ความลับแห่งจินเหลียน 235 แพ้ชนะก็คือหิน

Now you are reading ความลับแห่งจินเหลียน Chapter 235 แพ้ชนะก็คือหิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

   

 

 

สวี่อี้หรานดีดนิ้วดังเปาะ พร้อมยิ้มเยือกเย็น “คุณเลี่ยว คุณคิดว่าพวกผมโง่จริงๆ เหรอ? คุณกล้าแบกอำนาจหน้าตายศใหญ่เข้ามา แค่การฟ้องร้องของพวกเราจะมีผลเหรอ? ใช่ ตระกูลของพวกเรามีอำนาจน่าเกรงขาม แต่ถ้าเทียบกับอำนาจบางอย่างก็ยังสู้ไม่ได้ เมื่อเผชิญหน้ากันไม่ว่าจะหยกหรือหินก็ต้องถูกเผาอยู่ดี ผลลัพธ์แบบนี้…ไม่มีใครอยากที่จะเห็นหรอก คนที่คอยสนับสนุนคุณอยู่เบื้องหลัง พ่อของผมคนนั้น…”  

 

 

พูดถึงเท่านี้ สวี่อี้หรานส่ายศีรษะยิ้มเบาบาง  

 

 

“แต่…” จ่านป๋ายยิ้มเยือกเย็น “ผมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคุณนั้น คงไม่ถึงกับยอมตบหน้าพวกเราเพื่อคุณหรอกจริงไหม?”  

 

 

ในใจของเลี่ยวกวงรู้ดีว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ได้ถึงขั้นวิตกเกินเหตุ “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าพวกคุณจะทำอะไรผมได้?”  

 

 

“ผมไปๆ มาๆ อยู่บนโลกมืดกับโลกสว่างมาตั้งหลายปี เรื่องจัดการคนน่ะก็ไม่มีอะไรน่ายุ่งยาก!” สวี่อี้หรานยิ้มน้อยๆ “ยิ่งผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว เดิมทีผมก็ไม่มีใครให้คอยคิดถึงอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ยอมให้เพื่อนตัวเองถูกรังแกหรอกถูกไหม ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็สู้จัดการไปให้สิ้นๆ เรื่อง!” ในระหว่างที่พูดนั้น ในมือของเขาก็มีเข็มหนึ่งเล่มเพิ่มขึ้นมา  

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองจ่านป๋ายอย่างไม่เข้าใจ ไปๆ มาๆ ระหว่างโลกมืดและโลกสว่างตั้งหลายปีหรือ? นี่มันหมายความว่าอย่างไร? จ่านป๋ายเองก็มีสีหน้าสงสัยเช่นเดียวกัน  

 

 

เลี่ยวก่วงก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ในใจมีคำถามหนึ่งที่สงสัยมาโดยตลอด ในที่สุดก็ได้รู้คำตอบจากปากของสวี่อี้หรานอย่างชัดเจนแล้ว และคำตอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ คนที่ทำธุรกิจสายนี้ก็ไม่ใช่ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรต่างเป็นพวกอันธพาลในเจียงหูที่ไม่มีฐานะอะไรเหรอ? คนแบบนี้ถึงจะยอมรับในความสามารถ แต่ขอแค่เจอปัญหานิดหน่อย ไม่ต้องรอให้พวกเขาตามทัน พวกเขาเองก็หายตัวไปเองเพื่อหลบหลีกอันตราย  

 

 

หากไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปต่อสู้กับกองกำลังอย่างพวกเขา จนถึงสุดท้ายก็ไม่อาจจบลงได้ด้วยดี  

 

 

แต่สวี่อี้หรานไม่เหมือนกัน สวี่อี้หรานเป็นทายาทคนต่อไปของเกาะตงไห่ เกาะหลิวหลี่ที่ร่ำรวยที่สุด ยุคนี้…อย่าพูดถึงแค่มีเงินแล้วยังเสกผีมาได้เลย ถึงมีเงินแล้วอยากจะซื้อผีก็เกรงว่าก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว  

 

 

“คุณจะทำอะไร?” เลี่ยวก่วงขมวดคิ้วพูด แม้ในตำนานบอกว่าคนพวกนี้น่ากลัว แต่เขาก็อยากจะลองดูว่ามันจะน่ากลัวอย่างที่กล่าวขานมาหรือเปล่า “หากคุณจะฆ่าผมจริงๆ คุณคงทำให้คุณซีเหมินลำบากแน่! หากมีคนรู้ว่าวันนี้ผมมาที่นี่ คุณลองคิดดูสิ ถ้าวันนี้ผมไม่กลับไปจะเป็นยังไง?”  

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที ที่แท้…ที่แท้สวี่อี้หรานก็อยากจะฆ่าปิดปากคนที่นี่  

 

 

เห็นได้ว่าในดวงตาของสวี่อี้หรานมีความกังวล ไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เขาจะไม่คำนึงถึงซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ หากเลี่ยวก่วงตายที่นี่ นั่นก็คงยุ่งยากแล้ว  

 

 

“นั่งลงก่อนเถอะ พวกเราค่อยๆ คุยกัน” เลี่ยวก่วงพูดจาปกติ  

 

 

“ไม่มีทางที่พวกเราจะร่วมมือกัน!” ซีเหมินจินเหลียนยืนกรานปฏิเสธ “ฉันไม่อยากได้ชีวิตของคุณ คุณออกไปเถอะ!”  

 

 

“คุณซีเหมิน ศพทั้งสองที่ถูกไฟคลอกหลังถนนหยกเป็นใครกันแน่ คุณรู้หรือเปล่า” เลี่ยวก่วงถามเยือกเย็น  

 

 

“ฉันไม่รู้” ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจดี คนคนนี้ต้องการจะทำอะไร ใช้ศพทั้งสองที่ถูกไฟคลอกด้านหลังถนนหยกมาข่มขู่พวกเธอให้ร่วมงานกันอย่างนั้นหรือ? ฝันไปหรือเปล่า? ก่อนที่ยังไม่มีหลักฐาน เขาก็ทำอะไรเธอไม่ได้  

 

 

“คุณซีเหมิน คนที่ตายไปแล้วตั้งสองปี จู่ๆ จะมาขายหินหยกให้คุณนี่นะ?” เลี่ยวก่วงยิ้มเจ้าเล่ห์ “หลังจากที่คุณซื้อหินหยกพวกเขาไป พวกเขาก็หายสาบสูญไปกับกองไฟ ถูกไฟเผาตายทั้งคู่น่ะเหรอ? ใครจะไปรู้ว่าคุณอาจจะใจดำอำมหิตก็ได้?”  

 

 

ซีเหมินจินเหลียนปั้นยิ้มปนโกรธ เห็นคนกลับขาวเป็นดำมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเห็นใครพูดจาเหลวไหลได้เท่าเขามาก่อน  

 

 

“เดิมทีฉันคิดว่าคุณเป็นตำรวจอาชญากรรมที่ดีนะ แต่ตอนนี้เหมือนว่าฉันจะมองผิดไป!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “นับจากวันแรกที่สืบข้อมูลฉัน เป้าหมายก็คงชัดเจนอยู่แล้ว”  

 

 

“เวลาแค่ครึ่งปีแต่มีทรัพย์สินร่ำรวยได้ขนาดนี้ พูดออกไปใครจะเชื่อล่ะครับ?” เลี่ยวก่วงยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “คุณบอกว่าคุณทำตามกฎหมาย ถ้าอย่างนั้น…ศพทั้งสองร่างที่ถูกไฟคลอก คุณจะอธิบายอย่างไร?”  

 

 

“พวกเราไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟัง!” จ่านป๋ายที่ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานแค่นเสียงใส่ “ตอนนี้คุณไสหัวออกไปได้แล้ว!”  

 

 

“ดีนี่ หวังว่าในอนาคตคุณจะไม่เสียใจ!” เลี่ยวก่วงพูดพลางและจ้ำก้าวใหญ่ไปทางประตู  

 

 

“ฉันก็หวังว่าคุณจะไม่เสียใจในอนาคต ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไม่ทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น “ถึงฉันจะมีอะไรก็คงไม่มาเก็บไว้ในห้องพักของโรงแรมเพื่อให้คุณมาคอยรื้อค้นหรอก คุณเป็นตำรวจอาชญากรรมที่โง่เง่าต่ำตมมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย”  

 

 

เลี่ยวก่วงไม่พูดไม่จา ครั้งนี้เขาก็ไม่รอบคอบจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมาถูกซีเหมินจินเหลียนฉีกหน้าแบบนี้ น่าแปลก งานประมูลหินของเหล่าหลี่น่าจะเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ทำไมเธอถึงกลับมารวดเร็วแบบนี้ล่ะ? ได้ยินมาว่าคนเดิมพันหินส่วนมากจะต้านทานเสน่ห์ของหินหยกไม่ไหว ถึงจะไม่ซื้อก็น่าจะอยู่ดูหน่อย  

 

 

แน่นอนว่าเลี่ยวก่วงนั้นไม่รู้ว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้เป็นนักเดิมพันที่แท้จริง และเธอก็ไม่ได้สนใจหินหยกในงานประมูลด้วย ในเมื่อได้สินค้ามาบ้างแล้วเธอเลยไม่รู้จะอยู่ทำไมอีก  

 

 

เลี่ยวก่วงเดินไปหน้าลิฟต์ ยื่นมือไปกดลิฟต์แล้ว เพราะในเวลานี้ลิฟต์ของโรงแรมไม่ค่อยมีคนใช้ เขารอแค่หนึ่งนาทีลิฟต์ก็มาถึง  

 

 

ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ ข้างในมีคนอยู่สองคน หนึ่งในนั้นมีชายชราคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนอีกคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนสวมใส่แว่นตากันแดดขนาดใหญ่ปกปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง  

 

 

จากประสบการณ์ที่เป็นตำรวจอาชญากรรมมาหลายปี เลี่ยวก่วงรู้สึกเอะใจว่าการที่สองคนนี้ปรากฏตัวในลิฟต์เวลานี้ก็น่าแปลกเหลือเกิน! แต่เขาก็บอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน เพราะแม้จะดึกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครเข้าออกโรงแรมนี่นา  

 

 

“พ่อหนุ่ม จะไปหรือไม่ไป?” ขณะที่เลี่ยวก่วงสงสัยอยู่นั้น ในลิฟต์ก็มีชายชราร้อนอกร้อนใจพูดขึ้น “ฉันยังมีธุระอีกนะ!”  

 

 

เลี่ยวก่วงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ก้าวเท้าเข้าไป น่าขัน อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงตำรวจอาชญากรรม เขากลัวคนแบบสวี่อี้หราน ส่วนคนธรรมดาไม่ได้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว  

 

 

ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง แสงไฟสีเหลืองอ่อนในลิฟต์คอยส่องแสงริบหรี่ พื้นที่เล็กๆ ถูกกั้นทั้งสี่ด้าน ข้างในมีอากาศถ่ายเทแค่เล็กน้อย  

 

 

ในเวลานี้เลี่ยวก่วงรู้สึกว่าบนเท้าของตนเหมือนถูกอะไรทับเอาไว้ด้านบน เมื่อก้มหน้าลงไปดูก็รู้สึกขนลุกชัน งูตัวใหญ่ขนาดเท่าข้อมือกำลังมาพันรอบเท้าของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่…  

 

 

“งู…” เลี่ยวก่วงตกใจร้องเสียงโหวกเหวก ภายใต้แสงไฟทำให้เห็นว่ามันเป็นงูสีดำเหมือนน้ำหมึก หัวสามแฉก แลบลิ้นสีแดงเป็นสัญญาณ ไม่ต้องดูเขาก็รู้แล้วว่านี่เป็นงูพิษ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกงูรัด ครั้งนั้นตอนที่อยู่บ้านซีเหมินจินเหลียน งูตัวเล็กสีหยกตัวนั้นพันรัดอยู่รอบลำคอของเขา…  

 

 

เลี่ยวก่วงเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาตกตะลึง ไม่ๆๆ เหงื่อของเขาโทรมไปทั้งตัว ข้างในลิฟต์มีงูมากมายโผล่หัวมาทั่วทิศทาง  

 

 

“คุณ…งู…” เลี่ยวก่วงพูดติดอ่าง  

 

 

“พ่อหนุ่ม นี่ถือเป็นการสั่งสอน ต่ไปจะไม่ได้ต้องมารังแกพวกเราอีก!” ชายวัยกลางคนที่ใส่แว่นกันแดดดำแค่นเสียงใส่อย่างเยือกเย็น  

 

 

“คุณ…เป็นใคร?” เลี่ยวก่วงได้ยินแล้วถามอย่างตกใจ  

 

 

“ไม่ใช่ว่าคุณกำลังตามหาพวกเราอยู่หรอกเหรอ?” ชายวัยกลางคนถอดแว่นกันแดดออกและเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดงูแสนอัปลักษณ์ออกมา…  

 

 

เลี่ยวก่วงตกใจกลัวจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นแผ่นหลังก็เย็นวาบ เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกว่ามีตัวอะไรบางอย่างที่กำลังเลื้อยอยู่บนร่างของเขาไปมา งูสมควรตายพวกนั้นเป็นงูพิษ!   

 

 

เลี่ยวก่วงตกตะลึง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของชายวัยกลางคนพูดขึ้นที่ข้างหูว่า “กลับไปบอกเจ้านายของคุณด้วยนะว่า อย่ารังแกคนให้มันมาก!”  

 

 

ประตูลิฟต์เปิดออก ชายชรากับชายวัยกลางคนเดินออกไปพร้อมกัน ส่วนงูพวกนั้นมันเหมือนกับกระแสน้ำที่ค่อยๆ หนีห่างเลี่ยวก่วงเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น  

 

 

ชายวัยกลางคนที่ใส่แว่นตาหันตัวไปมองเลี่ยวก่วงที่อยู่ในลิฟต์ จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินออกจากประตูไป  

 

 

ชายชราเดินตามไปเช่นกัน เมื่อออกจากโรงแรมแล้วถึงพูดขึ้นว่า “เจ้านาย ทำไมท่านถึงไม่ฆ่าเขา?”  

 

 

“ก็แค่สุนัขข้างทางเท่านั้น!” ใบหน้าของชายวัยกลางคนสีหน้าไม่แยแส “ฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ไม่ต่างกัน!”  

 

 

“เจ้านาย ทำไมท่านถึงต้องหลบหน้าคุณหนูด้วย?” ชายชราถามอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

“คนอย่างพวกเรา ชนะก็คือหิน แพ้ก็คือหิน ชีวิตนี้คบค้าสมาคมอยู่กับหิน เจอกับไม่เจอก็ไม่ต่างกัน ไปเถอะ!” ชายวัยกลางคนเมื่อพูดจบก็เดินหายเข้าไปในความมืด ชั่วขณะนั้นเงามืดด้านหลังของทั้งสองคนกลมกลืนกับความมืด เหมือนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน  

 

 

มากับความมืด จากไปพร้อมความมืด  

 

 

จนกระทั่งเลี่ยวก่วงกลับไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงเริ่มเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายในห้อง จ่านป่ายมองสวี่อี้หราน “ในเมื่อคุณมีทักษะขนาดนี้ ทำไมถึงไม่รู้ว่ามีคนแอบย่องเข้ามาในห้องของจินเหลียน?”  

 

 

“พวกคุณไม่ได้ให้ผมดูสักหน่อย แล้วผมจะรู้ได้อย่างไร?” สวี่อี้หรานพูดตามที่เห็น “ถ้าพวกคุณให้ผมดู ผมก็ต้องช่วยสอดส่องอยู่แล้ว แต่นี่พวกคุณไม่ได้บอก…”  

 

 

จ่านป๋ายรู้ หากจะพูดคุยอะไรดีๆ กับสวี่อี้หราน มันก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นว้ “เสี่ยวป๋าย ช่างเถอะ…ฉันน่าจะดูโอ้อวดเกินไป”  

 

 

“ถึงคุณไม่โอ้อวด เขาก็หาเรื่องคุณได้เหมือนกัน!” สวี่อี้หรานนั่งลงบนโซฟาด้านนอก ถอนหายใจพูดว่า “คนพวกนั้นแค่หัวร้อนโง่เง่า คิดเสมอว่าของบางอย่าง มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองได้ หากมีคนนอกได้สิทธิ์นั้นคงต้องทำลาย…ไม่คิดเลยว่าใครกันที่น่ากลัวกว่ากัน”  

 

 

“จริงสิ เมื่อสักครู่ที่คุณพูด หมายความว่ายังไง?” ซีเหมินจินเหลียนยังคงหมกมุ่นอยู่กับคำพูดของเขา ไปๆมาๆ อยู่บนโลกมืดและโลกสว่าง?  

 

 

“เมื่อกี้ผมยังไม่พูดอะไรสักหน่อย” สวี่อี้หรานทำท่าเกียจคร้าน “ก็แค่ทำให้เลี่ยวก่วงตกใจเท่านั้น”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด