ความลับแห่งจินเหลียน 142 จับชีพจรฟรี

Now you are reading ความลับแห่งจินเหลียน Chapter 142 จับชีพจรฟรี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าไม่ได้พูดจา จ่านมู่ฮวาพูดว่า “คุณก็จะไม่ถามแหล่งที่มาของหินหยกของร้านเถ้าแก่โจวเหรอ? นั่นเป็นสถานที่ที่คุณเดิมพันครั้งแรกเลยนะ?”

 

“เสี่ยวป๋ายเคยบอกฉันแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น จ่านป๋ายเคยสงสัยแหล่งที่มาของหินหยกร้านเถ้าแก่โจวมาก่อน เขาบอกว่าขนย้ายเข้ามาจากทางประเทศลาว สถานะของเถ้าแก่โจวนี่ก็ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ

 

“เสี่ยวป๋าย…” จ่านมู่ฮวายืดเสียงยาวพูด “ทำไมคุณถึงเรียกจ่านมู่หรงว่าเสี่ยวป๋าย?”

 

ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาใส่เขา เธอจำเป็นต้องบอกเขาด้วยหรือ? จ่านมู่ฮวาทำได้แค่ยิ้มและถามขึ้นว่า “แม่ของเขาแซ่ป๋าย เดิมทีก็เป็นลูกคุณหนูตระกูลใหญ่ ฐานะครอบครัวร่ำรวยมั่งคั่ง แต่เสียดายขี้งกไปหน่อย”

 

“ผู้หญิงอย่างพวกเรา ถ้าได้รักผู้ชายสักคน ในใจคงไม่คิดว่าเขาเป็นคนนอกหรอก ถึงความคิดจะนอกรีตกว่าที่คิด ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านเหรอที่รับเลี้ยงผู้หญิงอื่นข้างนอก?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเยือกเย็น

 

“จินเหลียน ผมสาบานว่าผมจะรักคุณเพียงคนเดียว” จู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ถ้าฉันเชื่อคุณ ฉันก็ยอมเชื่อว่าหมูตัวผู้ขึ้นต้นไม้ได้ยังจะดีเสียกว่า!” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างหมดอารมณ์

 

“ผม…” จ่านมู่ฮวาแกล้งทำหน้าตาน่าสงสาร

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาแกล้งทำตัวน่าสงสารจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เอาเถอะ ถึงคุณจะไม่ไปหาเรื่องคนอื่น แต่ผู้ชายแบบคุณ คนอื่นก็มาหาเรื่องคุณได้! ความจริงผู้หญิงกับผู้ชายก็เหมือนกัน ผู้ชายชอบผู้หญิงสวย เพราะว่ามีความรู้สึกต้องศิโรราบ ส่วนผู้หญิงก็ชอบผู้ชายหน้าตาดี เพราะสามารถโอ้อวดได้อย่างภาคภูมิใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนเวลาเลือกผู้ชาย ส่วนใหญ่จะเลือกคนที่พอไปวัดไปวาได้ก็พอแล้ว แต่อย่างคุณมันดีแต่สร้างความยุ่งยาก!”

 

“ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย” จ่านมู่ฮวารีบหาคำพูดให้ตัวเองขาวสะอาด

 

“เวลาอยู่กับคุณ ฉันก็รู้สึกไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเองเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางถอนหายใจ “แม้ฉันจะรู้ว่าฉันไม่ได้หน้าตาน่าเกลียดอะไร พอจะมีเสน่ห์อยู่บ้างก็เถอะ! โอเค คุณจอดรถตรงนี้แหละ ฉันอยากเดินสักหน่อย”

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าถึงปากประตูทางเข้าหมู่บ้านแล้ว อยากจะเดินกลับไปบ้านหนทางก็ไม่ได้ยาวไกล ช่วงที่ผ่านมานี้เธอเจอแต่ความกลัดกลุ้ม หากใช้โอกาสนี้เดินเล่นสักหน่อยก็ดี พลางได้คิดทบทวนเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่าต่อจากนี้จะเอาอย่างไรต่อไป

 

“คุณจะไม่เชิญผมเข้าไปนั่งข้างในหน่อยเหรอ?” จ่านมู่ฮวาพูด

 

“บ้านฉันไม่มีคนอื่นอยู่ ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ค่อยเหมาะสม” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธออกไปตรงๆ “อีกเดี๋ยวคุณช่วยส่งข้อมูลของคุณเฉาเข้ามาในอีเมลของฉันด้วย สองสามวันนี้ฉันจะได้ไปเจียงหนาน”

 

“แล้วที่คุณอยู่กับมู่หรงล่ะ?” แม้ว่าจ่านมู่ฮวาจะได้ยินประโยคหลังที่เธอพูด แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ สิ่งที่เขาสนใจคือประโยคข้างหน้าต่างหาก

 

“เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณด้วยเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถามย้อนกลับอย่างจัง

 

จ่านมู่ฮวายิ้มเฝื่อน แต่ก็หยุดรถลง ซีเหมินจินเหลียนเปิดประตูลงจากรถและพูดว่า “ขอบคุณที่มารับฉันนะ”

 

เห็นเงาร่างของเธอค่อยๆ จากไปไกลแล้ว จู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็รู้สึกเหมือนตนเองพ่ายแพ้ ชีวิตนี้ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่เย็นชาไม่สนใจเขาแบบนี้ เขาบีบแตรรถเบาๆ และขมวดคิ้วพูด “หลินเสวียนหลานนั่นมันก็สมควรตาย เขามีอะไรดีนักหนา? ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ผมก็ไม่น่าหลวมตัวปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่เสียตั้งแต่ตอนนั้น”

 

ควานหยิบโทรศัพท์มือถือจากข้างๆ อย่างเชื่องช้าและต่อสาย ไม่นานปลายสายก็รับ

 

“เรื่องจัดการถึงไหนแล้ว” จ่านมู่ฮวาเปลี่ยนสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มเวลาพูดคุยกับซีเหมินจินเหลียนในยามปกติ เป็นสีหน้าเยือกเย็น

 

“คุณชาย…” ในโทรศัพท์มีเสียงพูดอย่างเคารพออกมา “ยังไม่ถึงไหนเลยครับ!”

 

“พวกแกมันก็ไม่ได้เรื่อง ฉันจะให้เวลาแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำแล้ว!” จ่านมู่ฮวารีบตัดสายและเขวี้ยงโทรศัพท์ไปอีกฝั่ง กลับรถเตรียมไปทางคลับหยก

 

แม้คดีของหวังหมิงเหยาจะจบลงแล้ว แต่คนคนนี้ก็ตายที่คลับหยก รายงานของผู้บังคับบัญชาตำรวจอาชญากรรมคนนั้นสามารถเขียนตามอำเภอใจยังไงก็ได้ แต่เขากลับทำให้มันไม่ชัดเจนว่าใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่า? คนที่สามารถฆ่าหวังหมิงเหยาในคลับหยกได้ ก็ต้องมีสักวันที่อาจจะเข้ามาในคลับหยกเพื่อฆ่าคนอื่น

 

 คลับหยกที่ขึ้นชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ครบเครื่องที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ สถานบันเทิงระดับไฮเอนด์ในเมืองเซี่ยงไฮ้กลับมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น? เพียงแค่จ่านมู่ฮวาคิดก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะบรรยายความกระอักกระอ่วนนี่อย่างไร

 

เสียงมือถือดังขึ้นอย่างไพเราะ เลียนแบบกับเสียงเพลงขลุ่ยบรรเลงของซีเหมินจินเหลียน แต่เมื่อจ่านมู่ฮวาได้ยินเสียงมือถือก็อดไม่ได้ที่จะขมวดหัวคิ้วแล้วกดปุ่มรับสาย

 

“คุณชายจ่าน!” ในโทรศัพท์มีน้ำเสียงอ่อนหวานของผู้หญิงดังเข้ามา

 

“คุณนายซู?” จ่านมู่ฮวาขมวดคิ้วถาม “คุณมีธุระอะไร”

 

“คุณจ่าน ตอนนี้พวกเราจะไม่ลองทบทวนเรื่องความร่วมมือด้านอื่นๆ หน่อยเหรอ?” คุณนายซูส่งเสียงอ่อนโยนมาเข้ามา

 

จ่านมู่ฮวานิ่งงัน ในงานเดิมพันหินใหญ่คุณนายซูก็แพ้อย่างราบคาบไปแล้ว เธอยังจะมีค่าอะไรให้เขาร่วมมือด้วย แต่เสียงของคุณนายซูที่ส่งผ่านมาก็ไม่ได้ดูพ่ายแพ้อย่างที่เขาคิด จนกระทั่งพูดได้ว่าดูจากคุณนายซูตอนนี้แล้วเธอทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะซะมากกว่า อีกทั้งยังเพิ่มความเหย่อหยิ่งเข้ามาราวกับตัวเองกุมอำนาจไว้อยู่ทุกอย่าง

