ความลับแห่งจินเหลียน 42 หยางป๋ายเหลาแสนรูปหล่อ

Now you are reading ความลับแห่งจินเหลียน Chapter 42 หยางป๋ายเหลาแสนรูปหล่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ถ้าไม่ปล่อยพวกเขาไป แล้วจะให้ผมทำยังไงเหรอ หรือว่าจะให้ผมกลับไปไล่คนพวกนั้น แม้กระทั่งอาหารเย็นก็ไม่เลี้ยงรับผิดชอบ?”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ พร้อมส่ายหัวไม่เห็นด้วย “พี่หลิน ถ้าพี่ไม่อยากแต่งงานกับคุณลู่เฟยอวี๋ นั่นก็เป็นเรื่องของพี่ แต่ว่าพี่จะเอาฉันไปเป็นโล่บังหน้าพี่ไม่ได้ ถ้าพี่เล่นแบบนี้ พี่เห็นฉันเป็นอะไรกัน เมียน้อยที่ทำลายงานแต่งของพี่เหรอคะ?”

 

 

หลินเสวียนหลานที่เดิมทีกำลังก้มหน้าก้มตาปรุงรสหมูผัดเปรี้ยวหวานก็ได้เงยหน้าขึ้นมาถาม “คุณยังไม่ได้แต่งงาน ผมก็ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วจะกลายเป็นเมียน้อยได้ยังไงกัน?”

 

 

“แต่พี่มีคู่หมั้นแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนอึดอัดใจ นี่มันตรรกะอะไรกัน?

 

 

“นี่ คุณหลินครับ คุณเห็นผมไม่มีตัวตนหรือไง” จ่านป๋ายใช้มีดหั่นผักฟาดไปแรงๆ ที่เขียง “เมื่อกี้จินเหลียนก็บอกอยู่ว่าผมเป็นแฟนของเธอ”

 

 

หลินเสวียนหลานเห็นมีดที่ปักลงไปที่เขียงลึกอยู่พอควร รับรู้ได้ถึงพลังแห่งการระเบิดอารมณ์ เขาควรจะนิ่งสยบความเคลื่อนไหวเสียดีกว่า   

 

 

“พี่หลิน พี่กลับไปก่อนดีกว่าค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดหว่านล้อมอย่างระอาใจ “ถึงแม้พี่จะไม่อยากแต่งงานกับคุณลู่เฟยอวี๋ แต่ยังไงพี่ก็ต้องไปหาเธอ ไปอธิบายให้เธอเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่มาหนีปัญหาอยู่แบบนี้”

 

 

“ใช่!” จ่านป๋ายเห็นด้วยกับคำพูดของซีเหมินจินเหลียน ถ้าไม่อยากแต่งงานก็พูดออกไปตรงๆ แต่นี่กลับทิ้งคู่หมั้นไว้ในงานคนเดียว ไหนจะทำลายชื่อเสียงของเธอ รวมไปถึงของตัวเองอีก   

 

 

“หลังจากผมกินข้าวเย็นเสร็จ ตุ๋นซุปเสร็จก็จะกลับไปจริงๆ!” หลินเสวียนหลานพูดอย่างเฉื่อยชา

 

 

จ่านป๋ายอยากจะฟาดมีดลงไปที่เขียงเพื่อระบายอารมณ์อีกสักครั้ง แต่กลับเห็นว่าซีเหมินจินเหลียนหันหลังเดินออกไปยังห้องรับแขกแล้ว นี่เขาล้อเล่นอะไรกันอยู่เนี่ย? รอให้เขากินข้าวให้เสร็จอย่างอ้อยอิ่ง กินเสร็จรอให้ตุ๋นซุปให้เสร็จ…เวลาคงเลยเถิดไปถึงเที่ยงคืน งานหมั้นคงล้มเลิกไปนานแล้ว…

 

 

แต่เธอก็ทำถูกต้อง ถ้าเอาแต่ไล่เขาให้กลับไป ถึงเขาจะกลับไปจริงๆ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะไปหลบอยู่ที่อื่น แล้วใครจะหาเขาเจอ?

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเปิดโทรทัศน์ในห้องรับแขก ก่อนจะหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดเครื่อง แต่จิตใจของเธอกลับไม่ได้อยู่ที่หน้าจอเลย สมองของซีเหมินจินเหลียนคอยแต่คิดถึงผู้ชายที่มัวแต่รบกวนจิตใจอยู่ในห้องครัวทั้งสองคนนั่น

 

 

“เสี่ยวป๋าย!” ซีเหมินจินเหลียนตะโกนเรียกชื่อเขา

 

 

“ครับ!” จ่านป๋ายวางมือในสิ่งที่เขาทำแล้ววิ่งออกมา ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “จินเหลียน คุณมีอะไรเหรอ”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนทำไม้ทำมือชี้ไปในห้องครัวแล้วถามเขาว่า “เอายังไงดี”

 

 

“จะผัด ต้มหรือนึ่งดี?” จ่านป๋ายตั้งใจพูด “แต่ได้ยินว่าถ้าใช้เนื้อมนุษย์ทำมันไม่อร่อยหรอก”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนถูกเขาหยอกล้ออีกแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะด่าออกไป “แม้แต่คุณก็ยังแกล้งฉันเหรอ คุณช่วยฉันคิดเลยว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี”

 

 

“ตามใจเขาเถอะ” จ่านป๋ายพูด “ก็แค่เรื่องทิ้งคู่หมั้นไว้ในงานหมั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ปัญหาโลกแตกอะไรสักหน่อย พูดไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย พวกเราก็ใช้นิยามคำว่าเพื่อน ต้อนรับเขากินข้าวด้วยกันสักมื้อก็เท่านั้น แหะๆ!” พูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

 

“ฟังจากที่พูดออกมา ดูเหมือนไม่มีน้ำใจเลยนะ” หลินเสวียนหลานยกหมูผัดเปรี้ยวหวานออกมาแล้ววางไว้ที่ข้างหน้าซีเหมินจินเหลียน พร้อมพูดว่า “คุณอย่าลืมนะว่าพวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันอยู่นะ… ”

 

 

“นั่นเป็นแค่เรื่องของธุรกิจ เรื่องปัญหาที่บ้านและความรักของคุณ พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” จ่านป๋ายพูดไปแล้วเอื้อมมือไปหยิบหมูผัดเปรี้ยวหวานเข้าไปในปาก เอ่ยปากชมว่า “รสชาติไม่เลว ถ้าในอนาคตบริษัทตระกูลหลินเกิดล้มละลายขึ้นมา คุณลองพิจารณาเป็นเชฟที่โรงแรมสักที่สิ อย่างน้อยก็ไม่อดตายแล้ว”

 

 

หลินเสวียนหลานไม่สนใจในคำพูดกระแทกแดกดันของเขา “เงื่อนไขงานหมั้นของผมกับลู่เฟยอวี๋ก็คือให้โอนชื่อหุ้นของผมห้าสิบเปอร์เซ็นโยกย้ายเป็นชื่อของเธอแทน ผมไม่เห็นด้วยเลยต้องหนีออกมาจากงาน…”

 

 

“ทำไมล่ะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ประกาศออกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นเนื้อคู่กันเหรอ แล้วทำไมพอถึงงานหมั้นกลับใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ?

 

 

“ครั้งนี้ที่อารองซื้อหินหยกมาจากงานประมูลเจียหยาง ไม่ฟังคำเตือนจากคุณปู่จู้ สุดท้ายเสียเงินไปตั้งก้อนใหญ่ ส่วนหินหยกที่ซื้อกลับมา เมื่อดูจากลักษณะภายนอกเหมือนจะโอเค แต่พอตัดออกมาแล้วข้างในมีแต่หินสีขาว แถมครั้งนี้ตระกูลของผมใช้เงินสดในการจ่าย เป็นเงินที่ได้มาจากตอนที่คุณปู่แบกหน้าไปยืมมาจากลู่เจิ้ง ท่านบอกว่าจะยืมแค่สองเดือน แต่จนถึงตอนนี้ตระกูลของเราก็ยังหาเงินคืนมาไม่ได้ สิ่งที่แย่ก็คือตอนนี้หุ้นบริษัทตระกูลหลินตกลงมาอย่างฮวบฮาบ ญาติพี่น้องเลยอยากจะพากันขายหุ้นเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด คุณปู่เลยรับไม่ได้กับเรื่องที่จู่โจมเข้ามากะทันหัน เดิมทีร่างกายก็ย่ำแย่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งทรุดลงเรื่อยๆ” หลินเสวียนหลานพูด

 

 

“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับงานหมั้นของพี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“ลู่เจิ้งเหอยืดอกตั้งใจมาทวงเงินคืนจากคุณปู่ พ่อของผมกลัวว่าคุณปู่จะรับการแรงกระทบครั้งนี้ไม่ไหวเลยกีดกั้นไม่ให้พบ อ้างว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำให้ยืดเวลาไปได้สักระยะ ลู่เจิ้งที่เห็นคนล้มแล้วเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีเหรอ?” หลินเสวียนหลานยิ้ม วันนี้เขาพอจะมองออก ขนาดตระกูลหลินยังไม่ทันได้ล้มลงเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วถ้าวันนั้นมาถึง หลินเสวียนหลานไม่เหลืออะไรเลย เขาจะทำอย่างไร…

 

 

“ไม่ใช่ว่าตระกูลคุณไม่มีเงินกู้ธนาคารหรอกเหรอ เวลานี้ถ้ากู้เงินมาจากธนาคาร คงจะไม่มีปัญหาอะไร” จ่านป๋ายขมวดคิ้วเข้าหากัน ถึงบริษัทตระกูลหลินจะกำลังเจอปัญหา แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะตกอับได้ถึงขนาดนี้นี่นา

 

 

“ใครบอกคุณว่าไม่มีเงินกู้ธนาคาร?” หลินเสวียนหลานยิ้มอ่อน

 

 

จ่านป๋ายมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็คิดถึงเรื่องน่ากลัวขึ้นบางอย่างเลยรีบถามไปว่า “ตระกูลคุณคงไม่ได้…”

 

 

“ใช่ ตระกูลผมมีหนี้จากธนาคาร เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องที่เปิดเผยออกมา แต่ถ้าหากอยากจะกู้ยืมเงินต่อไปเรื่อยๆ ก็คงจะไม่มีธนาคารหน้าโง่ที่ไหนให้กู้หรอก” หลินเสวียนหลานพูด “คุณซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินก็เท่ากับว่ากำลังรับภาระเงินกู้จากธนาคารของตระกูลเรา…”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนไป ถ้าหากบริษัทอัญมณีตระกูลหลินมีหนี้สิ้นจากธนาคารเป็นกองพะเนิน นั่นก็หมายความว่าถ้าเธอซื้อหุ้นหมด เธอก็ต้องรับผิดชอบในการใช้หนี้ที่ติดมาด้วย?

 

 

“มีเท่าไหร่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย

 

 

“ไม่เยอะหรอก แค่พระอาทิตย์น้อยๆ ห้าดวง” หลินเสวียนหลานนั่งลงบนโซฟาแล้วโปรยยิ้มออกมา   

 

 

“นี่เรียกว่าไม่เยอะเหรอ?” จ่านป๋ายมีความรู้สึกอยากจะฆ่าคนขึ้นมา ที่เขาสนใจในบริษัทตระกูลหลินก็เพราะว่าสืบดูข้อมูลแล้วว่าไม่มีหนี้ข้องเกี่ยวทุกชนิด ตอนนี้เมื่อฟังในสิ่งที่หลินเสวียนหลานพูด ได้แต่นิ่งทื่อเป็นหินอยู่อย่างนั้น

 

 

“พระอาทิตย์น้อยหมายความว่าอะไรคะ” ซีหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม ทำไมฟังประโยคนี้แล้วเหมือนจะดูมีพลังด้านมืดซ่อนเร้นอยู่

 

 

“มันคือห้าร้อยล้าน!” จ่านป๋ายสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ “ทำไมครั้งที่แล้วคุณถึงไม่บอกพวกเรา?”

 

 

“ผมนึกว่าคุณรู้แล้ว!”

 

 

“โชคดีหน่อยที่เป็นห้าร้อยล้าน ไม่ใช่ห้าพันล้าน!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ในใจก็มีความรู้สึกอึดอัด ไม่มีเหตุผลเลย ซื้อหุ้นตระกูลหลินแล้วเธอยังจะต้องรับภาระหนี้ไปอีกห้าร้อยล้าน ระหว่างที่ปากก็พูดออกไป แต่สายตานั้นหันไปจ้องที่จ่านป๋าย เรื่องที่สำคัญขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำผิดพลาดได้?   

 

 

ถ้าหากเป็นห้าพันล้าน เธอคงต้องไปกระโดดตึกไม่อยากจะใช้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว

 

 

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมธุรกิจการค้าเป็นเหมือนสนามรบ ถ้าพลาดพลั้งไปไม่ระวังก็อาจจะเสียกระดูกไป คำนี้ดูเหมือนจะมีเหตุผล ดูท่าหากอยากจะทำธุรกิจ เธอคงต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก

 

 

“โอเค ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้!” ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางหลินเสวียนหลานแล้วถาม “แล้วทำไมงานหมั้นของพี่กับคุณลู่เฟยอวี๋ถึงยังต้องมีการโอนย้ายหุ้นเป็นชื่อเธอด้วย?”

 

 

“ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้าหนี้ เฉกเช่นกับหวงซื่อเหรินที่คอยกดขี่คนจน ส่วนคุณชายหลินก็ช่างเหมือนหยางป๋ายเหลา เป็นคนใช้แรงงานที่น่าสงสาร…” เมื่อจ่านป๋ายคิดดู เขาก็เข้าใจในใจความสำคัญของเรื่อง ตอนนี้ตระกูลหลินดูใกล้จะล้มละลายเข้าไปทุกที สำหรับคนชั่วช้าชอบเอาเปรียบคนอื่นอย่างลู่เจิ้งเหอ ตลอดชีวิตทำแต่ธุรกิจ ถึงจะให้ลูกสาวแต่งงานไปก็ไม่ได้ทำให้เธอพบความลำบาก ให้หลินเสวียนหลานโอนชื่อหุ้นไปให้เธอห้าสิบเปอร์เซ็น ภายหน้าธุรกิจก็ย่อมตกเป็นของตระกูลลู่…    

 

 

ในอนาคตถึงแม้ว่าบริษัทตระกูลหลินจะล้มละลายไปหรือว่าถูกซื้อหุ้น เขาก็สามารถทำเงินได้ด้วยการทิ้งหุ้นไว้ในมือ ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน

 

 

พูดแล้วบริษัทตระกูลหลินถือว่ามีรากฐานก่อตั้งเกือบสิบกว่าปี จะบอกว่าล้มก็ล้มลงได้อย่างนี้เลยน่ะหรือ? ขอแค่บริษัทตระกูลหลินปรับปรุงฟื้นตัวขึ้นมา เขาก็ยิ่งทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

 

 

ส่วนหลินเหวินคิดเพียงแค่ว่าถึงหุ้นจะตกไปอยู่ในมือของลูกสะใภ้ มันก็ไม่เห็นมีค่าต่างกัน? ขอแค่ผ่านเรื่องราวที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าก่อนก็ถือว่าขายผ้าเอาหน้ารอด เป็นเพราะแบบนี้เขาเลยขายหลินเสวียนหลานไปอย่างง่ายๆ…

 

 

ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วถามตอบกลับไป “ช่างเถอะค่ะ”

 

 

“ว่าแต่ที่คุณหลินหนีมาวันนี้ ถ้ากลับไปจะรับผิดชอบกับคุณพ่อของคุณยังไง” จ่านป๋ายถาม

 

 

เมื่อฟังคำถามนี้แล้ว หลินเสวียนหลานก็ได้แต่ถอนหายใจเดินหันหลังกลับไปที่ห้องครัว “ผมจะทำปลากะพงราดซีอิ๊วกับผัดผักอีกสักหน่อย พวกคุณก็กินข้าวกันได้แล้ว”

 

 

เมื่อเห็นเงาด้านหลังของหลินเสวียนหลานเดินออกไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็หันไปถามจ่านป๋ายว่า “เขา…หลินเหวินคงไม่ทำอะไรเขาหรอกใช่ไหม?”

 

 

จ่านป๋ายส่ายหน้าแล้วเอื้อมมือไปหยิบหมูผัดเปรี้ยวหวานอีกชิ้น “ผมไม่ใช่พ่อของเขา ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน แต่ว่าถ้าหากผมเป็นพ่อของเขา ผมก็คงไม่ทำให้เขามารับความลำบากอยู่แบบนี้หรอก”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่พูดอะไร ในใจได้แต่คาดเดาว่าหลินเหวินคงไม่ทำอะไรหลินเสวียนหลานหรอกนะ? ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว หลินเหวินเป็นคนซื่อสัตย์และใจดี ไม่เหมือนหลินเจิ้งที่หยิ่งยโสไม่น่าเชื่อถือ…

 

 

“จินเหลียน ถ้าอยากจะช่วยเขาตอนนี้ก็ทำได้แค่ซื้อหุ้นในบริษัทตระกูลหลินให้เร็วขึ้น ขอแค่ควบคุมหุ้นให้อยู่ในมือเรา หลินเหวินก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว” จ่านป๋ายพูด

 

 

 ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย ไม่น่าล่ะตอนนั้นหลินเสวียนหลานจึงโทรศัพท์มาหาเธอ ให้เธอรีบซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินก่อนที่คุณปู่จะจากโลกนี้ไป…

 

 

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็น่ากลัวว่าอาการของคุณปู่หลินคงจะไม่ไหวแล้ว

 

 

เมื่อคิดเช่นนั้นเธอก็พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง ตอนที่เจอกันครั้งก่อนสภาพร่างกายคุณปู่หลินยังแข็งแรงอยู่เลย ใบหน้าสีแดงระเรื่อ แต่เมื่อแพ้เดิมพันหินไปครั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับการแพ้เดิมพันในชีวิต

 

 

“หุ้นที่เหลืออยู่ในมือตระกูลหลิน คุณคิดว่าจะจัดการกับมันยังไง” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

 

 จ่านป๋ายหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดมือแล้วพูดไปว่า “ผมขอเวลาประมาณสองเดือน ไม่อย่างนั้นเงินของผมก็คงแลกเปลี่ยนออกมาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแค่อยากจะซื้อหุ้นตระกูลหลินอย่างเดียว แล้วทำให้จินติ่งกรุ๊ปล้มละลายลง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด