Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 245 ท่านอีวานส์

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 245 ท่านอีวานส์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลูเซียนติดเหรียญตราที่ปรับระดับขึ้นแล้วเรียบร้อย และแม้ว่ารถไฟหัวจักรเวทมนตร์จะเพิ่งนำเสนอเส้นทางใหม่จากเมืองอัลลินไปยังเมืองคาปัส เขาก็ไม่ได้ไปขึ้นเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น กลับจ้างรถม้าให้ไปส่งยังหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’

ภารกิจนี้มอบให้กับลูเซียนในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสงสัย เพราะว่ามันส่งมาทันทีที่ลูเซียนเลื่อนระดับ เขาต้องการให้จอมเวทระดับสูงบางคนจากกลุ่มของเขาตรวจดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยดี

ณ ห้องทำงานภายในหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แกสตันรับฟังคำบรรยายภารกิจของลูเซียนเงียบๆ ด้วยนิ้วที่ประสานไว้ตรงหน้า ดวงตาสีเหลืองเข้มของเขาฉายแววสงสัยเล็กน้อย แล้วแกสตันก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ภารกิจนี้ดูไม่ได้อันตรายอะไร ด้วยแหวนของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่ก็ยังปกป้องตัวเจ้าเองแล้วหลบหนีออกมาได้โดยไร้ปัญหา แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าแล้ว ข้ายังต้องถามฟลอเรนเซียดูก่อน… บางทีนางอาจจะรู้อะไรบางอย่าง”

แกสตันปล่อยให้ลูเซียนนั่งรออยู่ในห้องทำงานของเขา ส่วนตนเดินไปอีกห้องหนึ่งเพื่อคุยกับฟลอเรนเซียผ่านทาง ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’

ลูเซียนฉวยโอกาสนี้เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรองถึงผู้ที่อาจเป็นศัตรูของเขาจากในสภาและต้องการให้เขาตาย ปัญหาเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ นั้นยุติไปแล้ว ตอนนี้เป็นฟิลิปที่รับความสนใจไปเสียส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการติดตั้งวงแหวนชำระล้าง ลูเซียนไม่คิดว่าจะมีใครอยากสังหารเขาเพราะเรื่องนั้น โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของบรรดาโรงงานก็เท่านั้น

ลูเซียนนึกสงสัยว่าเขาจะสรุปได้ไหมว่าไม่มีใครพยายามใช้ภารกิจนี้เพื่อสังหารเขา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แกสตันก็กลับมา

แกสตันนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะเอ่ยกับลูเซียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าได้คุยกับฟลอเรนเซียแล้วล่ะ นางบอกว่ามันเป็นเรื่องฉุกเฉิน และน่าจะปลอดภัย แต่เพราะเราให้ความสำคัญกับเจ้ามาก อีวานส์ และเจ้าก็เป็นผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมอุปกรณ์เวทมนตร์ไป”

แกสตันหยิบแว่นตาข้างเดียวที่ร้อยกับโซ่สีเงินประณีตออกมายื่นให้ลูเซียน “แว่นตาข้างเดียวนี้มี ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’ ประทับอยู่อย่างถาวร หากว่าเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้น ติดต่อหาข้าทันที นี่คือคลื่นความถี่ส่วนตัวของข้าและรหัส…”

ขณะที่พูดนั้น เขาก็เขียนข้อมูลทุกอย่างลงในเศษกระดาษเพื่อมอบให้กับลูเซียน

ชัดเจนว่าตอนที่ ‘เจ้าแห่งวายุ’ คิดค้นเวทมนตร์บทนี้ขึ้น เขาได้พิจารณาถึงการรักษาความลับไว้แล้ว

ลูเซียนประทับสัญลักษณ์พลังวิญาณของตนไว้ในแว่นตาข้างเดียวนี้ตามคำสั่งของแกสตัน จากนั้นจึงสวมมัน แว่นกรอบทองที่เขาสวมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมด้านซ้ายแล้ว และอีกกระเป๋าก็มีนาฬิกาพกอยู่

ตอนที่ลูเซียนหยิบหมวกทรงสูงของตนขึ้นมาและกำลังจะจากไป แกสตันก็ยืนขึ้นมาและส่งยิ้มให้ “อีวานส์ ยินดีด้วยที่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสามแล้ว นี่เป็นขอบเขตที่สำคัญมากสำหรับนักเวทหลายๆ คน ความจริงที่ว่าเจ้าทำมันได้หมายความว่าเจ้าล้ำหน้านักเวทไปแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ และจากนี้ต่อไป ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ จะมอบสี่สิบคะแนนอาร์คานาให้เจ้าทุกเดือนเป็นเงินสงเคราะห์”

“ขอบคุณขอรับ ท่านแกสตัน” ได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนจึงสิ่งยิ้มจริงใจกลับไป

หมู่บ้านเฟรเซอร์ ใกล้กับทางเข้าหุบเขาคาปัส

หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลตัวเมืองมาก ผู้เดินทางจะต้องนั่งรถไฟหกชั่วโมงจากเมืองอัลลินมายังใจกลางเมืองคาปัส จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครึ่งวันนั่งรถโดยสารระยะยาวเพื่อมายังหมู่บ้านที่ชื่อว่าเทนนิง แล้วฝ่าถนนขรุกขรักกลางหุบเขาอีกสองชั่วโมงเพื่อมายังหมู่บ้านนี้ แน่นอนว่า นักเวทที่สามารถบินมาได้ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้

ในหุบเขามีต้นไม้อยู่หนาตาและสัตว์ป่านานาชนิด ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นนายพรานหรือคนตัดต้นไม้ ปราสาทนักเวทที่นี่ส่วนใหญ่จะควบคุมสายแร่ส่วนหนึ่ง และเพราะนักเวทบางคน นักเวทฝึกหัดหลายๆ คน และยังมีคนงานเหมืองอีกมากมายอาศัยอยู่ หมู่บ้านห่างไกลนี้จึงค่อนข้างคึกคัก ไม่ได้เงียบเหงาสันโดษอย่างที่ใครๆ คิด นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนยังมาที่นี่เพื่อเสาะหาอัญมณีล้ำค่า ก้อนแร่ พืชพรรณ และสมบัติลับอีกด้วย

ร้านเหล้าที่ขึ้นชื่อที่สุดของเฟรเซอร์ก็คือ ‘ร้านถ้วยทองคำ’ ขณะนี้นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังดื่มกินและพูดคุยสังสรรค์กัน พวกเขาต่างคุ้นเคยกับการกินดื่มอย่างหนักทุกคืนก่อนจะเข้าไปในหุบเขา เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเองจะมีโอกาสได้กลับออกมาในวันถัดไปยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่เมื่อพวกเขาเข้าไปในนั้นแล้ว

ท่ามกลางกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด นักผจญภัยบางคนกำลังจับกลุ่มคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าได้ยินหรือไม่ว่านักเวทระดับสามในปราสาทเบอร์เทรนถูกปีศาจที่ตัวเองอัญเชิญมาฆ่าตายไปแล้วน่ะ” คนแคระผู้มีเครายาวสีบลอนด์เอ่ยถามชายที่เพิ่งพบเจอในร้านเหล้าแห่งนี้

ชายผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่บนใบหน้า เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “นักเวทฝึกหัดสองคนที่รอดออกมาได้บอกว่าปราสาทเป็นเหมือนกับนรก ผู้คนต่างถูกไฟครอกตาย โดนน้ำกรดฤทธิ์แรงกัดกร่อน โดนกรงเล็บแหลมคมฉีกเป็นชิ้นๆ เฉือนผ่าครึ่ง… โลหิต และเครื่องในสาดกระจายไปทั่ว”

ขณะที่ชายคนนั้นพูด เขาก็ชี้ไปทางนักเวทฝึกหัดสองคนที่อยู่ในสภาพเกินจะเรียกว่าเมาอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านด้วยความระมัดระวัง คนหนึ่งเป็นผู้ชายและอีกคนเป็นผู้หญิง แม้ว่าทั้งสองจะเมามาก แต่ก็ยังมีท่าทางหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขายังติดอยู่ในฝันร้าย

“เจ้าอยากจะไปที่นั่นเผื่อว่าจะเจออะไรบางอย่างไหมล่ะ” คนแคระโลภมากเอ่ยถาม “แบบว่าแอบหลบอ้อมพวกปีศาจไปฉวยสมบัติมาจากที่นั่นไง หมอนั่นเป็นถึงนักเวทระดับสามเชียวนะ คิดดูสิว่าหมอนั่นจะร่ำรวยเพียงใด!”

หญิงวัยกลางคนอีกคนที่ร่วมสนทนาด้วยมองไปทางคนแคระด้วยสายตาดูถูก “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ พวกปีศาจฆ่านักเวทระดับสามเชียวนะ! เจ้าอยากตายมากถึงเพียงนั้นเลยรึ”

“ข้าเห็นด้วย และทางสภาเวทมนตร์คงจะส่งนักเวทมาจัดการกับเรื่องนี้แล้วแน่ๆ อย่าบอกข้านะว่าเจ้าอยากจะไปเอาสมบัติมาจากพวกบ้านั่น… พลังจากน้ำยาเวทมนตร์ของเจ้าน่ะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนั้นแน่นอน…” ชายหน้าบากกล่าว

ในตอนนั้นเอง ประตูของร้านเหล้าก็เปิดออก ชายหนุ่มนักเวทประจัญบานผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีดำ เขามองไปรอบๆ ร้านด้วยดวงตาสีฟ้าดุดันก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยสัมผัสได้ถึงรังสีกดดันจากชายหนุ่ม จึงไม่มีผู้ใดหาญกล้ามองเขาตรงๆ จากนั้นเขาก็เดินตรงไปหานักเวทฝึกหัดทั้งสองตรงมุมร้านที่ยังคงดื่มอยู่แม้ว่าจะเมาจนแทบสิ้นสติแล้ว

นักเวทประจัญบานคว้าถ้วยไม้ไปแล้วโยนมันลงบนพื้น ของเหลวสีทองพลันหกราดไปทั่ว นักเวทฝึกหัดทั้งสองค่อยๆ ง่ายหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าด้วยความมึนงง

“ข้าชื่อชาลีย์ ข้ามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาในปราสาทเบอร์เทรน เจ้าสองคนตอบคำถามข้าให้ดี” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ประสบการณ์จากการต่อสู้มาหลายปีทำให้เขามีท่าทีกดดันเช่นนี้

นักเวทฝึกหัดทั้งสองดูท่าทางได้สติขึ้นมากแล้วในตอนนี้ และต่างเริ่มตัวสั่นเทา หญิงสาวนักเวทฝึกหัดที่มีผมสีแดงเบอร์กันดีตอบเขาด้วยเสียงอันสั่นเทา “ท่านชาลีย์… ข้าชื่อซูซานเจ้าค่ะ และนี่คือสก็อตต์ เราเป็นลูกศิษย์ของท่านเบอร์เทรน…ในคืนวันนั้น ท่านเบอร์เทรนพยายามจะอัญเชิญ… สิ่งเหล่านั้น… ในห้องของท่าน…”

แต่ตอนนั้นเอง หญิงสาวผมสีดำสั้นก็เข้ามาในร้านเหล้า นางสวมเสื้อคลุมสีม่วงดูสง่างาม และดวงตาสีน้ำตาลออกเหลืองของนางก็ดูคมกริบเย็นเยียบ หลังจากมองไปรอบๆ ร้าน นางก็เดินตรงมาหาชาลีย์แล้วแนะนำตัว “สวัสดี ข้าชื่อซานดร้า ระดับกลาง ข้าเองก็ได้รับภารกิจนี้”

“ข้าชื่อชาลีย์ ระดับกลาง” ชาลีย์พยักหน้ารับ ทั้งชาลีย์และซานดร้าต่างก็ไม่อยากเปิดเผยระดับที่แท้จริงต่อหน้าคนมากมาย และทั้งคู่ก็สวมเหรียญตราไว้ใต้เสื้อคลุมเหมือนกัน

คนแคระเคราทองหันขวับมาลอบมองพวกเขา จากนั้นก็พึมพำกับหญิงวัยกลางคนและชายหน้าบาก “แหงล่ะ สภาเวทมนตร์ส่งคนมาแล้ว… ดูพวกเขาสิ… อย่างน้อยก็ระดับสี่แน่ๆ แค่พวกเขาคนเดียวก็ทำลายปราสาทได้ทั้งหลังแล้ว… หรือกระทั่งทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ”

นักผจญภัยแทบไม่เคยได้เห็นนักเวทตัวจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเวทระดับกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยและระแวดระวังนักเวทเหล่านี้ด้วยความหวาดกลัวระคนเคารพนับถือ

“ข้าบอกแล้ว…” ชายหน้าบากดูท่าทางขวัญเสียเล็กน้อย

ทางด้านชาลีย์กับซานดร้านั้นกำลังรับฟังเรื่องราวจากนักเวทฝึกหัดอย่างตั้งใจ และพวกเขาก็ไม่สนใจสักนิดว่านักผจญภัยจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา เพราะพวกเขาแข็งแกร่งและมั่นใจเกินกว่าจะมาใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมนี้

ลักษณะท่าทางนี้ยิ่งทำให้นักผจญภัยประทับใจมากขึ้นไปอีก

“ข้าได้ยินมาว่าเรามีนักเวทอีกคนที่จะมาร่วมภารกิจนี้ด้วยนี่” หลังจากฟังนักเวทฝึกหัดเล่าจบ ซานดร้าก็ถามชาลีย์

“ถูกต้อง” ชาลีย์ผงกศีรษะ “เขายังมาไม่ถึง เรารอเขาอีกสักครู่แล้วกัน จะปลอดภัยกว่าหากมีพลังจากอีกคน และข้าคิดว่าเขาก็น่าจะอยู่ในระดับกลางเช่นกัน ใช่หรือไม่”

“แน่อยู่แล้ว” ซานดร้าตอบเสียงเรียบ

“พวกเขากำลังรอคนอื่นอยู่งั้นรึ” หญิงวัยกลางคนมองไปทางประตูร้าน

“โถ่… พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอใครเลย…” คนแคระพึมพำ “พวกเขาน่ะระดับสี่เป็นอย่างต่ำเชียวนะ!”

“การระวังตัวไว้ก่อนเป็นเรื่องดีเสมอ” ขณะที่ชายหน้าบากเอ่ยประโยคนี้ ประตูร้านเหล้าก็เปิดออกอีกครั้ง

โดยไม่รู้ตัว ทุกคนในร้านเหล้าต่างหันศีรษะไปมองผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามา

เป็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อโค้ตกระดุมสองแถวสีดำ สวมหมวกทรงสูงและแว่นตาข้างเดียวดูประณีต ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนสุภาพบุรุษผู้สง่างาม

นักผจญภัยทุกคนในร้านเหล้าต่างนึกสงสัยว่าชายหนุ่มชนชั้นสูงผู้นี้มาทำอะไรที่นี่กัน

ชาลีย์กับซานดร้ามองไปทางชายหนุ่มด้วยความระแวดระวัง เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นนักเวทที่รออยู่หรือไม่ อย่างไรเสีย ชายผู้นี้ก็ดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นนักเวทระดับกลาง

ในตอนนั้นเอง ทั้งชาลีย์และซานดร้าก็สังเกตเห็นแหวนประดับอัญมณีสีม่วงบนมือขวาของชายหนุ่ม แหวนวงนั้นมีลักษณะพิเศษและงดงามมาก

ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคือใคร

เขาก็คือผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ที่อายุน้อยที่สุด สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม อัจฉริยะผู้ที่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี!

ขณะเฝ้ามองชายหนุ่มเดินตรงมาทางพวกตนด้วยท่วงท่าสง่างาม และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ทั้งชาลีย์ และซานดร้าพลันผุดลุกขึ้นยืนแล้วทักทายเขาด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบกับท่านขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์”

ท่าทางของทั้งสองทำให้ทุกคนในที่นั้นประหลาดใจ

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 245 ท่านอีวานส์

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 245 ท่านอีวานส์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลูเซียนติดเหรียญตราที่ปรับระดับขึ้นแล้วเรียบร้อย และแม้ว่ารถไฟหัวจักรเวทมนตร์จะเพิ่งนำเสนอเส้นทางใหม่จากเมืองอัลลินไปยังเมืองคาปัส เขาก็ไม่ได้ไปขึ้นเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น กลับจ้างรถม้าให้ไปส่งยังหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’

ภารกิจนี้มอบให้กับลูเซียนในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสงสัย เพราะว่ามันส่งมาทันทีที่ลูเซียนเลื่อนระดับ เขาต้องการให้จอมเวทระดับสูงบางคนจากกลุ่มของเขาตรวจดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยดี

ณ ห้องทำงานภายในหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แกสตันรับฟังคำบรรยายภารกิจของลูเซียนเงียบๆ ด้วยนิ้วที่ประสานไว้ตรงหน้า ดวงตาสีเหลืองเข้มของเขาฉายแววสงสัยเล็กน้อย แล้วแกสตันก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ภารกิจนี้ดูไม่ได้อันตรายอะไร ด้วยแหวนของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่ก็ยังปกป้องตัวเจ้าเองแล้วหลบหนีออกมาได้โดยไร้ปัญหา แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าแล้ว ข้ายังต้องถามฟลอเรนเซียดูก่อน… บางทีนางอาจจะรู้อะไรบางอย่าง”

แกสตันปล่อยให้ลูเซียนนั่งรออยู่ในห้องทำงานของเขา ส่วนตนเดินไปอีกห้องหนึ่งเพื่อคุยกับฟลอเรนเซียผ่านทาง ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’

ลูเซียนฉวยโอกาสนี้เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรองถึงผู้ที่อาจเป็นศัตรูของเขาจากในสภาและต้องการให้เขาตาย ปัญหาเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ นั้นยุติไปแล้ว ตอนนี้เป็นฟิลิปที่รับความสนใจไปเสียส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการติดตั้งวงแหวนชำระล้าง ลูเซียนไม่คิดว่าจะมีใครอยากสังหารเขาเพราะเรื่องนั้น โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของบรรดาโรงงานก็เท่านั้น

ลูเซียนนึกสงสัยว่าเขาจะสรุปได้ไหมว่าไม่มีใครพยายามใช้ภารกิจนี้เพื่อสังหารเขา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แกสตันก็กลับมา

แกสตันนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะเอ่ยกับลูเซียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าได้คุยกับฟลอเรนเซียแล้วล่ะ นางบอกว่ามันเป็นเรื่องฉุกเฉิน และน่าจะปลอดภัย แต่เพราะเราให้ความสำคัญกับเจ้ามาก อีวานส์ และเจ้าก็เป็นผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมอุปกรณ์เวทมนตร์ไป”

แกสตันหยิบแว่นตาข้างเดียวที่ร้อยกับโซ่สีเงินประณีตออกมายื่นให้ลูเซียน “แว่นตาข้างเดียวนี้มี ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’ ประทับอยู่อย่างถาวร หากว่าเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้น ติดต่อหาข้าทันที นี่คือคลื่นความถี่ส่วนตัวของข้าและรหัส…”

ขณะที่พูดนั้น เขาก็เขียนข้อมูลทุกอย่างลงในเศษกระดาษเพื่อมอบให้กับลูเซียน

ชัดเจนว่าตอนที่ ‘เจ้าแห่งวายุ’ คิดค้นเวทมนตร์บทนี้ขึ้น เขาได้พิจารณาถึงการรักษาความลับไว้แล้ว

ลูเซียนประทับสัญลักษณ์พลังวิญาณของตนไว้ในแว่นตาข้างเดียวนี้ตามคำสั่งของแกสตัน จากนั้นจึงสวมมัน แว่นกรอบทองที่เขาสวมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมด้านซ้ายแล้ว และอีกกระเป๋าก็มีนาฬิกาพกอยู่

ตอนที่ลูเซียนหยิบหมวกทรงสูงของตนขึ้นมาและกำลังจะจากไป แกสตันก็ยืนขึ้นมาและส่งยิ้มให้ “อีวานส์ ยินดีด้วยที่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสามแล้ว นี่เป็นขอบเขตที่สำคัญมากสำหรับนักเวทหลายๆ คน ความจริงที่ว่าเจ้าทำมันได้หมายความว่าเจ้าล้ำหน้านักเวทไปแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ และจากนี้ต่อไป ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ จะมอบสี่สิบคะแนนอาร์คานาให้เจ้าทุกเดือนเป็นเงินสงเคราะห์”

“ขอบคุณขอรับ ท่านแกสตัน” ได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนจึงสิ่งยิ้มจริงใจกลับไป

หมู่บ้านเฟรเซอร์ ใกล้กับทางเข้าหุบเขาคาปัส

หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลตัวเมืองมาก ผู้เดินทางจะต้องนั่งรถไฟหกชั่วโมงจากเมืองอัลลินมายังใจกลางเมืองคาปัส จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครึ่งวันนั่งรถโดยสารระยะยาวเพื่อมายังหมู่บ้านที่ชื่อว่าเทนนิง แล้วฝ่าถนนขรุกขรักกลางหุบเขาอีกสองชั่วโมงเพื่อมายังหมู่บ้านนี้ แน่นอนว่า นักเวทที่สามารถบินมาได้ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้

ในหุบเขามีต้นไม้อยู่หนาตาและสัตว์ป่านานาชนิด ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นนายพรานหรือคนตัดต้นไม้ ปราสาทนักเวทที่นี่ส่วนใหญ่จะควบคุมสายแร่ส่วนหนึ่ง และเพราะนักเวทบางคน นักเวทฝึกหัดหลายๆ คน และยังมีคนงานเหมืองอีกมากมายอาศัยอยู่ หมู่บ้านห่างไกลนี้จึงค่อนข้างคึกคัก ไม่ได้เงียบเหงาสันโดษอย่างที่ใครๆ คิด นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนยังมาที่นี่เพื่อเสาะหาอัญมณีล้ำค่า ก้อนแร่ พืชพรรณ และสมบัติลับอีกด้วย

ร้านเหล้าที่ขึ้นชื่อที่สุดของเฟรเซอร์ก็คือ ‘ร้านถ้วยทองคำ’ ขณะนี้นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังดื่มกินและพูดคุยสังสรรค์กัน พวกเขาต่างคุ้นเคยกับการกินดื่มอย่างหนักทุกคืนก่อนจะเข้าไปในหุบเขา เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเองจะมีโอกาสได้กลับออกมาในวันถัดไปยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่เมื่อพวกเขาเข้าไปในนั้นแล้ว

ท่ามกลางกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด นักผจญภัยบางคนกำลังจับกลุ่มคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าได้ยินหรือไม่ว่านักเวทระดับสามในปราสาทเบอร์เทรนถูกปีศาจที่ตัวเองอัญเชิญมาฆ่าตายไปแล้วน่ะ” คนแคระผู้มีเครายาวสีบลอนด์เอ่ยถามชายที่เพิ่งพบเจอในร้านเหล้าแห่งนี้

ชายผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่บนใบหน้า เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “นักเวทฝึกหัดสองคนที่รอดออกมาได้บอกว่าปราสาทเป็นเหมือนกับนรก ผู้คนต่างถูกไฟครอกตาย โดนน้ำกรดฤทธิ์แรงกัดกร่อน โดนกรงเล็บแหลมคมฉีกเป็นชิ้นๆ เฉือนผ่าครึ่ง… โลหิต และเครื่องในสาดกระจายไปทั่ว”

ขณะที่ชายคนนั้นพูด เขาก็ชี้ไปทางนักเวทฝึกหัดสองคนที่อยู่ในสภาพเกินจะเรียกว่าเมาอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านด้วยความระมัดระวัง คนหนึ่งเป็นผู้ชายและอีกคนเป็นผู้หญิง แม้ว่าทั้งสองจะเมามาก แต่ก็ยังมีท่าทางหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขายังติดอยู่ในฝันร้าย

“เจ้าอยากจะไปที่นั่นเผื่อว่าจะเจออะไรบางอย่างไหมล่ะ” คนแคระโลภมากเอ่ยถาม “แบบว่าแอบหลบอ้อมพวกปีศาจไปฉวยสมบัติมาจากที่นั่นไง หมอนั่นเป็นถึงนักเวทระดับสามเชียวนะ คิดดูสิว่าหมอนั่นจะร่ำรวยเพียงใด!”

หญิงวัยกลางคนอีกคนที่ร่วมสนทนาด้วยมองไปทางคนแคระด้วยสายตาดูถูก “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ พวกปีศาจฆ่านักเวทระดับสามเชียวนะ! เจ้าอยากตายมากถึงเพียงนั้นเลยรึ”

“ข้าเห็นด้วย และทางสภาเวทมนตร์คงจะส่งนักเวทมาจัดการกับเรื่องนี้แล้วแน่ๆ อย่าบอกข้านะว่าเจ้าอยากจะไปเอาสมบัติมาจากพวกบ้านั่น… พลังจากน้ำยาเวทมนตร์ของเจ้าน่ะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนั้นแน่นอน…” ชายหน้าบากกล่าว

ในตอนนั้นเอง ประตูของร้านเหล้าก็เปิดออก ชายหนุ่มนักเวทประจัญบานผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีดำ เขามองไปรอบๆ ร้านด้วยดวงตาสีฟ้าดุดันก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยสัมผัสได้ถึงรังสีกดดันจากชายหนุ่ม จึงไม่มีผู้ใดหาญกล้ามองเขาตรงๆ จากนั้นเขาก็เดินตรงไปหานักเวทฝึกหัดทั้งสองตรงมุมร้านที่ยังคงดื่มอยู่แม้ว่าจะเมาจนแทบสิ้นสติแล้ว

นักเวทประจัญบานคว้าถ้วยไม้ไปแล้วโยนมันลงบนพื้น ของเหลวสีทองพลันหกราดไปทั่ว นักเวทฝึกหัดทั้งสองค่อยๆ ง่ายหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าด้วยความมึนงง

“ข้าชื่อชาลีย์ ข้ามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาในปราสาทเบอร์เทรน เจ้าสองคนตอบคำถามข้าให้ดี” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ประสบการณ์จากการต่อสู้มาหลายปีทำให้เขามีท่าทีกดดันเช่นนี้

นักเวทฝึกหัดทั้งสองดูท่าทางได้สติขึ้นมากแล้วในตอนนี้ และต่างเริ่มตัวสั่นเทา หญิงสาวนักเวทฝึกหัดที่มีผมสีแดงเบอร์กันดีตอบเขาด้วยเสียงอันสั่นเทา “ท่านชาลีย์… ข้าชื่อซูซานเจ้าค่ะ และนี่คือสก็อตต์ เราเป็นลูกศิษย์ของท่านเบอร์เทรน…ในคืนวันนั้น ท่านเบอร์เทรนพยายามจะอัญเชิญ… สิ่งเหล่านั้น… ในห้องของท่าน…”

แต่ตอนนั้นเอง หญิงสาวผมสีดำสั้นก็เข้ามาในร้านเหล้า นางสวมเสื้อคลุมสีม่วงดูสง่างาม และดวงตาสีน้ำตาลออกเหลืองของนางก็ดูคมกริบเย็นเยียบ หลังจากมองไปรอบๆ ร้าน นางก็เดินตรงมาหาชาลีย์แล้วแนะนำตัว “สวัสดี ข้าชื่อซานดร้า ระดับกลาง ข้าเองก็ได้รับภารกิจนี้”

“ข้าชื่อชาลีย์ ระดับกลาง” ชาลีย์พยักหน้ารับ ทั้งชาลีย์และซานดร้าต่างก็ไม่อยากเปิดเผยระดับที่แท้จริงต่อหน้าคนมากมาย และทั้งคู่ก็สวมเหรียญตราไว้ใต้เสื้อคลุมเหมือนกัน

คนแคระเคราทองหันขวับมาลอบมองพวกเขา จากนั้นก็พึมพำกับหญิงวัยกลางคนและชายหน้าบาก “แหงล่ะ สภาเวทมนตร์ส่งคนมาแล้ว… ดูพวกเขาสิ… อย่างน้อยก็ระดับสี่แน่ๆ แค่พวกเขาคนเดียวก็ทำลายปราสาทได้ทั้งหลังแล้ว… หรือกระทั่งทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ”

นักผจญภัยแทบไม่เคยได้เห็นนักเวทตัวจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเวทระดับกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยและระแวดระวังนักเวทเหล่านี้ด้วยความหวาดกลัวระคนเคารพนับถือ

“ข้าบอกแล้ว…” ชายหน้าบากดูท่าทางขวัญเสียเล็กน้อย

ทางด้านชาลีย์กับซานดร้านั้นกำลังรับฟังเรื่องราวจากนักเวทฝึกหัดอย่างตั้งใจ และพวกเขาก็ไม่สนใจสักนิดว่านักผจญภัยจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา เพราะพวกเขาแข็งแกร่งและมั่นใจเกินกว่าจะมาใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมนี้

ลักษณะท่าทางนี้ยิ่งทำให้นักผจญภัยประทับใจมากขึ้นไปอีก

“ข้าได้ยินมาว่าเรามีนักเวทอีกคนที่จะมาร่วมภารกิจนี้ด้วยนี่” หลังจากฟังนักเวทฝึกหัดเล่าจบ ซานดร้าก็ถามชาลีย์

“ถูกต้อง” ชาลีย์ผงกศีรษะ “เขายังมาไม่ถึง เรารอเขาอีกสักครู่แล้วกัน จะปลอดภัยกว่าหากมีพลังจากอีกคน และข้าคิดว่าเขาก็น่าจะอยู่ในระดับกลางเช่นกัน ใช่หรือไม่”

“แน่อยู่แล้ว” ซานดร้าตอบเสียงเรียบ

“พวกเขากำลังรอคนอื่นอยู่งั้นรึ” หญิงวัยกลางคนมองไปทางประตูร้าน

“โถ่… พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอใครเลย…” คนแคระพึมพำ “พวกเขาน่ะระดับสี่เป็นอย่างต่ำเชียวนะ!”

“การระวังตัวไว้ก่อนเป็นเรื่องดีเสมอ” ขณะที่ชายหน้าบากเอ่ยประโยคนี้ ประตูร้านเหล้าก็เปิดออกอีกครั้ง

โดยไม่รู้ตัว ทุกคนในร้านเหล้าต่างหันศีรษะไปมองผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามา

เป็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อโค้ตกระดุมสองแถวสีดำ สวมหมวกทรงสูงและแว่นตาข้างเดียวดูประณีต ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนสุภาพบุรุษผู้สง่างาม

นักผจญภัยทุกคนในร้านเหล้าต่างนึกสงสัยว่าชายหนุ่มชนชั้นสูงผู้นี้มาทำอะไรที่นี่กัน

ชาลีย์กับซานดร้ามองไปทางชายหนุ่มด้วยความระแวดระวัง เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นนักเวทที่รออยู่หรือไม่ อย่างไรเสีย ชายผู้นี้ก็ดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นนักเวทระดับกลาง

ในตอนนั้นเอง ทั้งชาลีย์และซานดร้าก็สังเกตเห็นแหวนประดับอัญมณีสีม่วงบนมือขวาของชายหนุ่ม แหวนวงนั้นมีลักษณะพิเศษและงดงามมาก

ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคือใคร

เขาก็คือผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ที่อายุน้อยที่สุด สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม อัจฉริยะผู้ที่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี!

ขณะเฝ้ามองชายหนุ่มเดินตรงมาทางพวกตนด้วยท่วงท่าสง่างาม และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ทั้งชาลีย์ และซานดร้าพลันผุดลุกขึ้นยืนแล้วทักทายเขาด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบกับท่านขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์”

ท่าทางของทั้งสองทำให้ทุกคนในที่นั้นประหลาดใจ

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา 245 ท่านอีวานส์

Now you are reading Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา Chapter 245 ท่านอีวานส์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลูเซียนติดเหรียญตราที่ปรับระดับขึ้นแล้วเรียบร้อย และแม้ว่ารถไฟหัวจักรเวทมนตร์จะเพิ่งนำเสนอเส้นทางใหม่จากเมืองอัลลินไปยังเมืองคาปัส เขาก็ไม่ได้ไปขึ้นเพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้น กลับจ้างรถม้าให้ไปส่งยังหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’

ภารกิจนี้มอบให้กับลูเซียนในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสงสัย เพราะว่ามันส่งมาทันทีที่ลูเซียนเลื่อนระดับ เขาต้องการให้จอมเวทระดับสูงบางคนจากกลุ่มของเขาตรวจดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยดี

ณ ห้องทำงานภายในหอคอยเวทมนตร์ของกลุ่ม ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ แกสตันรับฟังคำบรรยายภารกิจของลูเซียนเงียบๆ ด้วยนิ้วที่ประสานไว้ตรงหน้า ดวงตาสีเหลืองเข้มของเขาฉายแววสงสัยเล็กน้อย แล้วแกสตันก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ภารกิจนี้ดูไม่ได้อันตรายอะไร ด้วยแหวนของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่ก็ยังปกป้องตัวเจ้าเองแล้วหลบหนีออกมาได้โดยไร้ปัญหา แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าแล้ว ข้ายังต้องถามฟลอเรนเซียดูก่อน… บางทีนางอาจจะรู้อะไรบางอย่าง”

แกสตันปล่อยให้ลูเซียนนั่งรออยู่ในห้องทำงานของเขา ส่วนตนเดินไปอีกห้องหนึ่งเพื่อคุยกับฟลอเรนเซียผ่านทาง ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’

ลูเซียนฉวยโอกาสนี้เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรองถึงผู้ที่อาจเป็นศัตรูของเขาจากในสภาและต้องการให้เขาตาย ปัญหาเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ นั้นยุติไปแล้ว ตอนนี้เป็นฟิลิปที่รับความสนใจไปเสียส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการติดตั้งวงแหวนชำระล้าง ลูเซียนไม่คิดว่าจะมีใครอยากสังหารเขาเพราะเรื่องนั้น โดยเฉพาะเมื่อเรื่องนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของบรรดาโรงงานก็เท่านั้น

ลูเซียนนึกสงสัยว่าเขาจะสรุปได้ไหมว่าไม่มีใครพยายามใช้ภารกิจนี้เพื่อสังหารเขา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แกสตันก็กลับมา

แกสตันนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะเอ่ยกับลูเซียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าได้คุยกับฟลอเรนเซียแล้วล่ะ นางบอกว่ามันเป็นเรื่องฉุกเฉิน และน่าจะปลอดภัย แต่เพราะเราให้ความสำคัญกับเจ้ามาก อีวานส์ และเจ้าก็เป็นผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมอุปกรณ์เวทมนตร์ไป”

แกสตันหยิบแว่นตาข้างเดียวที่ร้อยกับโซ่สีเงินประณีตออกมายื่นให้ลูเซียน “แว่นตาข้างเดียวนี้มี ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้าของเฟอร์นันโด’ ประทับอยู่อย่างถาวร หากว่าเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้น ติดต่อหาข้าทันที นี่คือคลื่นความถี่ส่วนตัวของข้าและรหัส…”

ขณะที่พูดนั้น เขาก็เขียนข้อมูลทุกอย่างลงในเศษกระดาษเพื่อมอบให้กับลูเซียน

ชัดเจนว่าตอนที่ ‘เจ้าแห่งวายุ’ คิดค้นเวทมนตร์บทนี้ขึ้น เขาได้พิจารณาถึงการรักษาความลับไว้แล้ว

ลูเซียนประทับสัญลักษณ์พลังวิญาณของตนไว้ในแว่นตาข้างเดียวนี้ตามคำสั่งของแกสตัน จากนั้นจึงสวมมัน แว่นกรอบทองที่เขาสวมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมด้านซ้ายแล้ว และอีกกระเป๋าก็มีนาฬิกาพกอยู่

ตอนที่ลูเซียนหยิบหมวกทรงสูงของตนขึ้นมาและกำลังจะจากไป แกสตันก็ยืนขึ้นมาและส่งยิ้มให้ “อีวานส์ ยินดีด้วยที่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสามแล้ว นี่เป็นขอบเขตที่สำคัญมากสำหรับนักเวทหลายๆ คน ความจริงที่ว่าเจ้าทำมันได้หมายความว่าเจ้าล้ำหน้านักเวทไปแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ และจากนี้ต่อไป ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ จะมอบสี่สิบคะแนนอาร์คานาให้เจ้าทุกเดือนเป็นเงินสงเคราะห์”

“ขอบคุณขอรับ ท่านแกสตัน” ได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนจึงสิ่งยิ้มจริงใจกลับไป

หมู่บ้านเฟรเซอร์ ใกล้กับทางเข้าหุบเขาคาปัส

หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลตัวเมืองมาก ผู้เดินทางจะต้องนั่งรถไฟหกชั่วโมงจากเมืองอัลลินมายังใจกลางเมืองคาปัส จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครึ่งวันนั่งรถโดยสารระยะยาวเพื่อมายังหมู่บ้านที่ชื่อว่าเทนนิง แล้วฝ่าถนนขรุกขรักกลางหุบเขาอีกสองชั่วโมงเพื่อมายังหมู่บ้านนี้ แน่นอนว่า นักเวทที่สามารถบินมาได้ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้

ในหุบเขามีต้นไม้อยู่หนาตาและสัตว์ป่านานาชนิด ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นนายพรานหรือคนตัดต้นไม้ ปราสาทนักเวทที่นี่ส่วนใหญ่จะควบคุมสายแร่ส่วนหนึ่ง และเพราะนักเวทบางคน นักเวทฝึกหัดหลายๆ คน และยังมีคนงานเหมืองอีกมากมายอาศัยอยู่ หมู่บ้านห่างไกลนี้จึงค่อนข้างคึกคัก ไม่ได้เงียบเหงาสันโดษอย่างที่ใครๆ คิด นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนยังมาที่นี่เพื่อเสาะหาอัญมณีล้ำค่า ก้อนแร่ พืชพรรณ และสมบัติลับอีกด้วย

ร้านเหล้าที่ขึ้นชื่อที่สุดของเฟรเซอร์ก็คือ ‘ร้านถ้วยทองคำ’ ขณะนี้นักผจญภัยและทหารรับจ้างหลายคนอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังดื่มกินและพูดคุยสังสรรค์กัน พวกเขาต่างคุ้นเคยกับการกินดื่มอย่างหนักทุกคืนก่อนจะเข้าไปในหุบเขา เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเองจะมีโอกาสได้กลับออกมาในวันถัดไปยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่เมื่อพวกเขาเข้าไปในนั้นแล้ว

ท่ามกลางกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด นักผจญภัยบางคนกำลังจับกลุ่มคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าได้ยินหรือไม่ว่านักเวทระดับสามในปราสาทเบอร์เทรนถูกปีศาจที่ตัวเองอัญเชิญมาฆ่าตายไปแล้วน่ะ” คนแคระผู้มีเครายาวสีบลอนด์เอ่ยถามชายที่เพิ่งพบเจอในร้านเหล้าแห่งนี้

ชายผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่บนใบหน้า เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “นักเวทฝึกหัดสองคนที่รอดออกมาได้บอกว่าปราสาทเป็นเหมือนกับนรก ผู้คนต่างถูกไฟครอกตาย โดนน้ำกรดฤทธิ์แรงกัดกร่อน โดนกรงเล็บแหลมคมฉีกเป็นชิ้นๆ เฉือนผ่าครึ่ง… โลหิต และเครื่องในสาดกระจายไปทั่ว”

ขณะที่ชายคนนั้นพูด เขาก็ชี้ไปทางนักเวทฝึกหัดสองคนที่อยู่ในสภาพเกินจะเรียกว่าเมาอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านด้วยความระมัดระวัง คนหนึ่งเป็นผู้ชายและอีกคนเป็นผู้หญิง แม้ว่าทั้งสองจะเมามาก แต่ก็ยังมีท่าทางหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขายังติดอยู่ในฝันร้าย

“เจ้าอยากจะไปที่นั่นเผื่อว่าจะเจออะไรบางอย่างไหมล่ะ” คนแคระโลภมากเอ่ยถาม “แบบว่าแอบหลบอ้อมพวกปีศาจไปฉวยสมบัติมาจากที่นั่นไง หมอนั่นเป็นถึงนักเวทระดับสามเชียวนะ คิดดูสิว่าหมอนั่นจะร่ำรวยเพียงใด!”

หญิงวัยกลางคนอีกคนที่ร่วมสนทนาด้วยมองไปทางคนแคระด้วยสายตาดูถูก “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ พวกปีศาจฆ่านักเวทระดับสามเชียวนะ! เจ้าอยากตายมากถึงเพียงนั้นเลยรึ”

“ข้าเห็นด้วย และทางสภาเวทมนตร์คงจะส่งนักเวทมาจัดการกับเรื่องนี้แล้วแน่ๆ อย่าบอกข้านะว่าเจ้าอยากจะไปเอาสมบัติมาจากพวกบ้านั่น… พลังจากน้ำยาเวทมนตร์ของเจ้าน่ะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนั้นแน่นอน…” ชายหน้าบากกล่าว

ในตอนนั้นเอง ประตูของร้านเหล้าก็เปิดออก ชายหนุ่มนักเวทประจัญบานผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีดำ เขามองไปรอบๆ ร้านด้วยดวงตาสีฟ้าดุดันก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยสัมผัสได้ถึงรังสีกดดันจากชายหนุ่ม จึงไม่มีผู้ใดหาญกล้ามองเขาตรงๆ จากนั้นเขาก็เดินตรงไปหานักเวทฝึกหัดทั้งสองตรงมุมร้านที่ยังคงดื่มอยู่แม้ว่าจะเมาจนแทบสิ้นสติแล้ว

นักเวทประจัญบานคว้าถ้วยไม้ไปแล้วโยนมันลงบนพื้น ของเหลวสีทองพลันหกราดไปทั่ว นักเวทฝึกหัดทั้งสองค่อยๆ ง่ายหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าด้วยความมึนงง

“ข้าชื่อชาลีย์ ข้ามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาในปราสาทเบอร์เทรน เจ้าสองคนตอบคำถามข้าให้ดี” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ประสบการณ์จากการต่อสู้มาหลายปีทำให้เขามีท่าทีกดดันเช่นนี้

นักเวทฝึกหัดทั้งสองดูท่าทางได้สติขึ้นมากแล้วในตอนนี้ และต่างเริ่มตัวสั่นเทา หญิงสาวนักเวทฝึกหัดที่มีผมสีแดงเบอร์กันดีตอบเขาด้วยเสียงอันสั่นเทา “ท่านชาลีย์… ข้าชื่อซูซานเจ้าค่ะ และนี่คือสก็อตต์ เราเป็นลูกศิษย์ของท่านเบอร์เทรน…ในคืนวันนั้น ท่านเบอร์เทรนพยายามจะอัญเชิญ… สิ่งเหล่านั้น… ในห้องของท่าน…”

แต่ตอนนั้นเอง หญิงสาวผมสีดำสั้นก็เข้ามาในร้านเหล้า นางสวมเสื้อคลุมสีม่วงดูสง่างาม และดวงตาสีน้ำตาลออกเหลืองของนางก็ดูคมกริบเย็นเยียบ หลังจากมองไปรอบๆ ร้าน นางก็เดินตรงมาหาชาลีย์แล้วแนะนำตัว “สวัสดี ข้าชื่อซานดร้า ระดับกลาง ข้าเองก็ได้รับภารกิจนี้”

“ข้าชื่อชาลีย์ ระดับกลาง” ชาลีย์พยักหน้ารับ ทั้งชาลีย์และซานดร้าต่างก็ไม่อยากเปิดเผยระดับที่แท้จริงต่อหน้าคนมากมาย และทั้งคู่ก็สวมเหรียญตราไว้ใต้เสื้อคลุมเหมือนกัน

คนแคระเคราทองหันขวับมาลอบมองพวกเขา จากนั้นก็พึมพำกับหญิงวัยกลางคนและชายหน้าบาก “แหงล่ะ สภาเวทมนตร์ส่งคนมาแล้ว… ดูพวกเขาสิ… อย่างน้อยก็ระดับสี่แน่ๆ แค่พวกเขาคนเดียวก็ทำลายปราสาทได้ทั้งหลังแล้ว… หรือกระทั่งทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ”

นักผจญภัยแทบไม่เคยได้เห็นนักเวทตัวจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเวทระดับกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยและระแวดระวังนักเวทเหล่านี้ด้วยความหวาดกลัวระคนเคารพนับถือ

“ข้าบอกแล้ว…” ชายหน้าบากดูท่าทางขวัญเสียเล็กน้อย

ทางด้านชาลีย์กับซานดร้านั้นกำลังรับฟังเรื่องราวจากนักเวทฝึกหัดอย่างตั้งใจ และพวกเขาก็ไม่สนใจสักนิดว่านักผจญภัยจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา เพราะพวกเขาแข็งแกร่งและมั่นใจเกินกว่าจะมาใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมนี้

ลักษณะท่าทางนี้ยิ่งทำให้นักผจญภัยประทับใจมากขึ้นไปอีก

“ข้าได้ยินมาว่าเรามีนักเวทอีกคนที่จะมาร่วมภารกิจนี้ด้วยนี่” หลังจากฟังนักเวทฝึกหัดเล่าจบ ซานดร้าก็ถามชาลีย์

“ถูกต้อง” ชาลีย์ผงกศีรษะ “เขายังมาไม่ถึง เรารอเขาอีกสักครู่แล้วกัน จะปลอดภัยกว่าหากมีพลังจากอีกคน และข้าคิดว่าเขาก็น่าจะอยู่ในระดับกลางเช่นกัน ใช่หรือไม่”

“แน่อยู่แล้ว” ซานดร้าตอบเสียงเรียบ

“พวกเขากำลังรอคนอื่นอยู่งั้นรึ” หญิงวัยกลางคนมองไปทางประตูร้าน

“โถ่… พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอใครเลย…” คนแคระพึมพำ “พวกเขาน่ะระดับสี่เป็นอย่างต่ำเชียวนะ!”

“การระวังตัวไว้ก่อนเป็นเรื่องดีเสมอ” ขณะที่ชายหน้าบากเอ่ยประโยคนี้ ประตูร้านเหล้าก็เปิดออกอีกครั้ง

โดยไม่รู้ตัว ทุกคนในร้านเหล้าต่างหันศีรษะไปมองผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามา

เป็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อโค้ตกระดุมสองแถวสีดำ สวมหมวกทรงสูงและแว่นตาข้างเดียวดูประณีต ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนสุภาพบุรุษผู้สง่างาม

นักผจญภัยทุกคนในร้านเหล้าต่างนึกสงสัยว่าชายหนุ่มชนชั้นสูงผู้นี้มาทำอะไรที่นี่กัน

ชาลีย์กับซานดร้ามองไปทางชายหนุ่มด้วยความระแวดระวัง เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นนักเวทที่รออยู่หรือไม่ อย่างไรเสีย ชายผู้นี้ก็ดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็นนักเวทระดับกลาง

ในตอนนั้นเอง ทั้งชาลีย์และซานดร้าก็สังเกตเห็นแหวนประดับอัญมณีสีม่วงบนมือขวาของชายหนุ่ม แหวนวงนั้นมีลักษณะพิเศษและงดงามมาก

ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคือใคร

เขาก็คือผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ที่อายุน้อยที่สุด สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม อัจฉริยะผู้ที่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางได้ภายในหนึ่งปี!

ขณะเฝ้ามองชายหนุ่มเดินตรงมาทางพวกตนด้วยท่วงท่าสง่างาม และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ทั้งชาลีย์ และซานดร้าพลันผุดลุกขึ้นยืนแล้วทักทายเขาด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบกับท่านขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์”

ท่าทางของทั้งสองทำให้ทุกคนในที่นั้นประหลาดใจ

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+