช่นกัน”

หลังจากพูดคุยอย่างเป็นกันเองครู่สั้นๆ ก็เห็นได้ชัดว่าแพทริกมีอาการแย่ลงมาก เขาจึงจำเป็นต้องจากไปก่อน แต่ก่อนหน้านั้น เขากลับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “นาตาชาส่งจดหมายมาหาข้า และในจดหมายนั้น มีผลงานชิ้นล่าสุดของนักดนตรีมากสามารถ โซนาตาแสงจันทร์…”

ลูเซียนประหลาดใจเล็กน้อย เขานึกสงสัยว่าแพทริกทราบถึงตัวตนของเขาหรือยัง ทว่า เขาเองก็คิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้หลังจากที่เขาได้รับรางวัล ในเมื่อเขาดึงดูดความสนใจเสียมากมายขนาดนั้น และลูเซียนก็ไม่เคยดูถูกความสามารถในการรวบรวมข้อมูลของทางศาสนจักรและสภาเวทมนตร์เลย ตอนนี้ เขาทำได้เพียงหวังว่านาตาชาจะทำตามที่ลั่นวาจาไว้และดูแลครอบครัวของเขาอย่างดี

ลูเซียนรู้สึกว่าถึงเวลาที่เขาจะเขียนจดหมายหานาตาชาแล้วในเมื่อตอนนี้เขาสามารถขจัดการเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดจาก ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ได้แล้ว

หลังจากที่แพทริกจากไป ชายวัยกลางคนร่างอวบอ้วนก็เดินกลับมาหาลูเซียน เขากล่าวกับลูเซียนด้วยรอยยิ้มกว้างขวางจนใบหน้าเหี่ยวย่น “ท่านคือท่านอีวานส์นี่เอง! ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านที่นี่ในวันนี้ ข้ามั่นใจว่าท่านจะได้เป็นนักเวทระดับสูงในเร็วๆ วันนี้แน่ อ้อ ข้ามีนามว่าอาเธอร์ ดอยล์ ผู้อำนวยการธนาคารสหภาพแห่งเมืองโฮล์ม เป็นบารอนขอรับ”

ลูเซียนนึกภาพออกเลยว่าผู้นี้คงจะมีขุนนางคนสำคัญหนุนหลังอยู่ มิเช่นนั้นบารอนธรรมดาๆ คงไม่มีทางมีโอกาสได้เป็นผู้อำนวยการของธนาคารเช่นนี้

หลังจากพูดคุยเล็กน้อย อาเธอร์ก็ถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ “นักเวทหนุ่มสาวมักเปิดใจรับมากกว่าจริงๆ ธนาคารของเราสนใจการสร้างเส้นทางรถไฟหัวจักรเวทมนตร์มานานมากแล้ว โดยเฉพาะเส้นที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือทั้งหลาย แต่ข้อเสนอของทางเรากลับไม่เคยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกิจการเสียที ข้าจึงหวังอย่างยิ่งว่านักเวทวัยเยาว์มากสามารถเช่นท่านจะเข้าร่วมคณะกรรมการกิจการได้ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้ทำงานร่วมกันอย่างไรล่ะขอรับ”

ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็ยื่นนามบัตรให้กับลูเซียน

ท่าทีของลูเซียนที่มีต่ออาเธอร์นั้นคลุมเครือ เขาดูไม่กระตือรือร้นและก็ไม่เย็นชาใส่ หลังอาเธอร์จากไป ลาซาร์ก็ถอนหายใจ “เจ้าเป็นคนสำคัญไปแล้ว อีวานส์”

“ข้าไม่สำคัญสำหรับพวกเขาหรือก แต่เป็นผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับจากข้าต่างหากที่สำคัญสำหรับพวกนั้น” ลูเซียนแย้มยิ้มพลางส่ายศีรษะ

จากนั้น ลูเซียนกับลาซาร์ก็เดินขึ้นบันไดตามหลังร็อดแฮมไป

รถไฟหัวจักรเวทมนตร์วิ่งตรงไปด้วยความเร็วเต็มที่อยู่บนที่ราบกว้างเปิดโล่ง ชาวดรูอิดบนรถไฟต่างมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาเบิกโพลงและอ้าปากค้าง

จากบรรดาชาวดรูอิดทั้งหมด บางคนก็เป็นเอลฟ์หน้าตาดี บ้างก็เป็นมนุษย์ และบ้างก็เป็นคนแคระหรือมาจากเผ่าพันธุ์อื่นอีกมากมาย

“เหนือจินตนาการไปเลย! ผลผลิตจากการเล่นแร่แปรธาตุนี้…” ชาวดรูอิดหลายคนอุทาน ผลผลิตจากการเล่นแร่แปรธาตุที่ว่าก็คือรถไฟนั่นเอง

ทว่า ชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายชาวเอลฟ์ในหมู่พวกเขากลับดูฉุนเฉียว และเขาก็พูดกับสหายตนด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าพวกสารเลวนั่น… ทางรถไฟและรถไฟพวกนี้น่ะทำลายสมดุลของพระแม่แห่งสรรพสิ่ง แผ่นดินกำลังร้องไห้ และพืชที่ตายไปก็กำลังสาปแช่ง ขอให้พวกมันพบเจอแต่ความทุกข์ยาก!”

เด็กสาวชาวเอลฟ์พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้เฒ่าหลวงถึงยืนกรานจะทำงานร่วมกับคนชั่วร้ายพวกนี้ด้วย ท่านไม่ยอมฟังแม้กระทั่งคำทัดทานของท่านผู้เฒ่าคนอื่นๆ เลย”

………………………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+