 

“คุณนายซูแพ้ย่อยยับไปหมดแล้ว จะมาร่วมมืออะไรกับผมอีก?” จ่านมู่ฮวาถามหยั่งเชิง

 

ในโทรศัพท์คุณนายซูได้แต่ส่งเสียงยิ้มเยาะพูดขึ้นมา “ชีวิตคนเราก็แค่ฉากเดิมพันที่หรูหรา ตราบใดที่ยังไม่สิ้นลม ก็ไม่ถือว่าฉันแพ้สิ้นทั้งหมด ทำไมเหรอ คุณชายจ่านก็ไม่สนใจที่จะร่วมมือกันเหรอ?”

 

“ร่วมมือกับคุณ เท่ากับว่าเจรจากับเสือต้องลอกลายเสือก่อน เครดิตของคุณไม่ได้ดีอะไรแล้ว” จ่านมู่ฮวาพูด

 

“แล้วสาวน้อยที่รักคนนั้นของคุณเครดิตดีนักหรือไง?” คุณนายซูยิ้ม “มนุษย์บนโลกเมื่อมาถึงจุดนี้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่วางแผนแค่หาเงินหรือผลประโยชน์เท่านั้นหรอก ถูกไหม?”

 

“ใช่ พวกเรามีเป้าหมายที่สูงกว่านั้น!” จ่านมู่ฮวาเห็นด้วยกับความคิดนี้ ชีวิตมนุษย์เรา ถ้าหากเรื่องทั้งหมดได้มาแค่เอื้อมมือเดียวมันก็น่าเบื่อเกินไป เพราะฉะนั้นการเป็นคนมีเงินทองร่ำรวย แน่นอนการแสวงหาย่อมมากขึ้นไปเรื่อยๆ แถมของพวกนี้บางครั้งก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า

 

“ฉันรู้ว่าคุณกำลังตามหาคุณเฉา” คุณนายซูพูด

 

จ่านมู่ฮวาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ฟัง เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากที่เงียบไปนานคุณนายซูก็พูดขึ้นต่อ “ถ้าคุณไม่สงสัย คงไม่หาเรื่องพวกนี้หรอก”

 

“พูดมาเถอะ เราจะร่วมมือกันยังไง” จ่านมู่ฮวาถาม พูดความจริงเขารู้สึกสงสัยในตัวของคุณเฉาท่านนั้นที่อยู่ในเมืองหยางโจว

 

หยก เทพธิดา ยาชะลอความแก่…

 

เรื่องพวกนี้มีความเกี่ยวข้องกันเหรอ? ความจริงเขาก็ไม่เคยเชื่อเรื่องที่ไม่มีจริงมาก่อน แต่หยกราชางูของซีเหมินจินเหลียนก้อนนั้น ยังคงอยู่ในใจลึกๆ ของเขา ราวกับมีอะไรมาคอยสะกิดเขาอยู่เงียบๆ

 

“ฉันอยู่ที่คลับหยก คุณป้าก็อยู่ด้วย ถ้าคุณสนใจทำไมเราไม่มาคุยกันหน่อยล่ะ?” คุณนายซูพูดขึ้น

 

“ตกลง” จ่านมู่ฮวาตบปากรับคำและวางสายไป

 

ซีเหมินจินเหลียนกล่าวลาจ่านมู่ฮวาและมุ่งหน้าเดินกลับไปยังคฤหาสน์จินเหลียนของตัวเอง ย่านพักระดับไฮเอนด์ แน่นอนว่าถนนหนทางไม่ได้เปลี่ยวเหมือนถนนทั่วไป แถมยังมีแสงไฟสะดวกต่อการเดินเท้า

 

เพราะฉะนั้น ซีเหมินจินเหลียนจึงไม่ได้ร้อนรน ค่อยๆ เดินกลับบ้าน ทว่าตอนนั้นก็มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น มีใครบางคนทำให้เธอตกใจ

 

“คุณซีเหมิน…” มีคนเรียกเธอ

 

ซีเหมินจินเหลียนหันหลังกลับไป เห็นเพียงข้างถนนมีคนยืนอยู่ที่ใต้ต้นการบูร แต่เพราะว่าแสงไฟไม่ค่อยกระจ่างชัด ทำให้สายตาของเธอมองไม่ออกว่าคนคนนั้นเป็นใคร

 

“คุณซีเหมิน เมื่อสักครู่ดูแล้วคล้ายๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆ” คนคนนั้นพูดพลางเดินเข้ามาหาเธอ

 

“คุณน่ะเองเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสวี่อี้หราน

 

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอคุณซีเหมินที่นี่!” สวี่อี้หรานยิ้มหวาน “บ้านของผมอยู่แถวนี้ คุณซีเหมินจะเข้ามานั่งก่อนไหม?”

 

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนรีบปฏิเสธทันควัน

 

สวี่อี้หรานได้ยินเช่นนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเขาผิดหวังมาก แต่คนคนนี้พูดจาคบค้าสมาคมกับคนอื่นน้อย และไม่ได้มีความลื่นไหลพลิกลิ้นเร็วเหมือนกับจ่านมู่ฮวา เพราะอย่างนั้นเมื่อซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธ นอกจากเขาจะผิดหวังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

 

ซีเหมินจินเหลียนเดินไปสองสามก้าว จู่ๆ เธอก็หยุดฝีเท้าลงแล้วถามขึ้น “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนจริงๆ เหรอ?”

 

สวี่อี้หรานได้ยินคำถามนี้จึงยิ้มออกมา “คงไม่ถึงกับขั้นเชี่ยวชาญ แค่กำลังเรียนรู้อยู่”

 

“ถ้าหากเอาสัตว์ทดลองมาวางไว้ในตู้กระจก และให้คุณแยกว่าสัตว์นี้มีชีวิตหรือตายไปแล้ว คุณพอจะแยกแยะมันออกไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

สวี่อี้หรานคิดไปมาก่อนจะถามขึ้น “ผมขอดูได้ไหม?”

 

“ได้อยู่แล้ว ยังสามารถมองผ่านและสัมผัสผ่านกระจกได้ตามสบาย” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า

 

“ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมว่า…ผมมีความมั่นใจถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เพื่อจะตัดสินว่ามีชีวิตอยู่หรือเปล่า” สวี่อี้หรานพูดยืนยันขึ้น

 

“คุณแน่ใจนะ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม

 

“ผมไม่เคยโกหกใคร” สวี่อี้หรานสีหน้าปกติ

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ฟังเขาพูดอย่างมั่นใจ หรือว่าเขาจะสามารถแยกแยะงูที่อยู่ในหินหยกว่าเป็นหรือตายได้? ความเคลือบแคลงใจนี้อยู่ในใจของเธอมาตลอด แต่เธอคัดค้านไม่ให้จ่านป๋ายใช้ไฟฟ้าในการทดลองงูในหินหยกว่าเป็นหรือตาย

 

“สามพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้ากรัม ราคาในตลาดคิดเป็นราคากี่หยวน?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น เธอไม่เคยลืมที่จ่านมู่ฮวาเคยพูดว่าคนคนนี้คิดค่าตรวจรักษาด้วยจำนวนทองสามพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้ากรัม

 

“หือ…” สวี่อี้หรานคิดตรึกตรองจึงพูดขึ้นอย่างคาดเดาว่า “คุณซีเหมินก็อยากซื้อทองเหรอ? แต่ผมไม่รู้ราคาขายทองในตลาดตอนนี้หรอก คุณอยากจะซื้อเครื่องประดับหรืออะไร สามพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้ากรัมคงจะหนักเกินไป ผมว่าคุณซีเหมินใส่หยกหรือว่าเครื่องประดับจากเพชรจะสวยกว่า” พูดถึงประโยคนี้ ด้วยรูปร่างหน้าตาเคร่งขรึมของเขา ทำให้ไม่สงสัยเลยว่าบุคคลนี้ล้อเล่นหรือไม่

 

แต่ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีจริงจังของเขาเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เปล่าหรอก ฉันแค่จะถามว่าค่าตรวจของคุณฉันจะจ่ายไหวไหม!”

 

“อ้อ…เรื่องนี้เหรอ?” สวี่อี้หรานเรียกสติกลับมาได้และส่ายหัว “ผมจะตรวจให้คุณฟรีสักครั้ง!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด