ความลับแห่งจินเหลียน 1.1

Now you are reading ความลับแห่งจินเหลียน Chapter 1.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
คำนับศิลา

 

 

 

เหล่าหลี่ที่เป็นนายหน้าพามาดูหินหยกได้แต่ถอนหายใจ “ผู้เฒ่าหูเป็นคนแปลกๆ น่ะครับ ความจริงแกมีเงินเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบหมกตัวอยู่ในที่แบบนี้ ผมเองก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน คุณซีเหมินอย่าถือสาเลยนะครับ คิดเสียว่ามาดูหินหยกจะได้สบายใจขึ้น”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วรู้สึกสยองขึ้นมาจริงๆ เพราะดูอย่างไรมันก็เหมือนฉากในภาพยนตร์สยองขวัญไม่มีผิด บรรยากาศวังเวงราวกับมีสิ่งลี้ลับและที่เปลี่ยวเช่นนี้เหมาะเป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมเป็นที่สุด

 

 

นอกจากบรรยากาศที่วังเวงและน่าสยองขวัญแล้ว ซีเหมินจินเหลียนยังสังเกตเห็นว่าตรงมุมกำแพงมีขยะกองใหญ่ที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ

 

 

“ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างผิดกฎหมายใช่ไหมครับ” จ่านป๋ายถามพร้อมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อากาศที่นี่แย่มากจริงๆ

 

 

“ใช่ครับ แต่ที่นี่กำลังจะถูกรื้อถอนแล้วล่ะครับ” เหล่าหลี่พยักหน้าตอบจ่านป๋าย “คนที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ย้ายออกกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ผู้เฒ่าหูคนเดียวนี่แหละครับที่ยังปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ยอมย้ายไปไหน…” เหล่าหลี่ได้แต่ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจอีกครั้งเพราะเขาเองก็จนคำพูดกับคนหัวรั้นอย่างผู้เฒ่าเหมือนกัน

 

 

ผู้เฒ่าหูค้าขายหินหยกมานานหลายปีจนร่ำรวยแต่กลับชอบหมกตัวอยู่ในที่น่ากลัวแบบนี้ ทุกครั้งที่เหล่าหลี่พาลูกค้ามาดูหินหยกที่นี่ สีหน้าและแววตาของลูกค้าเหล่านั้นที่มองมายังตัวเขานั้นสามารถทำให้เขาโมโหได้ทุกครั้งสิน่า…

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองดูคนขับรถที่ยืนพิงตัวรถตู้แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางที่ดูคุ้นชินกับสถานที่เช่นนี้เป็นอย่างดีของเขาทำให้เธอใช้เวลาคิดไตร่ตรองเพียงชั่วครู่จึงพยักหน้าให้เหล่าหลี่ “รบกวนนำทางด้วยค่ะ”

 

 

“เชิญคุณซีเหมินตามผมมาเลยครับ!” เหล่าหลี่เอ่ยพลางเดินนำหน้าซีเหมินจินเหลียนไปทันที

 

 

ทั้งคณะเดินตรงไปแล้วเลี้ยวตรงมุมกำแพงจนเห็นประตูไม้เก่าๆ บานหนึ่ง สีน้ำมันบนประตูไม้ที่เคยสวยสดหลุดลอกเป็นขุย ตะปูทองแดงที่เคยวาววับบัดนี้มีแต่สนิมเขรอะ ทวารบาลสิงห์คู่ทำจากหินอ่อนที่เคยยืนขนาบสองข้างประตูผู้ทำหน้าที่ผู้ปกปักษ์รักษาและกำจัดสิ่งชั่วร้าย มาบัดนี้คงเหลือเพียงแท่นหินเก่าๆ เท่านั้น

 

 

“ที่นี่เป็นวัดเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

 

 

“ใช่ครับ!” เหล่าหลี่พยักหน้าตอบอย่างไม่ปิดบัง

 

 

“มันดูเก่ามากเลยนะครับ ทำไมถึงยังไม่ถูกรื้อถอนล่ะครับ” จ่านป๋ายตั้งคำถามอีก

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความประหลาดใจ ดูอย่างไรก็ไม่เห็นเหมือนวัดนี่นา? ถ้าที่นี่เป็นวัดจริงๆ ก็ถือว่าเป็นวัดที่เล็กมากและคงสักการะบูชาแค่ถู่ตี้เสิน[1]กระมัง

 

 

“ที่นี่เคยเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้จนบริเวณด้านหลังเสียหายทั้งหมด ภายหลังจึงมีสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดขึ้นเต็มไปหมดอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละครับ” เหล่าหลี่อธิบายพลางชี้ไปยังบริเวณส่วนหลัง “ต่อมาบริเวณส่วนหน้าก็ถูกพัฒนาเป็นอาคารเชิงพาณิชย์แทน ส่วนที่ตรงนี้ถูกคนอื่นซื้อไปและคนซื้อก็ไม่ยอมให้รื้อถอนวัดนี้เสียด้วย ก็เลยทำให้วัดนี้ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้น่ะครับ”

 

 

“เจ้าของที่คนนี้เป็นคนแปลกดีนะครับ” จ่านป๋ายเอ่ยพร้อมยกยิ้มประชดตรงมุมปาก เขาเคยพบเจอคนแปลกๆ มามากมาย เจ้าของที่นี่ต้องเป็นคนประหลาดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เหล่าหลี่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เป็นคำตอบ เขายื่นมือไปจับห่วงประตูแล้วใช้แรงเคาะสองที

 

 

ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีประตูไม้เก่าๆ ก็ถูกเปิดออก คนที่มาเปิดประตูเป็นชายแก่รูปร่างสันทัดสวมชุดฉางผาวที่เป็นเสื้อคลุมยาวสีฟ้า มองเผินๆ แล้วเป็นภาพที่ตลกอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นชุดฉางผาวสีฟ้าแล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ภาพของผู้เฒ่าหูกระตุ้นให้เธอหวนนึกถึงความทรงจำที่ถูกกักเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดในจิตใจอีกครั้ง และมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมานิดๆ อย่างบอกไม่ถูก…

 

 

“ผู้เฒ่าหู ผมพาลูกค้ามาดูหินหยกครับ!” เหล่าหลี่เอ่ยบอก

 

 

“เข้ามาสิ!” ผู้เฒ่าหูไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเปิดประตูเชิญทุกคนเข้าบ้านทันที

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปถึงได้รู้ว่าข้างในเป็นลานที่มีสวนเล็กๆ ที่เชื่อมอาคารต่างๆ เอาไว้ บริเวณลานเล็กๆ นั้นมีเก้าอี้หวายโยกหนึ่งตัว ข้างๆ กันนั้นมีเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆ ที่ไม่รู้ว่าผลิตตั้งแต่ปีไหนวางอยู่บนตั่งเตี้ยๆ เสียงซ่าๆ ที่ดังมาจากเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆ เครื่องนั้นฟังไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ได้เลย…

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองดูหน้าตาของเครื่องเล่นวิทยุเครื่องนั้นแล้วสงสัยว่าผู้เฒ่าหูไปเสาะหาเครื่องเล่นวิทยุเก่าขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?

 

 

ผู้เฒ่าหูเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้โยก เขาหลับตาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบเย็น “คุณพาพวกเขาเข้าไปเลือกหินหยกในอาคารทิศตะวันออกนะ เลือกเสร็จแล้วค่อยมาคุยเรื่องราคากัน”

 

 

“ครับ!” เหล่าหลี่รับคำแล้วพาซีเหมินจินเหลียนเดินไปยังอาคารทิศตะวันออก เห็นได้ชัดว่าเหล่าหลี่คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี มันน่าแปลกมากที่เจ้าบ้านไม่เข้าไปดูสินค้าพร้อมลูกค้า แต่ที่แปลกกว่านั้นคือเหล่าหลี่เองก็ไม่ได้ท้วงติงใดๆ เสียด้วยนี่สิ

 

 

ซีเหมินจินเหลียนถามเสียงแผ่ว “ผู้เฒ่าหูเป็นใครเหรอคะ”

 

 

“ไม่มีใครรู้หรอกครับ” เหล่าหลี่ส่ายศีรษะ “เท่าที่รู้ เขาไม่ใช่คนที่นี่ เขาย้ายมาตั้งรกรากที่เจียหยางช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[2]และเริ่มทำธุรกิจค้าขายหยกที่นี่ เขาเป็นนักเล่นหวยหยกมือฉมังที่มีสายตาเฉียบคมมากและทำกำไรจากหวยหยกได้เยอะมากเลยล่ะครับ เพียงแต่นิสัยออกจะประหลาดไปหน่อย”

 

 

“ประหลาดอย่างไรครับ?” จ่านป๋ายถามด้วยความสงสัย

 

 

“มีคนเห็นว่าเขาค้าขายหยกจนร่ำรวย ตอนนั้นเขายังหนุ่มแน่นจึงมีคนอาสาเป็นแม่สื่อให้ ผู้หวังดีเหล่านั้นต่างหวังว่าเขาจะแต่งงานสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างคนอื่นๆ แต่…เขากลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จนถึงตอนนี้ก็ยังครองตัวเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าเขาจะหาเงินเยอะแยะไปทำไมกัน เพราะตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้” เหล่าหลี่เล่าพลางเปิดประตูอาคารทิศตะวันออกออก

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ห้องหับในอาคารเก่าหลังเตี้ยจึงมืดสนิทไร้แสงสว่างใดๆ เหล่าหลี่กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องมืดๆ ชั่วครู่แล้วยื่นมือไปกดเปิดสวิตช์ไฟ แสงสว่างสีเหลืองนวลจากหลอดไฟทำให้ห้องสว่างขึ้นทันที

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองสำรวจรอบห้อง อาคารทิศตะวันออกนั้นไม่ใหญ่มาก มีหินหยกวางเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นห้อง ไม่มีหินหยกก้อนไหนที่ถูกเปิดหน้าหยกเลย ที่สำคัญให้อ่านหยกในห้องมืดๆ ที่มีเพียงแสงสีเหลืองนวลจากหลอดไฟเพียงหลอดเดียวถือเป็นการทดสอบสายตาที่โหดมากจริงๆ

 

 

โบราณท่านว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ทำใจยอมรับ เธอหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋ามาส่องดูหินหยกที่วางกองระเกะระกะอยู่กับพื้นแล้วเลือกหินหยกที่ลักษณะค่อนข้างดีออกมาอ่านหยก หนึ่งในนั้นเป็นหินหยกน้ำหนักประมาณสามสิบถึงสี่สิบกิโลกรัมที่เป็นหยกเนื้อน้ำแข็งลายมอสในหิมะ[3]

 

 

หินหยกอีกหนึ่งก้อนหนักประมาณสิบกิโลกรัมเท่านั้น มันเป็นหยกสองสีที่เป็นหยกสีเขียวและสีม่วงในชิ้นเดียวกัน สีสันสวยใช้ได้เลยทีเดียว เพียงแต่สีม่วงนั้นสีอ่อนมากเกินไปหน่อย ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าหยกสีเขียวและสีม่วงในชิ้นเดียวกันแบบนี้เรียกกันว่าชุนไต้ไฉ่[4]

 

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้ดีว่าหากนำหยกชุนไต้ไฉ่ชิ้นนี้ไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับ หยกส่วนที่เป็นสีม่วงอ่อนนั้นเมื่อมองผ่านแสงธรรมชาติจะทำให้สีอ่อนลงไปอีก และหยกสีอ่อนมากขนาดนี้ไม่เป็นที่นิยมในตลาดเสียด้วยสิ แต่ไม่เป็นไร อย่างไรเสียมันก็ยังถือว่าเป็นหยกเนื้อน้ำแข็งที่น้ำงามใช้ได้

 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ไหนๆ หินหยกก้อนนี้ก็ไม่ได้ก้อนใหญ่มากมายอะไร ซื้อกลับไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับสำหรับใส่ในชีวิตประจำวันคงจะเข้าท่าไม่น้อย เพราะเธอคงไม่สะดวกที่จะใส่เครื่องประดับหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดในชีวิตประจำวันได้ทุกวัน เกิดกระทบกระแทกเสียหายขึ้นมาเธอคงเสียดายแย่ ยิ่งเครื่องประดับหยกสีแดงลายทองคำยิ่งแล้วใหญ่

 

 

ครั้งนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้เล่นแง่ใดๆ คนประหลาดอย่างผู้เฒ่าหูคงต้องใช้วิธีตรงไปตรงมาเท่านั้น เธอจึงเรียกเหล่าหลี่ให้แจ้งผู้เฒ่าหูให้มาคิดเงินหินหยกสองก้อนที่ตัวเองเลือกเอาไว้

 

 

ผู้เฒ่าหูเสนอราคาหินหยกลายมอสในหิมะให้ซีเหมินจินเหลียนในราคาห้าแสนหยวน ส่วนหินหยกชุนไต้ไฉ่สีเขียวและสีม่วงราคาสองแสนหยวน ราคารวมกันทั้งหมดเจ็ดแสนหยวนถ้วนพอดี ผู้เฒ่าหูเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมโดยไม่เปิดโอกาสให้ซีเหมินจินเหลียนต่อรองราคา “คุณผู้หญิงเป็นลูกค้าที่เหล่าหลี่แนะนำมา ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงรู้กฎของผมหรือยังครับ”

 

 

“กฎอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมเธอไม่เคยได้ยินเหล่าหลี่เอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะ?

 

 

เหล่าหลี่หัวเราะเก้อๆ “ผู้เฒ่าหู คือว่าผมยังไม่ทันบอกคุณซีเหมินน่ะครับ!” เอ่ยพลางกุลีกุจอหันไปอธิบายกับซีเหมินจินเหลียน “ความจริงก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ราคาหินหยกของที่นี่เป็นราคาขาดตัว เพราะผู้เฒ่าหูไม่ขายของเกินราคาแน่นอน ส่วนคุณก็ต่อรองราคาไม่ได้ ถ้าคิดจะซื้อก็ซื้อตามราคาที่เสนอเลยครับ”

 

 

“อย่างนี้นี่เอง ก็ตรงไปตรงมาดีนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเข้าใจ เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหินหยกก็ขายในราคาขาดตัวได้ด้วยเหมือนกัน

 

 

“ฉันตกลงตามราคาที่เสนอมาค่ะ แต่วันนี้ฉันมีเงินสดติดตัวมาไม่มาก” ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว “ตอนนี้ก็มืดแล้ว ฉันขอโอนเงินให้คุณพรุ่งนี้เช้าแทนได้ไหมคะ”

 

 

“ได้สิครับ! ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดก็ได้” ผู้เฒ่าหูพยักหน้าตกลง “ถ้าคุณผู้หญิงอยากได้หินหยกพวกนี้จริงๆ ก็ต้องรบกวนให้คุณวางมัดจำบางส่วนเอาไว้ก่อนนะครับ ผมจะได้เก็บหินหยกสองก้อนนี้เอาไว้ให้คุณ ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดมีคนมาดูสินค้าอีกผมก็ไม่รับรองว่าจะไม่ขายให้คนอื่น”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยถาม “คุณหูมีหินหยกแค่นี้เองเหรอคะ” ในเมื่อผู้เฒ่าหูเป็นคนนิสัยแปลกประหลาด อีกทั้งเหล่าหลี่ที่เป็นนายหน้ายังบอกอีกว่าเขามีสายตาที่เฉียบแหลมมาก แล้วจะเป็นไปได้หรือที่เขาจะมีหินหยกเพียงเท่านี้?

 

 

“ยังมีหินหยกอยู่ที่อาคารทิศตะวันตก แต่ราคาค่อนข้างแพงนะครับ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยตอบ

 

 

“ฉันขอไปดูได้ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถาม

 

 

ราคาแพงก็ไม่เห็นเป็นไรเลย โดยส่วนตัวแล้วซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าถึงแม้ผู้เฒ่าหูจะขายหินหยกในราคาขาดตัว แต่ดูจากราคาหินหยกสองก้อนที่เธอเพิ่งซื้อเมื่อครู่นี้แล้วถือว่าหินหยกของผู้เฒ่าหูไม่แพงเลย ถึงเขาจะเสนอราคาเกินจริงและเธอต่อรองราคา สุดท้ายก็จะได้ในราคาที่เขาขายให้เธออยู่ดี หินหยกมีราคาขั้นต่ำของมันอยู่ ไม่มีทางที่จะขายในราคาที่ต่ำเกินไป โดยเฉพาะหินหยกลักษณะดียิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่    

 

 

เหล่าหลี่ยังคงเป็นคนนำทางซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินไปยังอาคารทิศตะวันตกเหมือนเดิม ระหว่างทางที่ทั้งสามเดินผ่านลานที่เชื่อมอาคารต่างๆ เอาไว้ก็เห็นผู้เฒ่าหูกลับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายแล้วโยกตัวเบาๆ ข้างๆ กันนั้นมีเครื่องเล่นวิทยุเครื่องเก่าๆ ที่กำลังทำหน้าที่รับสัญญาณที่ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงดนตรีหรือเสียงอะไรกันแน่ เสียงดังแผ่วๆ นั่นฟังแล้วคล้ายเสียงหญิงงามแห่งเจียงหนานกำลังรำพึงรำพันด้วยความเศร้าโศกก็ไม่ปาน

 

 

ทันใดนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปในอดีตตอนที่ยังเป็นเด็กอีกครั้ง อาจารย์ของเธอมักจะนั่งโยกตัวอยู่บนเก้าอี้โยกในสวนพลางฟังเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆ ที่ส่งเสียงเบาๆ ที่เธอฟังไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ได้เลยสักครั้ง…

 

 

ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเธอกำลังฟังเสียงเบาๆ จากเครื่องเล่นวิทยุอยู่จริงๆ หรือมันกำลังครวญครางด้วยความจำใจกันแน่

 

 

พลันสายตาของซีเหมินจินเหลียนก็หยุดอยู่ที่ชุดฉางผาวสีฟ้าของผู้เฒ่าหูอีกครั้ง ชุดสีฟ้าถูกความมืดยามราตรีย้อมเป็นสีดำเฉกเช่นเดียวกันกับผืนฟ้าที่มืดสลัวในยามค่ำคืนที่ให้ความรู้สึกมืดมัว จับไม่ได้ เดาไม่ถูก…

 

 

ระหว่างที่เหล่าหลี่เดินนำซีเหมินจินเหลียนเดินไปยังอาคารทิศตะวันตกนั้น คล้ายๆ ว่าสายตาของผู้เฒ่าหูจะจับจ้องอยู่ที่ปิ่นหยกแกะสลักลายฉลุที่ปักอยู่บนมวยผมของซีเหมินจินเหลียนอยู่ตลอดเวลา

 

 

อาคารทิศตะวันตกเป็นห้องเตี้ยๆ เก่าๆ เช่นเดียวกับอาคารทิศตะวันออก มีเพียงหลอดไฟเพียงดวงเดียวที่ทำหน้าที่ให้แสงสีเหลืองนวลในห้องมืดๆ หินหยกถูกวางระเกะระกะอยู่เต็มพื้นห้อง และหินหยกในอาคารนี้เป็นหินหยกลักษณะดีกว่าหินหยกที่อยู่ในอาคารทิศตะวันออกอย่างที่ผู้เฒ่าหูบอกเอาไว้จริงๆ

 

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ ประธานเฉินที่พลาดโอกาสไม่ได้มาด้วยกันถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

 

 

เธอยืนมองหินหยกบนพื้นแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี สารภาพตามตรง ถ้าอาศัยการอ่านหยกเพียงอย่างเดียวถือว่าเธอยังเป็นไก่อ่อนที่รอคอยการถูกเชือดเท่านั้น แต่จะให้เธอใช้พลังพิเศษดูหยกทุกก้อนก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน

 

 

ซีเหมินจินเหลียนนิ่งคิด เธอคงต้องเลือกหินหยกที่ถูกตาต้องใจออกมาบางส่วนแล้วใช้พลังพิเศษเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

[1] 土地爷或土地神 เจ้าที่หรือที่คนจีนเรียกว่า “ถู่ตี้เย๋ หรือ ถู่ตี้เสิน” (ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ตี่จู่เอี๊ย”) ชาวจีนส่วนใหญ่จะมีการตั้งเจ้าที่บนพื้นภายในบ้านโดยเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่มีรูปวาดหรือรูปปั้นของผู้เฒ่าอยู่ตรงกลางไว้สักการบูชา ศาลเจ้าจะเป็นสีแดงประดับลวดลายสีสันสวยงาม ชาวจีนนิยมกราบไหว้เจ้าที่กันทุกแรมหนึ่งค่ำ (ชูอิก) และขึ้น 15 ค่ำ (จั่บโหงว) ตามปฏิทินจันทรคติของจีน  

 

 

[2] การปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ (Great Proletarian Cultural Revolution) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) เป็นขบวนการทางสังคม-การเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี 2509 เหมาเจ๋อตงซึ่งขณะนั้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นผู้ริเริ่มขับเคลื่อน เป้าหมายที่แถลงไว้ คือ เพื่อบังคับใช้ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศโดยการขจัดองค์ประกอบที่เป็นทุนนิยม ประเพณีและวัฒนธรรมจีน ออกจากวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์และเพื่อกำหนดแนวทางแบบเหมาภายในพรรค การปฏิวัติดังกล่าวส่งผลให้เหมาเจ๋อตงกลับมามีอำนาจหลังการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่ล้มเหลว ขบวนการดังกล่าวทำให้การเมืองจีนหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อประเทศทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสำคัญ

 

 

[3]  หยกลายมอสในหิมะ (Moss in snow jade) เป็นหยกสีขาวเนื้อโปร่งแสงถึงเกือบทึบแสง มีสีเขียวอยู่ประปรายเป็นหย่อมๆ คล้ายต้นมอสขึ้นบนหิมะ

 

 

[4]  ชุนไต้ไฉ่ (春带彩) หยกสองสีที่เป็นหยกสีเขียวและสีม่วงในชิ้นเดียวกัน 春  อ่านว่าชุน = สีม่วง ไฉ่ 彩 อ่านว่าไฉ่ = สีเขียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด