ความลับแห่งจินเหลียน 7.1

Now you are reading ความลับแห่งจินเหลียน Chapter 7.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
มีดด้ามเดียวเผยสีเขียว

 

 

 

           เมื่อผู้คนเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินเข้ามาด้วยกันก็เงยหน้าขึ้นมามองเพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

ถึงอย่างไรซีเหมินจินเหลียนก็เข้าใจดี เพราะนักพนันหินหยกที่ยิ่งใหญ่เมื่อเห็นสินค้าอยู่ตรงหน้า สายตาก็ย่อมแต่จะจดจ้องหินนั้นอย่างไม่ละสายตา ไม่แม้แต่จะสนใจมองสิ่งอื่นใด

 

 

เพียงแต่ว่าเมื่อเธอสังเกตดูแล้วกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เธอไม่คุ้นหน้าคนเหล่านี้เลย จากที่เห็นในตอนนี้ก็มีคนทั้งหมดเจ็ดคนที่กำลังรายล้อมหินหยกนั้นอยู่ พวกเขาแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอย่างชัดเจน พร้อมใจก้มหน้าก้มตาปรึกษากันอย่างลับๆ

 

 

สำหรับชายร่างอ้วนแซ่เหอ ประธานเฉินและประธานหม่านั้นเธอก็รู้จักเป็นอย่างดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เธอยังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ เพราะดูจากท่าทางแล้วเธอก็ไม่คิดว่าประธานหม่าหรือประธานเฉินจะซื้อหยกก้อนนั้นไปเพื่อที่จะตัดแน่

 

 

และดูไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่ชายร่างอ้วนแซ่เหอเช่นกัน แล้วจู่ๆ ที่ประธานเฉินตาลีตาเหลือกโทรศัพท์ไปชวนเธอมาที่นี่เพื่ออะไรกันนะ อีกอย่างเธอกับประธานเฉินก็ไม่ได้สนิทสนมกันเสียเท่าไหร่ด้วย

 

 

“ประธานเฉิน หินหยกชิ้นนี้เกรงว่ามูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำถามไถ่

 

 

“ใช่แล้วครับ!” ประธานเฉินพยักหน้าตอบรับ “ราคาตั้งเท่านี้เลยนะ!” พูดพลางทำมือเปรียบเทียบ

 

 

“แปดสิบล้าน?” จ่านป๋ายพึมพำเสียงเบา ในใจกำลังคิดถึงหินหยกที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อจากบ้านของชายชราชิ้นนั้นในราคาร้อยล้าน อีกทั้งดูจากขนาดแล้วยังเล็กกว่าหยกชิ้นนี้อยู่พอสมควร

 

 

“ใครกันคะที่มือเติบเช่นนี้” ซีเหมินจินเหลียนคิดว่านี่เป็นเพียงแค่หินหยก ไม่ใช่สินค้าที่ทำมาจากหยก อย่างที่เคยได้ยินกล่าวขานมาในตำนาน แน่นอนว่าราคาไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้

 

 

ถ้าหากเป็นเครื่องประดับที่ทำมาจากหยกแล้ว อย่าว่าแต่แปดสิบล้านเลย ถึงจะแพงกว่านี้ขอเพียงแค่ชื่นชอบก็คุ้มค่าที่จะยอมจ่ายแล้ว แต่ว่าหินหยกชิ้นนี้ใครจะไปรู้ว่าเนื้อข้างในจะดีหรือไม่ อาจจะแพ้พนันก็ได้ โดยปกติแล้วก็มีคนจำนวนน้อยมากที่จะยอมกำเงินก้อนโตเพื่อทำเรื่องเช่นนี้ ส่วนนักลงทุนรายย่อยยิ่งไม่ต้องพูดถึง…

 

 

“เขาคือผู้อาวุโสเจี่ยครับ” ประธานเฉินเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบาเพื่อตอบคำถาม

 

 

“ผู้อาวุโสเจี่ย[1]?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ยังมีผู้อาวุโสปลอมหรือจริงอีกเหรอ?

 

 

“ฮะๆ คุณจ่าน อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่รู้จัก? ผู้อาวุโสเจี่ยคือผู้ที่มีพรสวรรค์ในทางนี้โดยเฉพาะเลยนะครับ เรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งการพนันหินหยกเลยล่ะ” ประธานเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ อดไม่ได้ที่จะชูนิ้วโป้งขึ้นพลางกล่าวต่อว่า “คุณไม่รู้เหรอครับว่าในการประมูลหยกที่พม่าครั้งก่อน เพราะว่าสุขภาพของผู้อาวุโสเจี่ยไม่ค่อยดีเขาถึงไม่ได้ไปเข้าร่วมด้วย แต่การประมูลที่เจียหยางครั้งนี้ เขาก็ไม่ยอมที่จะพลาดแน่ ไม่ว่าคนที่บ้านจะห้ามอย่างไรเขาก็ยืนกรานที่จะมาให้ได้ เมื่อวานก็เพิ่งซื้อหินหยกก้อนใหญ่ไป วันนี้เลยอยากจะมาผ่าหยกน่ะครับ”

 

 

จ่านป๋ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ในใจก็ยังคงมีความสงสัยอยู่ จึงเอ่ยถามต่อว่า “ผู้อาวุโสเจี่ยมาจากบริษัทอัญมณีที่ไหนเหรอครับ”

 

 

“ถ้าหากเขามาจากบริษัทอัญมณีที่ไหนสักแห่ง เมื่อซื้อหินหยกไปแล้วก็น่าจะต้องขนกลับไปผ่าหินเองสิครับ ทำไมจะต้องมาผ่าให้พวกเราดูด้วยล่ะ หากจะพูดกันตามตรงแล้วผู้อาวุโสเจี่ยท่านนี้กับคุณจินเหลียนก็มีความคล้ายกันมากทีเดียวนะครับ ชอบพนันหยกเป็นงานอดิเรก โดยทั่วไปแล้วพอได้สินค้าที่ดีแบบนี้ก็น่าจะผ่าหยกเสียเลยในตอนนั้น ส่วนสำหรับคนทำทำธุรกิจอัญมณีอย่างพวกเราแล้ว การซื้อหินหยกในเวลานั้น แน่นอนว่าราคาต้องย่อมเยาอีกทั้งคุณภาพต้องดีเยี่ยม”

 

 

“ก็จริงครับ การซื้อหินหยกที่ผ่านการเปิดหน้าหยก เผยให้เห็นถึงเนื้อหยกแล้วแม้ว่าต้นทุนจะสูง แต่ความเสี่ยงก็นับว่าน้อยกว่ามาก” จ่านป๋ายเผยยิ้ม

 

 

“ก็ใช่น่ะสิครับ” ประธานเฉินกล่าวพลางชำเลืองมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน ยิ้มอย่างคลุมเครือแล้วพูดว่า “คุณจ่าน แฟนของคุณก็มีความสามารถเลยทีเดียวนะ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะชนะพนันไปสองชิ้น”

 

 

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ!” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนกำลังยืนอยู่ข้างนอกวง สายตาของเธอก็กำลังจดจ้องเนื้อหินหยกก้อนยักษ์นั่น เขาถึงถอนหายใจออกมาอย่างจงใจ “เดิมทีเรื่องนี้ก็จะเป็นไปได้ดีอยู่แล้ว แต่วันนี้กลับเจอผู้หญิงไร้ยางอายสองคนเข้าเสียก่อน…” เขาพูดพลางอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

 

“อย่าไปสนใจตระกูลหลินเลยครับ หลินเจิ้งคนนั้นทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง โดยเฉพาะหลังจากที่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ทางที่ดีคุณก็ไปเกลี้ยกล่อมคุณซีเหมินเถอะครับว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงแบบนั้นเลย” ประธานเฉินสังเกตว่าไม่มีใครสนใจพวกเขาทั้งสองคนแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ต่อไปถ้าหากคุณซีเหมินชนะพนันอีก คุณโทรศัพท์มาหาผมได้ตลอดเลยนะครับ ผมจะรับซื้อหินหยกไว้ จะได้คุยราคากันได้ง่ายๆ อย่างไรล่ะครับ” นี่คือเป้าหมายที่ประธานเฉินคุยกับจ่านป๋ายเป็นการส่วนตัว เขาคิดว่าสำหรับผู้ที่ยอมพนันซ้ำแล้วซ้ำเล่าคนหนึ่ง ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะพูดจาประจบประแจงเสียหน่อย นี่ถึงเป็นสาเหตุที่เขาตั้งใจนัดซีเหมินจินเหลียนมาดูการผ่าหินในวันนี้  

 

 

สำหรับนักพนันที่มีสายตาที่ยอดเยี่ยมนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเครื่องประดับแห่งไหนก็ล้วนที่จะพร้อมใจเข้ามาประจบสอพลอ เพราะอย่างนั้นหินหยกที่พวกเขาชนะจากการพนันมาย่อมเป็นที่ต้องการเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนๆ วัตถุดิบเกรดดีแบบนี้มักจะขาดแคลน ไม่สิ ควรจะพูดว่าไม่มีบริษัทเครื่องประดับที่ไหนจะเมินเฉยเนื้อหยกเกรดสูงๆ ที่จะเพิ่มขึ้นมาหรอก

 

 

“ได้เลยครับ!” จ่านป๋ายพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสัญญาว่า “ถ้าหากครั้งหน้าจินเหลียนจะผ่าหยกอีก ผมจะให้เธอติดต่อคุณไปแน่นอน”

 

 

“พวกเราเข้าไปดูกันสักหน่อยไหมครับ?” ประธานเฉินพูดขึ้นเป็นการเชื้อชวน

 

 

“ดูก็ได้ครับ แต่ยังไงผมก็ยังคงดูไม่เข้าใจอยู่ดี” จ่านป๋ายยิ้มเหนียมๆ แก้เขิน

 

 

ในขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คนทั้งเจ็ดที่รายล้อมดูสินค้าอยู่ก็ลุกขึ้นยืน ซีเหมินจินเหลียนสังเกตว่าประธานเฉินกับชายอ้วนแซ่เหอไม่ได้รู้จักพวกเขาทั้งเจ็ดคน เพราะอย่างนั้นถึงไม่ได้แนะนำให้เธอรู้จัก เธอจึงถามอะไรไม่ได้

 

 

เมื่อชายอ้วนแซ่เหอเห็นพวกเขาทั้งเจ็ดคนลุกขึ้นมาแล้ว เขาก็รีบเร่งเดินเข้าไปในทันที ในมือของเขาถือไฟฉายพร้อมที่จะตรวจสอบดูสินค้า ส่วนประธานเฉินและประธานหม่ากลับยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

 

 

“คุณสองคนไม่ไปดูหน่อยหรือครับ?”

 

 

“ไม่ดีกว่าครับ” ประธานเฉินมองประธานหม่า ทันใดนั้นก็เผยยิ้มออกมา “พูดตามตรงแล้ว ถ้ามีความเสี่ยงบ้างเล็กๆ น้อยๆ พวกผมก็พอจะพนันได้ แต่ถ้าต้องเสี่ยงเต็มตัวแบบนี้…ไม่ดีกว่าครับ ฮ่าๆ”

 

 

ทางด้านชายอ้วนแซ่เหอที่กำลังดูสินค้าอยู่นั้นก็ลุกขึ้นยืนพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น “ผมว่าน่าจะได้แล้วล่ะ แต่ว่านี่ก็แค่ผิวหยกเท่านั้นเอง” เขาพูดพลางจงใจเหลียวมองเจ็ดคนนั้น

 

 

เจ็ดคนนั้นถึงแม้จะแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเมื่อกี้คงไม่เบียดเสียดกันมาดูสินค้า ท่ามกลางพวกเขามีชายรูปร่างสมส่วน บนใบหน้ามีรอยกะคนหนึ่งที่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างอดไม่ได้

 

 

ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองจ่านป๋าย ทั้งสองยิ้มให้กันพลันคิดว่าสองฝ่ายนี้แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่พวกเดียวกันแน่

 

 

“คุณซีเหมินก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะครับ อีกเดี๋ยวผู้อาวุโสเจี่ยกำลังจะมาแล้ว” ประธานเฉินว่า

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปที่ข้างหน้าหินหยก ทันใดนั้นชายอ้วนแซ่เหอก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “คุณดูเถอะครับ เดี๋ยวผมรอดูตอนที่ผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกก็ได้”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างขออภัย ในมือควานหาไฟฉายกับแว่นขยายออกมาจากกระเป๋า น้ำหนักเนื้อหินประมาณหนึ่งตันเท่ากัน แต่ผิวของหินหยกนี้กลับปรากฏสีเทาเหลือง พื้นผิวของกรวดหินละเอียดพอสมควร

 

 

เมื่อใช้มือสัมผัส ซีเหมินจินเหลียนก็อดยิ้มออกมาอย่างฝืดฝืนไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มใช้ไฟฉายส่องดู มีเส้นลายหยกปรากฏให้เห็นอย่างไม่ชัดเจน สีเขียวของหยกก็ไม่เยอะมาก ผิวภายนอกก็ไม่ค่อยดีนัก สำหรับนักพนันหินหยกแล้ว พูดกันตามตรงถ้าหากมองแค่ผิวหยกอย่างนั้น หินหยกชิ้นนี้ถึงจะขายในราคาแปดสิบล้าน ก็ยังถือว่าแพงเกินไปด้วยซ้ำ

 

 

เมื่อใช้ไฟฉายส่องแสงลงบนพื้นผิว แสงแทบจะไม่กระจาย พิสูจน์ให้เห็นว่าความโปร่งแสงอิ่มน้ำของเนื้อหยกไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

 

 

ซีเหมินจินเหลียนค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง ทำไมผู้อาวุโสเจี่ยคนนั้นถึงอยากจะซื้อเนื้อหินหยกก้อนนี้กันนะ? หากฟังจากที่ประธานเฉินบอกเมื่อครู่แล้ว เขาก็ดูเหมือนจะนับถือผู้อาวุโสผู้นี้เป็นอย่างมาก

 

 

มือซ้ายของเธอถือแว่นขยายเพื่อบังหน้า ส่วนมือขวานั้นเอื้อมไปสัมผัสที่เนื้อหิน ความร้อนไหลผ่านทางเปลือกผิวสีเทาเหลือง นี่กลับเป็นแค่ก้อนหินสีขาวก้อนหนึ่งเท่านั้น ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกตกตะลึง ผู้อาวุโสเจี่ยคงไม่โชคร้ายขนาดนี้หรอกมั้ง?

 

 

เธอใช้มือสัมผัสเพื่อมองทะลุหินหยกอีกครั้ง ยามที่เห็นสองในสามส่วนนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็นิ่งอึ้งไปแล้ว สีม่วงอ่อนๆ สะท้อนไปยังก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

สีม่วงอ่อนๆ นั่นก็ไม่มีความเข้มเลยแม้แต่น้อย ความโปร่งใสไม่สูงจนเกินไป หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นหยกชนิดโปร่งใสราวกับแก้วกระจก ส่วนความชุ่มชื้นในหินนับว่าไม่เลวเลย

 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าสีม่วงชนิดนี้คงจะอยู่ในประเภทสีม่วงขุ่น ให้ความรู้สึกคล้ายกับควันหรือหมอกอยู่ในนั้น…

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างก็คือ เส้นแสงสีม่วงนั้นไม่ได้ยาวสักเท่าไหร่ หนาเพียงแค่หกถึงเจ็ดเซนติเมตร ความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร ถ้ามันถูกตัดออกอย่างสมบูรณ์ ใช้วัสดุที่เหมาะสม ทำเป็นกำไลสักสองสามก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

 

เพียงแต่ว่าสีม่วงสีเหลืองและสีแดงนั้น ไม่ได้อยู่ในขั้นสีที่สดใสหรือกระจ่างแสงที่สุด ไม่ได้เป็นที่นิยมเสียเท่าไหร่ แต่สำหรับสีม่วงดอกไลแอคถูกยกให้เป็นที่สุดของสีม่วง ส่วนสีม่วงอ่อนๆ ที่คล้ายควันหมอกเช่นนี้ แม้ว่าจะตัดออกมาได้ แต่ก็เกรงว่าจะไม่มีคุณภาพที่คู่ควรนัก

 

 

 

 

[1] เจี่ย เป็นแซ่หนึ่งของคนจีน ซึ่งพ้องเสียงกับว่าคำว่าปลอม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด