ความลับแห่งจินเหลียน 50 สิ่งประหลาด

Now you are reading ความลับแห่งจินเหลียน Chapter 50 สิ่งประหลาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนเดินไปเดินมามือไม้พันกันเจ้าละหวั่น จ่านป๋ายเลยถามว่า “จินเหลียน คุณหาอะไรอยู่เหรอครับ” 

 

 

“นี่ไง…” ซีเหมินจินเหลียนหาเครื่องรางหยกเจอสักที จึงยื่นไปให้จ่านป๋าย “นี่คือเครื่องรางช่วยเรื่องความปลอดภัย…” 

 

 

“คุณให้ผมเหรอ?” จ่านป๋ายรู้สึกประทับใจเล็กน้อย 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณกลับมาสักที ฉันฝันร้ายตลอดเลย ฝันว่าคุณมีเลือดอาบไปทั้งตัว…” 

 

 

“ผมไม่มีทางเป็นอะไรหรอกครับ ครั้งหน้าผมจะอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะ” จ่านป๋ายปลอบใจซีเหมินจินเหลียน “จินเหลียน คุณก็ป่วยแล้ว ผมพาคุณไปโรงพยาบาลนะ” 

 

 

“ไม่เอา” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ฉันแค่อาจจะโดนความเย็นมากไปหน่อย อาบน้ำร้อนแล้วนอนพักให้เพียงพอก็น่าจะดีขึ้นแล้ว” เมื่อวานเธอมัวแต่เป็นห่วงจ่านป๋าย ทำให้อยู่ในห้องใต้ดินทั้งคืน น่าจะได้รับความเย็นอยู่พอสมควร ตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เริ่มจะหนาวขึ้นแล้ว  

 

 

“ก็ได้ครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า แต่ในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ รออีกสักพักค่อยโทรไปหาจินอ้ายกั๋วให้มาดูหน่อย สั่งยาให้น่าจะดีกว่า 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายกลับมาแล้ว เดิมทีใจที่หวาดกลัวเป็นกังวล ตอนนี้ก็ได้ผ่อนคลายลงได้บ้าง เธอรีบวิ่งออกมาจากห้องใต้ดิน จ่านป๋ายเห็นเงาด้านหลังของเธอจากไปก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ในใจของเธอเขาก็มีความสำคัญอยู่บ้าง? นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ชั่วพริบตา เงาที่ตามหลอกหลอนอยู่เมื่อวานตอนกลางคืนก็ได้หายไป เมื่อเดินออกมากข้างนอกห้อง รับแสงอาทิตย์ที่สดใสสาดมาทางหน้าต่าง นั่งอยู่ในห้องรับแขก ปัดเป่าอารมณ์และซึมซับความรู้สึกไว้ทั้งหมด 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเดินไปชั้นบนเข้าห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่นไว้ เธอเดินเข้าไปข้างในและสูดดมกลิ่นของสบู่อาบน้ำที่ล่องลอยไปทั่ว ในใจก็สดใสเบิกบาน เมื่อคิดย้อนไปแล้วเธอก็รู้สึกสงสัย เธอจะกังวลอะไรกัน? จะว่าไปจ่านป๋ายก็เป็นประธานบริษัท เป็นถึงลูกชายของมหาเศรษฐี เขาจะอยู่ทำตัวไร้สาระข้างเธอแบบนี้ตลอดได้อย่างไร 

 

 

สักวันเขาก็ต้องกลับไปในที่ของเขา เขามีบ้านมีพ่อแม่ มีธุรกิจที่ต้องดูแล เธอก็คิดบ้าบออะไรอยู่เนี่ย 

 

 

ประคองมือทั้งสองตักฟองสบู่ขึ้นมาและใช้แรงจากปากเป่าให้เป็นฟอง ไม่นานฟองสบู่มากมายก็ลอยล่องทั่วห้องน้ำ จากนั้นก็แตกกระจายอย่างไร้รูปร่าง… 

 

 

ของบางอย่าง มาเร็วเกินไป ดีเกินไป แต่กลับขาดความเสมือนจริง เธอไม่ใช่เจ้าหญิงในนิทานเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความฝันและจินตนาการ แต่เธอเป็นมากกว่าผู้หญิงทั่วไป อย่างน้อยเธอก็ไม่เหมือนหลิงซูฟางที่จินตนาการอยากจะให้ตัวเองเป็นสะใภ้เดินเข้าสู่ประตูบ้านของมหาเศรษฐี 

 

 

เธอถอดกำไลหยกฮกลกซิ่วออกมา มองดูเงาที่สะท้อนบนนั้น กำไลนี่ก็สวยงามจนไม่เหมือนความจริง แดงเขียวม่วงสามสีสะท้อนแสงให้แก่กัน ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความฝันลวงตา 

 

 

มูลค่าของหยกยังคงอยู่ในจิตใจคน ไม่เช่นนั้นก็เป็นได้แค่หิน ไร้ค่า ไร้ความหมาย! ประโยคนี้เกรงว่าจะใช้ได้แค่คนที่มีหยกอยู่เต็มห้องเช่นเธอ ที่สามารถจะสัมผัสได้  

 

 

เมื่อเห็นห้องใต้ดินเต็มไปด้วยหยกขนาดเล็กใหญ่มากมาย ถึงเธออยากจะนำหยกพวกนี้เก็บไว้ในตู้เซฟอัญมณีแค่ไหน แต่ก็ยังเรียกว่ายากพอสมควร 

 

 

หยกฮกลกซิ่วก็ดี ไหนจะหยกสีแดงทอง ราชาหยกสีเขียว ก็เป็นหินทั้งหมดไม่ใช่เหรอ? ประโยคนี้มาจากราชาแห่งการเดิมพัน ผู้อาวุโสเจี่ยบอกกับเธอไว้ แต่เธอก็รู้ว่าประโยคนี้น่าจะมากจากผู้อาวุโสลึกลับอย่างผู้อาวุโสหูมากกว่า 

 

 

คนคนนี้ดูมีอะไรลึกลับ ทำให้คนอยากจะเข้าไปค้นหา ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองไปยังกำไลหยกฮกลกซิ่ว ครั้งนี้ที่เจียหยางได้รับของมาไม่น้อยเลย สามารถพูดได้เลยว่าหินหยกที่ได้มาล้วนซื้อมาจากผู้อาวุโสหู ไม่ว่าจะเป็นหยกสีเลือดหรือหยกฮกลกซิ่ว ต่างมาจากเขาทั้งนั้น 

 

 

แต่ผู้อาวุโสท่านนี้รู้ดีว่าลักษณะข้างในของเนื้อหยกเป็นอย่างไร ทำไมเขากลับไม่ตัดออกมาเพื่อขายเองล่ะ? ทั้งๆ ที่เขามีโรงงานแปรรูปหยกเป็นของตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่คิดจะตัด… 

 

 

เธอถอดปิ่นปักผมออกมาจากบนหัว และวางไว้อีกฝั่ง เปิดฝักบัวและเริ่มชำระล้างตัว ในใจคิดแต่ว่าผู้อาวุโสท่านนี้ก็เหมือนจ่านป๋าย ชอบทำตัวให้น่าค้นหา ส่วนตัวเธอเองก็ไม่รู้จะเริ่มค้นจากตรงไหนดี 

 

 

เมื่ออยู่ในห้องน้ำประมาณครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าตัวเองสบายตัวขึ้นมาก เธอลุกขึ้นมาเช็ดตัวที่เปียกปอน พันผ้าเช็ดตัวหุ้มเรือนร่างแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ นั่งเล่นอยู่บนเตียง เมื่อก่อนตอนที่เธอรู้สึกเริ่มไม่สบายคั่นเนื้อคั่นตัวขึ้นมา เธอก็ไม่ชอบไปโรงพยาบาล เพียงแค่อาบน้ำร้อนแล้วนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทำตัวให้เหงื่อออกก็จะดีขึ้นมาเอง 

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโต ร่างกายของเธอก็แข็งแรงดีมาตลอด 

 

 

เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเองไว้ คุ้นเคยกับการหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ พร้อมเลื่อนช่องอย่างไร้จุดหมายเพื่อหาซีรี่รักกุ๊กกิ๊กหรือการ์ตูนดูสักเรื่อง 

 

 

เพราะงานอดิเรกนี้ เธอไม่รู้ว่าถูกคนอื่นหัวเราะเยาะมากี่ครั้ง โตขนาดนี้แล้วยังชอบดูอะไรเหมือนเด็กๆ? เมื่อก่อนหวังหมิงเหยาก็พูดอยู่ตลอด เขาพูดทิ่มแทงใจบอกว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่บนโลกความจริง มัวแต่เพ้อฝันเข้าไปอยู่บนโลกจินตนาการ… 

 

 

แต่ตอนนี้เธอกับอยากอยู่ในโลกแห่งจินตนาการนี่เสียแล้ว คิดถึงประโยคที่กำลังฮิตในโลกออนไลน์ตอนนี้อยู่ประโยคหนึ่ง ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าคุณจะเอาชนะทุกสิ่งได้ แต่คุณต้องรับมือกับมันให้ได้ ในเมื่อไม่มีหนทางที่จะขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นก็ลองเปลี่ยนมาเสพสุขแทน 

 

 

พวกเราไม่มีทางที่จะรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ ตอนนี้! เพราะฉะนั้นทำตอนนี้ให้ดีที่สุด! 

 

 

ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพ้อเจ้อไปเรื่อยนั้น ประตูห้องก็มีเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทจากจ่านป๋าย ซีเหมินจินเหลียนจึงพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจไปว่า “ประตูไม่ได้ล็อค คุณเข้ามาได้เลย!” ถึงแม้จะล็อค แต่ถ้าเขาอยากจะเข้ามาก็ขวางอะไรไม่ได้เหมือนกัน 

 

 

“ผมก็บอกคุณไว้ก่อนไงครับ” จ่านป่ายยิ้มตอบ พลางผลักประตูพูดเดินเข้ามา “จินเหลียน คุณดื่มน้ำขิงสักหน่อยนะ แล้วค่อยนอนพัก แท่นหยกอันนั้นก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร คุณจะรีบทำไปทำไมกัน” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นน้ำขิงที่เขาถือมาให้ก็ยื่นมือมารับเอาไว้ พลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะแท่นหยกอันนั้นหรอก แต่เพราะว่าฉันเบื่อต่างหาก…” 

 

 

“อากาศแบบนี้เหมาะแก่การเป็นหวัดได้ง่าย” จ่านป๋ายพูด “ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจริงๆ ตอนกลางคืนก็อย่าไปห้องใต้ดินเลย ถึงห้องนั้นจะมีฮีตเตอร์ แต่ก็ไม่พอให้คลายหนาวหรอก” 

 

 

“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ แล้วดื่มน้ำขิงภายในอึกเดียวจนหมด สัมผัสได้ว่าร่างทั้งร่างอบอุ่นพร้อมยิ้มพูดไปว่า “เมื่อคืนฉันนอนไม่เพียงพอ ขอนอนอีกสักหน่อย ฉันว่าคุณก็ไม่ได้นอนเหมือนกันใช่ไหม” 

 

 

จ่านป๋ายพยักหน้า เขาก็ไม่ได้นอนจริงๆ อย่างที่ซีเหมินจินเหลียนว่า แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเธอ และไม่ได้พูดจาปลอบใจเธอ  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปพักผ่อนเถอะ พวกเรานอนถึงสักบ่ายแล้วค่อยตื่นขึ้นมาออกไปกินข้าวกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม 

 

 

“จินเหลียน…” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย “คุณจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเมื่อวานผมไปทำอะไรมา?” 

 

 

“ถ้าคุณอยากบอก คุณก็คงบอกฉันเอง” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างใสซื่อ รอยยิ้มของเธอเหมือนเมฆสีขาวอ่อนและลมที่พัดอย่างแผ่วเบา “ถ้าคุณไม่อยากจะพูด แล้วฉันจะถามให้ได้อะรำขึ้นมา ถึงจะมีสักวันที่คุณจะต้องไปจากที่นี่ หรือเมื่อวานคุณอาจจะไม่ได้กลับมา หรือต่อจากนี้จะไม่มีวันกลับมาอีก ฉันก็คงต้องเสียใจอย่างแน่นอน แต่ว่าชีวิตของฉันก็สำคัญ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าคุณจะอยู่หรือไป ถึงได้ส่งผลกับฉัน” 

 

 

จ่านป๋ายเห็นเธอในตอนนี้ก็พยักหน้า “คุณคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้วครับ” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนหลุบตาลงและถอนหายใจ “ฉันเชื่อในทางสายกลางมาโดยตลอด” เธอเรียนเอกภาษาจีน ในกระดูกของเธอมีแต่ความภาคภูมิใจและสายเลือดของนักปรัชญา แต่กลับไม่ชอบออกตัวต่อที่สาธารณะชน ความจริงหลายครั้งเธอก็ชอบใช้วิธีหลบหลีกจากความจริง หลบไปอยู่ในมุมเงียบมองคนอื่นใช้ชีวิตกัน… 

 

 

จ่านป๋ายเผยยิ้มออกมา เมื่อซีเหมินจินเหลียนเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ ความเข้มแข็งและยืนหยัดของเธอ บางครั้งมีมากกว่าที่เขาคิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนแรกที่เลือดเขาไหลไม่หยุดอยู่บนรถของเธอนั้น เธอก็ยังใจเย็น จัดการกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ขาดสติลนลานมือไม้สั่น 

 

 

“ผมไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณแล้ว คุณนอนสักพักเถอะ” จ่านป๋ายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกห้อง 

 

 

ฤดูใบไม้ร่วงในตอนเช้า แสงของพระอาทิตย์ช่างสุกสกาว อากาศในเดือนตุลาแล้วสินะ ทางฝั่งใต้ได้แบ่งอากาศเป็นสี่ฤดูอย่างชัดเจน ทำให้รับรู้ถึงความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังย่ำกรายเข้ามา 

 

 

บ่ายสองโมงโดยประมาณ ซีเหมินจินเหลียนถูกเสียงโทรศัพท์รบกวน เธอยื่นมือคว้าโทรศัพท์ไปกดรับ พร้อมส่งเสียงสะลึมสะลือถามออกไปว่า “ใครคะ” 

 

 

“คุณซีเหมิน…” เสียงในสายที่เปล่งออกมา เหมือนจะเป็นเสียงที่ไม่ค่อยคุ้นชินนัก 

 

 

“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่ตื่นดี 

 

 

“ผมจางจิ้นครับ” เสียงปลายสายรายงานตัวเองให้กับเธอฟัง “คุณซีเหมิน แท่นหยกนั่น…” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเรียกสติกลับคืนมาหมดแล้ว ได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ เธอก็บอกว่าใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเร่งขนาดนี้ล่ะ แท่นหยกต้องใช้ระยะเวลาในการขัดวาวอีก แกะสลักอีกถึงจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ นี่ยังดีว่าคือยุคปัจจุบันที่มีเครื่องมืออัตโนมัติ ถ้าลองเปลี่ยนเป็นในอดีตสิ ใช้เวลาสามปีกว่าก็คงยังแกะสลักออกมาไม่เสร็จเลย    

 

 

“ขอโทษด้วยนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนลอบก่นด่าในใจแต่ก็ยังรักษาความเกรงใจไว้ “คุณจาง แท่นหยกยังไม่เสร็จดี แต่ฉันจะรีบทำให้อย่างเร็วที่สุดเลยค่ะ” 

 

 

“คุณซีเหมิน มันไม่ใช่แบบนั้นครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว” จางจิ้นพูดอย่างร้อนใจ 

 

 

“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ เธอเข้าใจอะไรผิดกัน? 

 

 

“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ…” จางจิ้นลังเลอยู่นาน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดขึ้นมา “ช่วงนี้ธุรกิจของผมไม่ค่อยดี เงินหมุนเวียนเลยไม่คล่อง เพราะอย่างนั้นผมอยากจะยกเลิกแท่นหยกไว้ก่อนได้ไหม ผม…ขอโทษจริงๆ นะครับ แต่ตอนนี้ผมหาเงินมาจ่ายไม่พอ” 

 

 

ที่แท้ก็อยากจะยกเลิกสินค้า? ในความมึนงงของซีเหมินจินเหลียน เธอก็ได้พูดไปอย่างเกรงใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ทำธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องเจอปัญหาเรื่องหมุนเงินกันอยู่แล้ว ถ้าอนาคตคุณจางอยากจะได้หยกเมื่อไหร่ มาสั่งทำกับเราได้ตลอดนะคะ” 

 

 

“ขอโทษจริงๆ นะครับ” จางจิ้นเอ่ยขอโทษอีกครั้ง 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาอย่างสุภาพอ่อนโยนแล้ววางสายไป แม้ว่าการยกเลิกสินค้าจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่อย่างน้อยจางจิ้นก็ซื้อกำไลข้อมือหลักร้อยล้านกับเธอถึงสองวง เธอยังหวังว่าในอนาคตเขาจะมาหาเธอเมื่อต้องการหยก  

 

 

เมื่อถูกสายโทรศัพท์ของเขาที่โทรมารบกวน เธอก็ไม่มีอารมณ์ที่อยากจะนอนต่อ ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงไปข้างล่าง เหมือนทุกที เธอเห็นจ่านป๋ายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นเธอเดินลงมาจึงยิ้มถามไปว่า “เพิ่งบ่ายสองโมงเอง ทำไมคุณไม่นอนพักอีกสักหน่อยล่ะครับ” 

 

 

“ถูกจางจิ้นโทรมารบกวนให้ตื่น เลยนอนไม่หลับน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจส่ายหน้า “เขาขอยกเลิกสินค้า” 

 

 

“ครับ?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ เขาสงสัยในเรื่องราคาที่สูงของพวกเราหรือว่าลังเลว่าคุณภาพจะไม่ดี?” 

 

 

“เขาบอกว่าช่วงนี้ระบบหมุนเวียนเงินไม่ดี เพราะอย่างนั้นเลย…” ซีเหมินจินเหลียนโบกมือสะบัดไปมา ราคาของเธอถูกกว่าในบริษัทจิวเวอรี่อื่นๆ ทุกแห่งอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องคุณภาพ ไม่ใช่เธออยากจะโอ้อวด แต่หยกชองเธอเป็นหยกคุณภาพดี ส่วนมากเป็นหยกโบราณชนิดแก้วทั้งนั้น 

 

 

จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนเดินไปทางห้องใต้ดินอีกรอบเลยถามว่า “ในเมื่อเขาไม่สนใจแล้ว คุณก็อย่าเพิ่งโหมนักเลย พักผ่อนก่อนเถอะครับ” 

 

 

“ฉันจะไปทำเครื่องประดับจากสีม่วงดอกไลแอค สีนั้นฉันชอบ แล้วก็หยกแสงดาวระยิบระยับนั่น ฉันคิดว่าจะเอามาทำเป็นแหวนสวมใส่ไว้สักวง” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพูดต่อ “ฉันเคยลองดูแหวนที่ทำมาจากเพชรแล้วผสมหยก สวยมากเลย ถ้าหากใช้หยกประกายดาวมาทำเป็นตัวแหวน จากนั้นใช้เพชรสีอะไรถึงจะเข้ากันดีนะ?” 

 

 

จ่านป๋ายลองคิดตาม หยกประกายดาวก็มีความสามารถพิเศษในการส่องแสงอยู่แล้ว ถ้าอยากจะใช้เพชรมาเสริมให้เข้ากัน สีที่น่าจะเข้ากันคงยากเหมือนกัน สีแดงก็ไม่เข้า สีเขียวกับสีน้ำเงินก็ดูจะไปด้วยกันไม่ได้ สีดำก็ทำให้มืดไป เขาคิดว่าสีที่ดีคือเพชรที่ไม่มีสี เลยพูดกับซีเหมินจินเหลียนไปทันที 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้วเหมือนว่าจะมีแค่สีนี้ที่เข้ากัน “ก็จริงอย่างที่คุณพูด ใสสะอาดบริสุทธิ์” 

 

 

“หยกสีม่วงดอกไลแอคนั่น คุณคิดจะทำเป็นเครื่องประดับอะไรเหรอ” จ่านป๋ายเดินตามเธอลงไป 

 

 

“ยังไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะทำอะไร แค่เบื่อๆ” ซีเหมินจินเหลียนพูด 

 

 

“โอเค ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเจียระไนหินต่อ” จ่านป๋ายยิ้ม ตอนที่เขาเห็นในห้องใต้ดินเหลือเพียงแค่หินหยกก้อนประหลาดนั่นเพียงแค่ก้อนเดียว ได้แต่ถอนหายใจออกมา “จินเหลียน ทำไมคุณถึงได้แย่งหน้าที่ของผมไปหมด ผมจะตกงานแล้วนะครับ ยังดีนะที่มีอีกก้อน” 

 

 

“ก้อนนั้นยังไม่ต้องเจียระไนนะ!” 

 

 

“หา?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ หินหยกทั้งหมดถูกเปิดออกมาหมดแล้ว แต่ทำไมหินหยกก้อนนั้นถึงเจียระไนไม่ได้สักที? 

 

 

“เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็อย่าเพิ่งเจียระไนก็แล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วหันไปมองหินหยกก้อนนั้นพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันไม่ได้สนใจหินนั่นมากเท่าไหร่” 

 

 

จ่านป๋ายรู้ว่าเธอพูดโกหก เห็นได้ชัดว่าเจียระไนหินหยกอื่นออกมาหมดแล้ว ถึงหินนี้จะแพ้เดิมพัน แล้วจะเป็นอะไรไป? นอกจากนี้หินหยกก้อนนี้ซื้อมาจากโรงงานแปรรูปหยก ซีเหมินจินเหลียนดูสนใจเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้จ่านป๋ายสงสัยก็คือ เวลาที่เธอมองหินหยกก้อนนั้นทุกครั้ง เธอก็เหมือนประหลาดใจอยู่เสมอ… 

 

 

แต่ตอนนั้น ในโกดังของโรงงานแปรรูปหยก นอกจากหินหยกก้อนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอประหลาดใจได้ 

 

 

 “จินเหลียน หินหยกก้อนนั้นมีอะไรแปลกอย่างนั้นเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย 

 

 

 ซีเหมินจินเหลียนหยิบเครื่องตัดขนาดเล็กออกมาวัดขนาด และหยิบหยกสีม่วงดอกไลแอคขึ้นมาพลางพูดว่า “ผู้อาวุโสหูบอกว่า เพราะหินหยกก้อนนี้อาจารย์ของเขาถึงได้ตายไป เพราะฉะนั้นหินหยกนี่มีพลังชั่วร้ายอยู่” 

 

 

“อาจารย์ของผู้อาวุโสหู?” จ่านป๋ายถามอย่างมึนงง ผู้อาวุโสหูก็อายุปูนนี้แล้ว อาจารย์ของเขาก็น่าจะตายไปก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ? อาชีพเดิมพันหินมีความตื่นเต้นและท้าทายสูง บางทีด้วยความที่แก่เขาคงจะตื่นเต้นตกใจตายไป มันก็เป็นเรื่องปกติ 

 

 

“หินหยกก้อนนี้อยู่ในมือของผู้อาวุโสหูมาระยะหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเปิดหินออกมาดูเลย” ซีเหมินจินเหลียนอธิบายต่อ 

 

 

อาจารย์ของผู้อาวุโสหู ตอนนั้นเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ หินก้อนที่ไม่ได้เปิดออกมาดู ไม่ว่าจะมีลักษณะดีหรือร้าย แต่ก็ไม่เคยทำให้ผู้ชายที่มีรูปร่างแข็งแรงอย่างเขาตกใจจนตายได้ จ่านป๋ายครุ่นคิดอยู่ครู่ หรือว่าจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นจริงๆ 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเอามันไว้ในบ้านแบบนี้อย่างนั้นเหรอครับ” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม ในเมื่อมีรังสีร้ายแฝงไว้ก็ไม่ควรจะซื้อกลับมาสิ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับพลังวิเศษอะไรแบบนี้ก็ตาม 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด