Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1663 ลางดี

Now you are reading Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง Chapter 1663 ลางดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จางจื่ออันถูกจวงเสี่ยวเตี๋ยย้อนถามจนหมดคำพูดจะโต้ตอบ

 

 

ขบวนส่งตัวเจ้าสาวเกี่ยวข้องกับเขาเหรอ

 

 

ภูมิลำเนาเดิมของเขาอยู่ที่เมืองปินไห่ แต่ภูมิลำเนานี้มี ‘บรรพบุรุษ’ เขาไม่ค่อยแน่ใจเลยจริงๆ ครอบครัวของเขาไม่ใช่ครอบครัวใหญ่ประเภทที่เก่าแก่และดั้งเดิมมาก ไม่ได้สนใจลำดับวงศ์ตระกูลและไม่ให้ความสำคัญด้วยซ้ำ เขาจึงไม่รู้ว่าบรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่เมืองปินไห่ตั้งแต่ตอนไหน พอคิดถึงวัฏจักรราชวงศ์ในประวัติศาสตร์จีน ก็อาจจะหนีมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ในช่วงเกิดความวุ่นวายจากสงครามสักช่วงหนึ่ง

 

 

ที่รู้จากพ่อกับแม่ที่พูดขึ้นมาบางครั้ง เขาเหมือนจะเคยได้ยินว่าบรรพบุรุษตระกูลตัวเองก็เคยร่ำรวย แต่ค่อยๆ ยากจนลงท่ามกลางความวุ่นวายจากสงครามอันยาวนานครั้งแล้วครั้งเล่าในศตวรรษที่ยี่สิบ บวกกับความไม่แน่นอนหลังจากปลดแอก ครอบครัวที่ร่ำรวยมากแค่ไหนก็สู้ไม่ไหวเหมือนกัน

 

 

ถ้าบรรพบุรุษของเขาอยู่ที่เมืองปินไห่ตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เขาก็พอจะเข้าใจคำถามย้อนถามประโยคนี้ได้แล้ว

 

 

เมืองเล็กๆ ริมทะเลแบบนี้ ไม่เพียงคนที่มีหน้ามีตาในเมืองจะรู้จักกันหมด ความจริงที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเครือญาติกันก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็เป็นพื้นฐานอันดับแรกของการรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นตัวเชื่อมโยงที่น่าเชื่อถือที่สุด

 

 

ดังนั้น คนบางคนในขบวนส่งตัวเจ้าสาว อย่างเช่น หญิงสาวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวหรือสาวใช้ที่คอนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ หากเวลาผ่านไปนับร้อยปี ก็อาจจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ใกล้ไม่ไกลบางอย่าง ถ้าเป็นลำดับที่ใกล้กว่านั้น หรือถ้าไม่มีขบวนส่งตัวเจ้าสาวขบวนนี้ เขาก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นมา เรื่องนี้ก็ฟังดูมีเหตุผล

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกใกล้ชิดกับขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้ขึ้นมาโดยพลัน เหมือนเป็นการสัมผัสสิ่งเล็กๆ ที่บรรพบุรุษส่งทอดมาให้ พอนึกขึ้นได้ว่าสิ่งเล็กๆ นี้เคยผ่านมือหลายคนมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เหมือนได้ข้ามเวลามาเห็นหน้าพวกเขาแล้ว

 

 

“น่าเสียดายที่ออกจากบ้านไม่ได้พกอะไรมาเลย ไม่อย่างนั้นควรจะให้ของขวัญสักหน่อย ขอให้ข้าวใหม่ปลามันคู่นี้มีลูกเร็วๆ และมีลูกเยอะๆ เพื่อเพิ่มผู้อุทิศตัวให้กับประเทศชาติ” เขาพูดกึ่งล้อเล่น

 

 

นี่เป็นความฝัน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นแค่ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์ ดังนั้นทำตัวตามใจสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

 

 

ขบวนส่งตัวเจ้าสาวเข้าใกล้ประตูเมืองแล้ว คนเป่าปี่ปากกว้างก็เป่าดังขึ้น พวกผู้ดูแลงานในขบวนส่งตัวเจ้าสาวปัดฝุ่นบนร่างกาย นำขบวนส่งตัวเจ้าสาวเดินหน้ารวมตัว

 

 

ตอนทั้งสองฝ่ายกำลังจะเดินมาถึงกัน อยู่ๆ ในป่าและพุ่มไม้สองข้างทางก็มีผีเสื้อบินขึ้นมาเต็มไปหมด รูปร่างและสีสันแตกต่างกันไป ประกอบไปด้วยสายพันธุ์ที่หายากบางสายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคปัจจุบัน

 

 

ขบวนส่งตัวเจ้าสาว ขบวนต้อนรับเจ้าสาว และประชาชนที่มุงดูอยู่ต่างก็ตกตะลึง คนเป่าปี่ปากกว้างหยุดบรรเลงเพลงแล้ว และมองฉากน่าประหลาดใจอย่างงุนงง

 

 

“คุณหนูเจ้าคะ! คุณหนู! ดูเร็วเจ้าค่ะ! ลางดี! นี่เป็นลางดีหายากยิ่ง!”

 

 

พวกสาวใช้เคาะเกี้ยวด้วยความตื่นเต้น ผ้าม่านเกี้ยวถูกยกเปิดขึ้นเป็นเส้นเล็กๆ เจ้าสาวที่อยู่ในเกี้ยวเปิดผ้าปิดหน้าเล็กน้อย มองพวกผีเสื้อหลากสีสันด้วยความประหลาดใจ

 

 

ตอนนี้เอง ผีเสื้อขนาดใหญ่เท่าดอกทานตะวันตัวหนึ่งก็บินมาทางเกี้ยวอย่างรวดเร็ว ผีเสื้อตัวอื่นที่อยู่ตรงนั้นก็พากันหลีกทาง ราวกับมันเป็นราชาผีเสื้อ

 

 

เจ้าสาวยื่นมือขาวข้างหนึ่งออกจากเกี้ยวไปโดยไม่รู้ตัว บนข้อมือสวมกำไลหยกสีขาวเกลี้ยงเกลาอันหนึ่ง

 

 

ผีเสื้อตัวใหญ่ตกลงบนข้อมือของเธออย่างว่องไว ดวงตานับไม่ถ้วนมองใบหน้าข้างใต้ผ้าปิดหน้าของเธอ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็บินขึ้น บินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือเกี้ยว แล้วบินจากไป

 

 

ผีเสื้อตัวอื่นก็บินตามมันไป ราวกับก้อนเมฆหลากสีสันก้อนหนึ่ง ล่องลอยไปทางภูเขาอิ่นอู้

 

 

จนกระทั่งผีเสื้อบินไปไกลมากแล้ว ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ถึงจะได้สติ ดวงตาที่มองไปทางเกี้ยวแตกต่างออกไป ราวกับมองเทพเซียน แม้กระทั่งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนต่างก็คุกเข่าให้เกี้ยว ในปากพร่ำพูดไม่หยุด

 

 

ถ้าเป็นเวลาก่อนหน้านี้สักสองสามปี ผู้พิพากษาเขตปกครองจะออกมาปฏิเสธงานแต่งงานครั้งนี้ แล้วส่งตัวเจ้าสาวเข้าวังถวายตัวให้ฮ่องเต้ กลายเป็นบันไดไต่เต้าสู่ความมั่งคั่งของตัวเอง

 

 

ยังดีที่ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปแล้ว

 

 

“ดูสิ! ผีเสื้อเหล่านั้นบินวนอยู่บนยอดเขา เหมือนหมอกหลากสีหรือไม่”

 

 

“ไม่ใช่ว่าบนยอดเขามีเทพเซียนอยู่หรือ”

 

 

อู่หม่านเฉิงดึงตัวชาวบ้านคนหนึ่งมาถาม “ขอถามสักหน่อย ภูเขาลูกนั้นชื่อว่าอะไร”

 

 

“ไม่มีชื่อขอรับ ทั่วไปแล้วชาวบ้านเรียกว่าภูเขาซีซาน” ชาวบ้านโบกมือไม่หยุด “ปกติบนสันเขานั้นมีหมอกสีขาวอยู่เสมอ ทำให้มองไม่เห็นยอดเขา วันนี้กลับมองเห็นอย่างหาได้ยาก แต่ก็ยังถูกผีเสื้อพวกนี้บังเอาไว้…”

 

 

ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองเจอลางดีแบบนี้ตอนออกเรือน ในใจของอู่หม่านเฉิงย่อมปีติยินดีไปโดยปริยาย เพียงแค่ได้เห็นปรากฏการณ์นี้สักครั้ง ก็คุ้มค่าที่ได้เดินทางไกลมาแล้ว เขาลูบหนวดพลางยิ้ม “เช่นนั้นก็เรียกว่าภูเขาอิ่นอู้เถอะ”

 

 

ลางดีมาหาเจ้าสาวอย่างเห็นได้ชัด คนอื่นๆ ในที่นี้ไม่มีใครกล้าคัดค้านคำพูดของพ่อเจ้าสาว ต่างพากันสนับสนุน “ชื่อดี! ชื่อดี! เช่นนั้นก็เรียกว่าภูเขาอิ่นอู้!”

 

 

ผู้จัดงานในขบวนต้อนรับเจ้าสาวไม่กล้าชักช้า หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ติดต่อคหบดีตระกูลใหญ่ของท้องถิ่น และขุนนางท้องถิ่นเพื่อร่วมลงนาม ขอให้ตั้งชื่อภูเขารกร้างนี้ว่าภูเขาอิ่นอู้

 

 

ผีเสื้อมากมายปกคลุมทั้งยอดเขาอย่างมืดฟ้ามัวดิน บินฉวัดเฉวียนอยู่ตรงยอดเขา จางจื่ออันรู้สึกว่าตัวเองหมือนอยู่ท่ามกลางไรฝุ่นที่ก่อตัวจากผีเสื้อ

 

 

“ขอบคุณมาก ของขวัญชิ้นนี้เท่มาก” เขาพูด

 

 

จวงเสี่ยวเตี๋ยหันหน้าไปมองเขา “คุณคิดว่าฉันให้พวกผีเสื้อไปหรือเปล่า”

 

 

จางจื่ออันตะลึงอีกครั้ง “ไม่ใช่เหรอ”

 

 

เขาคิดว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดถึงของขวัญ ด้วยเหตุนี้เธอจึงส่งผีเสื้อไปสร้างทัศนียภาพแปลกมหัศจรรย์เพื่อเป็นของขวัญ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้ว หรือว่าภาพมหัศจรยย์นี้เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์

 

 

อยู่ๆ เขาก็เกิดคำถาม ภัยหนอนที่เมืองปินไห่เกิดจากหนอนผีเสื้อ ประกอบไปด้วยหนอนผีเสื้อหายากมากมาย และผีเสื้อพวกนี้ก็เป็นเกิดมาจากหนอนผีเสื้อ ในบรรดาพวกนั้นก็มีผีเสื้อที่หายากหลายชนิดมาก…

 

 

หรือว่าภัยหนอนครั้งนั้นแฝงอันตรายตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว?

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบอกว่านี่เป็นสิ่งที่จวงเสี่ยวเตี๋ยวทำ แล้วทำไมเธอถึงต้องเอาใจเขาเพราะคำพูดแค่คำเดียวด้วย เขาได้เกียรติมากขนาดนั้นเลยเหรอ

 

 

เคยมีปรากฏการณ์มหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ หรือจวงเสี่ยวเตี๋ยเอาใจเขาอย่างโอ้อวด ข้อไหนมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่ากัน คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว

 

 

ที่แท้คิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวอีกแล้ว เขาจึงมองบนด้วยความกลัดกลุ้ม

 

 

พวกผีเสื้อน่าจะบินจนเหนื่อยแล้ว จึงพากันบินลงมาพักผ่อนบนทุ่งหญ้าบนยอดเขา อาศัยแสงแดดผึ่งปีก ทำให้ยอดเขาเหมือนแดนสวรรค์โดยพลัน

 

 

“ดูละครจบแล้ว ต่อไปต้องพูดเรื่องสำคัญแล้วล่ะ” ราวกับจวงเสี่ยวเตี๋ยหมดความสนใจกับขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้แล้ว เธอจึงหันหน้ามาหาเขา ก่อนจะยื่นนิ้วเรียวขาวออกมาสองนิ้ว “ฉันอยากถามคำถามคุณสองข้อ หวังว่าคุณจะตอบตามตรงนะ”

 

 

“ตอบคำถามแล้วจะปล่อยฉันไปไหม” จางจื่ออันย้อนถามราวกับจับฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้

 

 

จวงเสี่ยวเตี๋ยไม่ปฏิเสธ “นี่ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ ว่าจะทำให้ฉันพอใจได้ไหม”

 

 

เขาถอนหายใจ ตั้งแต่ตอนสอบสมัยเรียนก็เกลียดคำถามอัตวิสัยแบบนี้ที่สุด แต่เขาไม่มีทางเลือกแล้ว

 

 

“งั้นว่ามาสิ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด