จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 242 เพื่อนเก่า

Now you are reading จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) Chapter 242 เพื่อนเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 242 เพื่อนเก่า

ที่เมืองมังกร หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ ภูเขาที่อยู่นอกเมืองก็สูงขึ้น ป่าทึบเติบโต นกและสัตว์ดุร้ายแผ่กระจายไปทั่วทุกสถานที่

ช่วงนี้เมืองมังกรดูมีชีวิตชีวามาก มีจอมยุทธ์จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมือง โรงแรมจึงเต็มอยู่บ่อยครั้ง

ฉู่ชวิ๋นและพวกก็วนไปที่โรงแรมและบ้านพักหลายแห่งแต่ก็ยังไม่เจอที่ที่สามารถเข้าพักได้สักที

“เหมือนว่าคืนนี้พวกเราต้องนอนกันข้างถนนแล้วนะ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแห้งๆ

คิดดูดีๆ แล้ว ตั้งแต่เขากลับมาที่โลก ชีวิตของเขาก็ดูเหมือนจะสุขสบายเกินไปหน่อย นานแล้วที่เขาไม่ได้ทำอะไรที่ลำบากยากเข็ญแบบนี้

“ท่านเจ้าวัง ข้างหน้านี่มีโรงแรมอยู่อีกนะครับ ลองไปดูก่อนไหม?”

เหยียนชงพูดขึ้น

“งั้นก็ดีเลย” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับ

โรงแรมไอซิงไฮ่ เป็นหนึ่งในโรงแรมที่แพงที่สุดของเมือง ทีมของฉู่ชวิ๋นมองเห็นคนที่กำลังก่อจราจลอยู่ข้างหน้าโรงแรม พวกเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่ช่วยกันต่อสู้หลังจากที่โลกเปลี่ยนไป

“เหมือนว่าเราต้องพักที่นี่อีกแล้วสินะ” เหลยเป้าบ่นพึมพัมกับตัวเอง ทีมของเหลยเป้าเคยพักที่นี่มาแล้ว 1 คืน และสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าประตูนั้น คือการต่อสู้กันเพื่อแย่งห้องพักนั้นเอง

….

ในนั้นมี หยานอี้ เจ้าสำนักภูผาทมิฬที่เคยเจอกับฉู่ชวิ๋นเมื่อครั้งบุกถล่มสำนักสวรรค์ฟ้าอยู่ด้วย

สีหน้าของหยานอี้ดูไม่พอใจอย่างมาก เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา เขามองไปยังเบื้องหน้าของตนด้วยความโกรธ

“กลุ่มเทียนหลงเป่า พวกแกมันจะปลิ้นปล้อนเกินไปแล้ว!”

กลุ่มคนกำลังทะเลาะกันด้วยบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้คนมามุงดูกันเยอะมากรวมถึงพวกเขาทั้ง 4 คนด้วย

ชายชราร่างผอม หายใจอย่างรุนแรงและมองมาด้วยสายตาอันบูดบึ้ง

“เสียเวลาจริงๆ ถ้าไม่อยากชิบหาย ไสหัวออกไป!”

คนที่มามุงต่างมองเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างสนุกสนาน พวกเขาไม่สนใจกลุ่มของหยานอี้เลยด้วยซ้ำ

“แกไม่ต้องมาพูดมาก ห้องนั้นเป็นห้องที่พวกเราจอง ทำไมต้องยอมยกให้พวกแกด้วย” ยัยตัวร้ายสวมแจ็คเก็ตสีดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

“ทำไมเหรอ? เพราะว่าพวกเราเป็นกลุ่มเทียนหลงเป่ายังไงละ?” ชายชรามองค้อนกลับมาอย่างดูถูกไปยังหยานอี้

“แค่ครึ่งก้าวสู่ขั้นจักพรรดิ คิดสู้กับฉันงั้นเหรอ? แกมันรนหาที่ตายชัดๆ!”

ในกลุ่มของเทียนหลงเป่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ซิวเหวย อยู่ขั้นปรมาจารย์ระดับ 5 ดวงตาของเขามองไปยังหญิงสาวคนหนึ่งและยิ้มอย่างชั่วร้าย

“สาวน้อย ฉันอยากได้ห้องเธอจะทำไม อ้อๆ แต่เธอมานอนร่วมเตียงกับฉันคืนนี้เธอจะได้มีที่พักนะ แถมอาจจะได้เงินด้วย”

“หน้าด้าน!” หยานอี้ฟิวขาดทันที เขาเดินเข้าไปหาชายปากหมาคนนั้นพร้อมหมัดที่กำเอาไว้แน่น

ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปและหนีเข้าไปในฝูงคนทันที

“หยานอี้ แกอยากจะมีเรื่อง จริงๆ ใช่ไหม!” ชายชราตะโกนด้วยความโกรธ เขาปล่อยฝ่ามือออกไป ร่างของหยานอี้กระเด็นไปกลางอากาศไกลกว่า 100 เมตร!

“ก็แค่จัดการมัน ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้เลย” ชายชราดูถูกเหยียดหยาม ก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงแรม

หยานอี้ที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นจักพรรดิพลิกตัวกลับมาทันก่อนที่จะรับแรงกระแทก นอกจากเขาแล้วคนอื่นๆ ล้วนเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีทางสู้กับอีกฝ่ายได้เลย

แต่ถ้ายอมแพ้ไปทั้งแบบนี้โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย มันไม่ใช่นิสัยของเขา!

คมดาบนับร้อยพุ่งเข้าใส่กลุ่มเทียนหลงเป่าที่กำลังเดินเข้าไปในโรงแรม

คนพวกนั้นเมื่อได้ยินเสียงลมที่ไล่ตามหลังมาจึงอดไม่ได้ที่จะหยุดและหันหลังกลับไป

ฟิ้ว!

รูปปั้นสิงโตทั้งสองตัวที่อยู่หน้าโรงแรมถูกทำลายจากคมดาบที่พลาดเป้าไปในทันที

“จัดการมันซะ!” ชายชราตะโกนออกคำสั่งอย่างโกรธเคือง

“ได้ครับ” ชายที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิของกลุ่มเทียนหลงเป่า ตอบรับคำสั่งของหัวหน้าทันทีและจัดการคนที่ปล่อยคมดาบออกมา

ผู้อาวุโสของกลุ่มหยานอี้กำดาบคู่ใจเอาไว้แน่น ฟาดฟันคลื่นดาบออกไปทั้งแนวตั้งและแนวนอน พุ่งเข้าใส่เป้าหมายที่เป็นชายไม่เจียมตัวคนนี้ทันที

ดาบที่เคลือบพลังลมปราณเอาไว้นั้นแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะผู้อาวุโสเล่ย ที่บรรลุขั้นปรมาจารย์ระดับ 9 ทำให้ชายที่เป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นจักรพรรดิของกลุ่มเทียนหลงเป่ารู้สึกถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาทันที

“พอได้แล้ว!” ชายชรากลุ่มเทียนหลงเป่าตะโกนด้วยความโกรธ เขาหายใจอย่างรุนแรงและน่ากลัว ก่อนที่จะซัดลมปราณเข้าใส่ผู้อาวุโสกลุ่มหยานอี้ จนเขากระอักเลือดออกมา ถ้าอีกฝ่ายไม่ออมมือให้ เขาคงจะตายไปแล้ว

“ผู้อาวุโสเล่ย!!” หยานอี้ ตะโกนออกมา

ชายชราเหยียดมือออกดึงแรงดูดขนาดใหญ่ทำให้หินบนพื้นดินทั้งหมดม้วนตัวขึ้น ก่อนที่จะใช้พลังนั้นล็อกคอของอีกฝ่ายขึ้นมา

“แกไปเรียนวิชาดาบนั้นมาจากที่ไหน?” เขารัดคออีกฝ่ายเอาไว้แน่น

ผู้อาวุโสเล่ยหน้าซีดเซียวไม่มีแรงที่จะทำอะไรตั้งแต่ถูกโจมตีแล้ว เขายิ้มอย่างเย้ยหยันแล้วพูดออกมา “ฉันบอกไปแกก็ไม่กล้าไปเอามาหรอก!”

ชายชราหน้าดุดันคนนี้เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสนใจขึ้นมาทันที “ลองพูดมาซิ ไม่มีที่ไหนที่ฉันคนนี้ไม่กล้าไป!”

“ภูเขาเฉียนหลง ณ คฤหาสน์ตระกูลฉู่” ผู้อาวุโสเล่ยพูดขึ้น

ผู้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้ในไม่มีใครไม่รู้จัก สุดยอดจักพรรดิแห่งคมดาบหรือ จอมมารฉู่ ฉู่ชวิ๋นอาศัยอยู่บนภูเขาแห่งนั้น เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสของกลุ่มเทียนหลงเป่าก็หวาดกลัวและเผลอปลดพลังที่รัดคออีกฝ่ายเอาไว้ออก

ชายชราที่สวมชุดคลุมสีดำในกลุ่มของเทียนหลงเป่ากัดฟันแน่นเมื่อได้ยินชื่อ “ฉู่ชวิ๋น” เขาคนนี้คืออูหมิง เขาถูกฉู่ชวิ๋นซ้อมจนกลัว ต้องทิ้งลูกศิษย์ตัวเองเพื่อหนีตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาถูกใครต่อใครหัวเราะเยาะ สร้างความอับอายให้กับเขาไปตลอดชีวิต

“ฮึ่ม เหมือนฉู่ชวิ๋นจะเลือกลูกศิษย์ได้ตาต่ำนักนะ ถ้าฉันเจอมันอีกหละก็ฉันจะฆ่ามันเอง” อูหมิงพูดออกมาด้วยสีหน้าที่มืดมน

“เหอะ! ตอนเจอหน้าเขาอย่ากลัวจนตัวสั่นซะละ!” หยานอี้เหน็บแหนบอีกฝ่าย

“ยังรนหาที่ตายอยู่อีกรึไง!” อูหมิงวิ่งมาด้วยความโกรธ เขาคือจอมยุทธ์ขั้นจักพรรดิ ผู้คนต่างก็ยำเกรงพอเขาเดินมาทุกคนต้องแหวกทางให้กับเขา

“ถ้าหากมันกล้ามา ฉันจะฆ่ามันเอง!”

“จะเป็นแบบนั้นแน่เหรอ?” เสียงอันนุ่มนวล ลอยตามลมแต่ก็พวกเขาทุกคนก็ได้ยินชัดราวกับเป็นเสียงของฟ้าผ่า

“ใคร?” อูหมิงตกใจจนผมตั้ง เสียงนั้นคุ้นหูเขามาก และเขาไม่มีทางลืมเสียงนี้ไปอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะหลับฝันอยู่ก็ตาม

ทุกคนได้ยินเสียงที่น่าเกรงขามนั้นอย่างชัดเจน

พอทุกคนหันไปมองเห็นฉู่ชวิ๋น อูหมิงก็ตกใจเหมือนกับแมวหางตั้ง

เขาแทบจะกระโดดตัวลอยพร้อมกับวิญญาณที่หลุดออกมาจากร่าง ก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ “ฉะ..ฉะ.ฉู่ชวิ๋น”

“ฉู่ชวิ๋นงั้นเหรอ!!!”

ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นคิดเหมือนๆ กัน จอมมารฉู่ในโลกยุทธภพ เขาเป็นที่รู้จักมากในโลกยุทธภพไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขา

ดวงตาของอูหมิงเบิกกว้าง หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา เขารู้สึกอับอายมาก กล้ามเนื้อของเขาเกร็งไปหมด

ณ ภูเขาเฉียนหลง เขาและเกอหยิงเทียนจับมือกันบุกเข้าไปสู้กับฉู่ชวิ๋น

ผลก็คือเกอหยิงเทียนถูกฉู่ชวิ๋นพาดด้วยไม้สีทองจนแหลก สถานการณ์ในตอนนั้นเหมือนกับฝันร้ายสำหรับเขา แค่คิดถึงคำพูดของ

ฉู่ชวิ๋นในตอนนั้นเขาก็อยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว อูหมิงคิดว่าฉู่ชวิ๋นเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักพรรดิที่น่ากลัวที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!

“แกคือจอมมารฉู่อย่างงั้นรึ?” ชายชราที่พึ่งจะปล่อยผู้อาวุโสเล่ยมองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างไม่เว้นละ พร้อมกับถามออกมา

ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร “ปล่อยพวกเขาไป ถ้าอยากจะดวลดาบ เดี๋ยวฉันจัดให้”

เขาไม่ได้เมินสิ่งที่ชายชรากำลังทำเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าสำนักภูผาทมิฬ” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปใกล้ พร้อมปล่อยพลังลมปราณสีม่วงห่อหุ้มร่างกายของอีกฝ่าย รักษาอาการเหนื่อยล้าทั้งหมดไป

ตอนที่หยานอี้ปกป้องพ่อแม่ของเขาที่ภูเขาเซวียนฉี เขาไม่มีวันลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย

ดวงตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนของหยานอี้เป็นประกายขึ้นมา พอเขาได้รับลมปราณสีม่วงของฉู่ชวิ๋น บาดแผลของเขาก็หายในทันที

“ผ่านไป 10 กว่าปีแล้วท่านฉู่ก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ” ตอนนั้นฉู่ชวิ๋นบุกทำลายสำนักสวรรค์ฟ้าและแม้แต่ภูเขาเซวียนฉีก็ถูกทำลายเช่นกัน

ทุกคนคิดว่าฉู่ชวิ๋นตายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาแถมยังแข็งแกร่งกว่าเดิม แม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิหลายคนเขาก็ยังเอาชนะมาได้

“เจ้าสำนักหยานไม่ต้องสุภาพหรอกครับ เรียกผมว่าฉู่ชวิ๋นเหมือนเดิมเถอะ สิ่งที่ท่านช่วยผมไว้ ผมไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน” พูดจบเขาคำนับหยานอี้อย่างนอบน้อม

ตอนที่เขาสูญเสียพลังลมปราณไป เขาเอาแต่ฝึกวิชากับจักพรรดิอ๋าวฮวง นานกว่า 15 ปี เลยไม่มีโอกาศได้กล่าวขอบคุณหยานอี้กับพวกอย่างจริงใจเลยสักครั้ง

พรรคพวกของหยานอี้ไม่ใช่คนที่เอารัดเอาเปรียบใคร พวกเขาต่างก็พยักหน้าและยิ้มให้กับฉู่ชวิ๋นอย่างอบอุ่น

ยัยตัวร้ายมองฉู่ชวิ๋นด้วยสีหน้าอันว่างเปล่าก่อนที่จะเอะใจได้ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เธอก้มหัวให้

“ใช่ เธอเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบาๆ

“ถ้าเปลี่ยนไปเดี๋ยวนายจะจำฉันไม่ได้หน่ะสิ”

เธอรู้ว่าหัวใจของฉู่ชวิ๋นอยู่กับฮวาชิงหวู่แล้วแต่เธอก็อยากสนิทกับเขามากกว่านี้ ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทีแปลกๆของหญิงสาวนัก เขาถามต่อไปว่า “แล้วไปทำอีท่าไหนถึงมีเรื่องกับพวกเทียนหลงเป่าหละ?”

หยานอี้ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกระซิบให้ฉู่ชวิ๋นฟัง

สรุปว่ามันเป็นเรื่องของการแย่งที่พักกัน ปัญหาเรื่องที่พักของเมืองแห่งนี้มีมานานแล้ว ผู้คนต้องสู้กันเพื่อแย่งห้องพักสบายๆ พวกเทียนหลงเป่าจึงปล้นที่พักของพวกเขาไป

หยานอี้ยิ้มอย่างขมขื่ “มันก็แค่ที่พักน่ะนะ แต่ที่สำคัญคือไอ้พวกนั้นมันเอาไปแล้ว”

“เข้าใจแล้ว” ฉู่ชวิ๋นเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่แล้ว คนที่แข็งแกร่งกว่าจะได้รับการยอมรับ กฏหมายของเมืองแห่งนี้เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ทุกคนจึงตัดสินกันด้วยกำลัง

“ให้ฉันจัดการเอง” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปหาชายชรา อีกฝ่ายยังคงล็อกตัว

ผู้อาวุโสเล่ยเอาไว้ ฉู่ชวิ๋นจึงขมวดคิ้ว “ฉันบอกให้ปล่อย แกไม่ได้ยินหรือไง?”

ชายชราของกลุ่มเทียนหลงเป่ามองกลับมาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง นิ้วทั้ง 5 หดลงเล็กน้อย สีหน้าของผู้อาวุโสเล่ยดูทรมานขึ้นมาในทันที

“ฉู่ชวิ๋น แกควรจะเข้าใจสถานการณ์ให้มากกว่านี้ ถ้าแกยังกล้าออกคำสั่งกับฉันอีกละก็ ฉันจะฆ่าตาเฒ่าคนนี้ทิ้งทันที”

“แกเป็นใครกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วแน่น

“ผู้อาวุโสที่สองของกลุ่มเทียนหลงเป่า ไฉเยวียน” ชายชราพูดอย่างภาคภูมิใจ

“ไฉเยวียน ถ้าเขาตาย ฉันจะฆ่าล้างกลุ่มเทียนหลงเป่าทิ้งซะ” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นแฝงไปด้วยความอุกอาจและน่ากลัว

“อ๊ากก…!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องออกมาด้วยความกลัว

ทันทีที่ได้ยิน ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็รีบทิ้งระยะห่างออกไปทันทีเพื่อความปลอดภัยของชีวิต

เป็นเหลยเป้า! เขากำลังแบกชายหนุ่มผู้ซึ่งหลอกล้อยัยตัวร้ายเมื่อกี้นี้

อูหมิง ที่กำลังกลัวกับการปรากฏตัวของฉู่ชวิ๋น ถูกดึงดูดจากการสนทนาระหว่างฉู่ชวิ๋นและไฉเยวียน ทำให้ลืมคุ้มกันชายหนุ่มข้างๆ

ส่วนเหลยเป้าที่แอบย่องเข้าไปใกล้ๆ ก็จับชายหนุ่มไว้ด้วยความเร็วแสง

“ผู้อาวุโสไฉ ช่วยด้วย” ชายหนุ่มตะโกนด้วยความกลัวสีหน้าของไฉเยวียนเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นชายหนุ่มคนนั้นถูกล็อคเอาไว้ ชายคนนี้เป็นเหมือนกับลูกชายที่เลี้ยงดูมา สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด

“ฉู่ชวิ๋น ปล่อยเขาไป” แม้ไฉเยวียนจะควบคุมสติเอาไว้ได้ แต่เสียงของเขาในตอนนี้เยือกเย็นไปจากเดิมมาก

ฉู่ชวิ๋นมองกลับไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

สีหน้าของไฉเยวียนนั้นมืดลงในทันที ไม่พูดอะไรต่อเขาปล่อยมือที่กำลังใช้พลังลมปราณบีบคอผู้อาวุโสเล่ยลงทันที

เขาไม่กล้าจะเสี่ยงกับคนบ้าฉู่ชวิ๋น

“ขอบคุณมากครับ ผู้อาวุโส” ชายหนุ่มยิ้มออกมา เพราะคิดว่ารอดแล้ว

เขาฉลาดมากและรู้วิธีลดท่าทางของเขาลง

เหลยเป้าแปลกใจที่เห็นความอดทนอดกลั้นในยามคับขันของชายหนุ่ม

ผู้เหลาะแหละคนนี้

และเหลยเป้าของมองไปยังฉู่ชวิ๋นเพื่อขอความเห็น

“ทำลายจุดตันเทียนมันซะ” ฉู่ชวิ๋นพูด

“แกกล้าดียัง…” ไฉเยวียนกำลังจะพูดแต่เขาก็ตกใจตัวค้างเพราะไม่ทันแล้ว….

“อ๊าก!” ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างทรมาน

เหลยเป้าไม่ลังเลทำลายจุดตันเทียนของชายหนุ่มทันที

“ร้องทำไม แกอยากตายหรือไง?” ฉู่ชวิ๋นบอกกับชายหนุ่มคนนั้นร้องที่เหมือนหมูเหมือนหมา สีหน้าของเขานั้นดูเจ็บปวดมาก ร่างกายสั่นเทา แต่ก็ไม่กล้าที่จะเปร่งเสียงอะไรออกมาอีก

เขาเห็นว่า ยัยตัวร้าย โดนลวนลามทางคำพูดการที่ยังไว้ชีวิตอีกฝ่ายนั้นถือว่าใจดีมากแล้ว

เหลยเป้าโยนชายหนุ่มคนนั้นกลับไปให้ตาแก่ทันที “เอามันคืนไป!”

ไฉเยวียนรับร่างของชายหนุ่มเอาไว้แล้วตรวจสอบอาการบาดเจ็บอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

“ฉู่ชวิ๋น แกต้องชดใช้ด้วยเลือด! ฉันจะมอบความเจ็บปวดที่เกินกว่าจะทนไหวให้กับแก แกต้องทนทุกข์ทรมานราวกับถูกไฟเผาทั้งเป็น…”

คำสาปแช่งของไฉเยวียนนั้นดูน่ากลัวและน่าขนลุกเป็นอย่างมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 242 เพื่อนเก่า

Now you are reading จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) Chapter 242 เพื่อนเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 242 เพื่อนเก่า

ที่เมืองมังกร หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ ภูเขาที่อยู่นอกเมืองก็สูงขึ้น ป่าทึบเติบโต นกและสัตว์ดุร้ายแผ่กระจายไปทั่วทุกสถานที่

ช่วงนี้เมืองมังกรดูมีชีวิตชีวามาก มีจอมยุทธ์จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมือง โรงแรมจึงเต็มอยู่บ่อยครั้ง

ฉู่ชวิ๋นและพวกก็วนไปที่โรงแรมและบ้านพักหลายแห่งแต่ก็ยังไม่เจอที่ที่สามารถเข้าพักได้สักที

“เหมือนว่าคืนนี้พวกเราต้องนอนกันข้างถนนแล้วนะ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแห้งๆ

คิดดูดีๆ แล้ว ตั้งแต่เขากลับมาที่โลก ชีวิตของเขาก็ดูเหมือนจะสุขสบายเกินไปหน่อย นานแล้วที่เขาไม่ได้ทำอะไรที่ลำบากยากเข็ญแบบนี้

“ท่านเจ้าวัง ข้างหน้านี่มีโรงแรมอยู่อีกนะครับ ลองไปดูก่อนไหม?”

เหยียนชงพูดขึ้น

“งั้นก็ดีเลย” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับ

โรงแรมไอซิงไฮ่ เป็นหนึ่งในโรงแรมที่แพงที่สุดของเมือง ทีมของฉู่ชวิ๋นมองเห็นคนที่กำลังก่อจราจลอยู่ข้างหน้าโรงแรม พวกเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่ช่วยกันต่อสู้หลังจากที่โลกเปลี่ยนไป

“เหมือนว่าเราต้องพักที่นี่อีกแล้วสินะ” เหลยเป้าบ่นพึมพัมกับตัวเอง ทีมของเหลยเป้าเคยพักที่นี่มาแล้ว 1 คืน และสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าประตูนั้น คือการต่อสู้กันเพื่อแย่งห้องพักนั้นเอง

….

ในนั้นมี หยานอี้ เจ้าสำนักภูผาทมิฬที่เคยเจอกับฉู่ชวิ๋นเมื่อครั้งบุกถล่มสำนักสวรรค์ฟ้าอยู่ด้วย

สีหน้าของหยานอี้ดูไม่พอใจอย่างมาก เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา เขามองไปยังเบื้องหน้าของตนด้วยความโกรธ

“กลุ่มเทียนหลงเป่า พวกแกมันจะปลิ้นปล้อนเกินไปแล้ว!”

กลุ่มคนกำลังทะเลาะกันด้วยบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้คนมามุงดูกันเยอะมากรวมถึงพวกเขาทั้ง 4 คนด้วย

ชายชราร่างผอม หายใจอย่างรุนแรงและมองมาด้วยสายตาอันบูดบึ้ง

“เสียเวลาจริงๆ ถ้าไม่อยากชิบหาย ไสหัวออกไป!”

คนที่มามุงต่างมองเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างสนุกสนาน พวกเขาไม่สนใจกลุ่มของหยานอี้เลยด้วยซ้ำ

“แกไม่ต้องมาพูดมาก ห้องนั้นเป็นห้องที่พวกเราจอง ทำไมต้องยอมยกให้พวกแกด้วย” ยัยตัวร้ายสวมแจ็คเก็ตสีดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

“ทำไมเหรอ? เพราะว่าพวกเราเป็นกลุ่มเทียนหลงเป่ายังไงละ?” ชายชรามองค้อนกลับมาอย่างดูถูกไปยังหยานอี้

“แค่ครึ่งก้าวสู่ขั้นจักพรรดิ คิดสู้กับฉันงั้นเหรอ? แกมันรนหาที่ตายชัดๆ!”

ในกลุ่มของเทียนหลงเป่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ซิวเหวย อยู่ขั้นปรมาจารย์ระดับ 5 ดวงตาของเขามองไปยังหญิงสาวคนหนึ่งและยิ้มอย่างชั่วร้าย

“สาวน้อย ฉันอยากได้ห้องเธอจะทำไม อ้อๆ แต่เธอมานอนร่วมเตียงกับฉันคืนนี้เธอจะได้มีที่พักนะ แถมอาจจะได้เงินด้วย”

“หน้าด้าน!” หยานอี้ฟิวขาดทันที เขาเดินเข้าไปหาชายปากหมาคนนั้นพร้อมหมัดที่กำเอาไว้แน่น

ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปและหนีเข้าไปในฝูงคนทันที

“หยานอี้ แกอยากจะมีเรื่อง จริงๆ ใช่ไหม!” ชายชราตะโกนด้วยความโกรธ เขาปล่อยฝ่ามือออกไป ร่างของหยานอี้กระเด็นไปกลางอากาศไกลกว่า 100 เมตร!

“ก็แค่จัดการมัน ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้เลย” ชายชราดูถูกเหยียดหยาม ก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงแรม

หยานอี้ที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นจักพรรดิพลิกตัวกลับมาทันก่อนที่จะรับแรงกระแทก นอกจากเขาแล้วคนอื่นๆ ล้วนเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีทางสู้กับอีกฝ่ายได้เลย

แต่ถ้ายอมแพ้ไปทั้งแบบนี้โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย มันไม่ใช่นิสัยของเขา!

คมดาบนับร้อยพุ่งเข้าใส่กลุ่มเทียนหลงเป่าที่กำลังเดินเข้าไปในโรงแรม

คนพวกนั้นเมื่อได้ยินเสียงลมที่ไล่ตามหลังมาจึงอดไม่ได้ที่จะหยุดและหันหลังกลับไป

ฟิ้ว!

รูปปั้นสิงโตทั้งสองตัวที่อยู่หน้าโรงแรมถูกทำลายจากคมดาบที่พลาดเป้าไปในทันที

“จัดการมันซะ!” ชายชราตะโกนออกคำสั่งอย่างโกรธเคือง

“ได้ครับ” ชายที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิของกลุ่มเทียนหลงเป่า ตอบรับคำสั่งของหัวหน้าทันทีและจัดการคนที่ปล่อยคมดาบออกมา

ผู้อาวุโสของกลุ่มหยานอี้กำดาบคู่ใจเอาไว้แน่น ฟาดฟันคลื่นดาบออกไปทั้งแนวตั้งและแนวนอน พุ่งเข้าใส่เป้าหมายที่เป็นชายไม่เจียมตัวคนนี้ทันที

ดาบที่เคลือบพลังลมปราณเอาไว้นั้นแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะผู้อาวุโสเล่ย ที่บรรลุขั้นปรมาจารย์ระดับ 9 ทำให้ชายที่เป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นจักรพรรดิของกลุ่มเทียนหลงเป่ารู้สึกถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาทันที

“พอได้แล้ว!” ชายชรากลุ่มเทียนหลงเป่าตะโกนด้วยความโกรธ เขาหายใจอย่างรุนแรงและน่ากลัว ก่อนที่จะซัดลมปราณเข้าใส่ผู้อาวุโสกลุ่มหยานอี้ จนเขากระอักเลือดออกมา ถ้าอีกฝ่ายไม่ออมมือให้ เขาคงจะตายไปแล้ว

“ผู้อาวุโสเล่ย!!” หยานอี้ ตะโกนออกมา

ชายชราเหยียดมือออกดึงแรงดูดขนาดใหญ่ทำให้หินบนพื้นดินทั้งหมดม้วนตัวขึ้น ก่อนที่จะใช้พลังนั้นล็อกคอของอีกฝ่ายขึ้นมา

“แกไปเรียนวิชาดาบนั้นมาจากที่ไหน?” เขารัดคออีกฝ่ายเอาไว้แน่น

ผู้อาวุโสเล่ยหน้าซีดเซียวไม่มีแรงที่จะทำอะไรตั้งแต่ถูกโจมตีแล้ว เขายิ้มอย่างเย้ยหยันแล้วพูดออกมา “ฉันบอกไปแกก็ไม่กล้าไปเอามาหรอก!”

ชายชราหน้าดุดันคนนี้เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสนใจขึ้นมาทันที “ลองพูดมาซิ ไม่มีที่ไหนที่ฉันคนนี้ไม่กล้าไป!”

“ภูเขาเฉียนหลง ณ คฤหาสน์ตระกูลฉู่” ผู้อาวุโสเล่ยพูดขึ้น

ผู้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้ในไม่มีใครไม่รู้จัก สุดยอดจักพรรดิแห่งคมดาบหรือ จอมมารฉู่ ฉู่ชวิ๋นอาศัยอยู่บนภูเขาแห่งนั้น เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสของกลุ่มเทียนหลงเป่าก็หวาดกลัวและเผลอปลดพลังที่รัดคออีกฝ่ายเอาไว้ออก

ชายชราที่สวมชุดคลุมสีดำในกลุ่มของเทียนหลงเป่ากัดฟันแน่นเมื่อได้ยินชื่อ “ฉู่ชวิ๋น” เขาคนนี้คืออูหมิง เขาถูกฉู่ชวิ๋นซ้อมจนกลัว ต้องทิ้งลูกศิษย์ตัวเองเพื่อหนีตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาถูกใครต่อใครหัวเราะเยาะ สร้างความอับอายให้กับเขาไปตลอดชีวิต

“ฮึ่ม เหมือนฉู่ชวิ๋นจะเลือกลูกศิษย์ได้ตาต่ำนักนะ ถ้าฉันเจอมันอีกหละก็ฉันจะฆ่ามันเอง” อูหมิงพูดออกมาด้วยสีหน้าที่มืดมน

“เหอะ! ตอนเจอหน้าเขาอย่ากลัวจนตัวสั่นซะละ!” หยานอี้เหน็บแหนบอีกฝ่าย

“ยังรนหาที่ตายอยู่อีกรึไง!” อูหมิงวิ่งมาด้วยความโกรธ เขาคือจอมยุทธ์ขั้นจักพรรดิ ผู้คนต่างก็ยำเกรงพอเขาเดินมาทุกคนต้องแหวกทางให้กับเขา

“ถ้าหากมันกล้ามา ฉันจะฆ่ามันเอง!”

“จะเป็นแบบนั้นแน่เหรอ?” เสียงอันนุ่มนวล ลอยตามลมแต่ก็พวกเขาทุกคนก็ได้ยินชัดราวกับเป็นเสียงของฟ้าผ่า

“ใคร?” อูหมิงตกใจจนผมตั้ง เสียงนั้นคุ้นหูเขามาก และเขาไม่มีทางลืมเสียงนี้ไปอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะหลับฝันอยู่ก็ตาม

ทุกคนได้ยินเสียงที่น่าเกรงขามนั้นอย่างชัดเจน

พอทุกคนหันไปมองเห็นฉู่ชวิ๋น อูหมิงก็ตกใจเหมือนกับแมวหางตั้ง

เขาแทบจะกระโดดตัวลอยพร้อมกับวิญญาณที่หลุดออกมาจากร่าง ก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ “ฉะ..ฉะ.ฉู่ชวิ๋น”

“ฉู่ชวิ๋นงั้นเหรอ!!!”

ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นคิดเหมือนๆ กัน จอมมารฉู่ในโลกยุทธภพ เขาเป็นที่รู้จักมากในโลกยุทธภพไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขา

ดวงตาของอูหมิงเบิกกว้าง หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา เขารู้สึกอับอายมาก กล้ามเนื้อของเขาเกร็งไปหมด

ณ ภูเขาเฉียนหลง เขาและเกอหยิงเทียนจับมือกันบุกเข้าไปสู้กับฉู่ชวิ๋น

ผลก็คือเกอหยิงเทียนถูกฉู่ชวิ๋นพาดด้วยไม้สีทองจนแหลก สถานการณ์ในตอนนั้นเหมือนกับฝันร้ายสำหรับเขา แค่คิดถึงคำพูดของ

ฉู่ชวิ๋นในตอนนั้นเขาก็อยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว อูหมิงคิดว่าฉู่ชวิ๋นเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักพรรดิที่น่ากลัวที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!

“แกคือจอมมารฉู่อย่างงั้นรึ?” ชายชราที่พึ่งจะปล่อยผู้อาวุโสเล่ยมองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างไม่เว้นละ พร้อมกับถามออกมา

ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร “ปล่อยพวกเขาไป ถ้าอยากจะดวลดาบ เดี๋ยวฉันจัดให้”

เขาไม่ได้เมินสิ่งที่ชายชรากำลังทำเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าสำนักภูผาทมิฬ” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปใกล้ พร้อมปล่อยพลังลมปราณสีม่วงห่อหุ้มร่างกายของอีกฝ่าย รักษาอาการเหนื่อยล้าทั้งหมดไป

ตอนที่หยานอี้ปกป้องพ่อแม่ของเขาที่ภูเขาเซวียนฉี เขาไม่มีวันลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย

ดวงตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนของหยานอี้เป็นประกายขึ้นมา พอเขาได้รับลมปราณสีม่วงของฉู่ชวิ๋น บาดแผลของเขาก็หายในทันที

“ผ่านไป 10 กว่าปีแล้วท่านฉู่ก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ” ตอนนั้นฉู่ชวิ๋นบุกทำลายสำนักสวรรค์ฟ้าและแม้แต่ภูเขาเซวียนฉีก็ถูกทำลายเช่นกัน

ทุกคนคิดว่าฉู่ชวิ๋นตายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาแถมยังแข็งแกร่งกว่าเดิม แม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิหลายคนเขาก็ยังเอาชนะมาได้

“เจ้าสำนักหยานไม่ต้องสุภาพหรอกครับ เรียกผมว่าฉู่ชวิ๋นเหมือนเดิมเถอะ สิ่งที่ท่านช่วยผมไว้ ผมไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน” พูดจบเขาคำนับหยานอี้อย่างนอบน้อม

ตอนที่เขาสูญเสียพลังลมปราณไป เขาเอาแต่ฝึกวิชากับจักพรรดิอ๋าวฮวง นานกว่า 15 ปี เลยไม่มีโอกาศได้กล่าวขอบคุณหยานอี้กับพวกอย่างจริงใจเลยสักครั้ง

พรรคพวกของหยานอี้ไม่ใช่คนที่เอารัดเอาเปรียบใคร พวกเขาต่างก็พยักหน้าและยิ้มให้กับฉู่ชวิ๋นอย่างอบอุ่น

ยัยตัวร้ายมองฉู่ชวิ๋นด้วยสีหน้าอันว่างเปล่าก่อนที่จะเอะใจได้ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เธอก้มหัวให้

“ใช่ เธอเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบาๆ

“ถ้าเปลี่ยนไปเดี๋ยวนายจะจำฉันไม่ได้หน่ะสิ”

เธอรู้ว่าหัวใจของฉู่ชวิ๋นอยู่กับฮวาชิงหวู่แล้วแต่เธอก็อยากสนิทกับเขามากกว่านี้ ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทีแปลกๆของหญิงสาวนัก เขาถามต่อไปว่า “แล้วไปทำอีท่าไหนถึงมีเรื่องกับพวกเทียนหลงเป่าหละ?”

หยานอี้ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกระซิบให้ฉู่ชวิ๋นฟัง

สรุปว่ามันเป็นเรื่องของการแย่งที่พักกัน ปัญหาเรื่องที่พักของเมืองแห่งนี้มีมานานแล้ว ผู้คนต้องสู้กันเพื่อแย่งห้องพักสบายๆ พวกเทียนหลงเป่าจึงปล้นที่พักของพวกเขาไป

หยานอี้ยิ้มอย่างขมขื่ “มันก็แค่ที่พักน่ะนะ แต่ที่สำคัญคือไอ้พวกนั้นมันเอาไปแล้ว”

“เข้าใจแล้ว” ฉู่ชวิ๋นเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่แล้ว คนที่แข็งแกร่งกว่าจะได้รับการยอมรับ กฏหมายของเมืองแห่งนี้เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ทุกคนจึงตัดสินกันด้วยกำลัง

“ให้ฉันจัดการเอง” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปหาชายชรา อีกฝ่ายยังคงล็อกตัว

ผู้อาวุโสเล่ยเอาไว้ ฉู่ชวิ๋นจึงขมวดคิ้ว “ฉันบอกให้ปล่อย แกไม่ได้ยินหรือไง?”

ชายชราของกลุ่มเทียนหลงเป่ามองกลับมาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง นิ้วทั้ง 5 หดลงเล็กน้อย สีหน้าของผู้อาวุโสเล่ยดูทรมานขึ้นมาในทันที

“ฉู่ชวิ๋น แกควรจะเข้าใจสถานการณ์ให้มากกว่านี้ ถ้าแกยังกล้าออกคำสั่งกับฉันอีกละก็ ฉันจะฆ่าตาเฒ่าคนนี้ทิ้งทันที”

“แกเป็นใครกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วแน่น

“ผู้อาวุโสที่สองของกลุ่มเทียนหลงเป่า ไฉเยวียน” ชายชราพูดอย่างภาคภูมิใจ

“ไฉเยวียน ถ้าเขาตาย ฉันจะฆ่าล้างกลุ่มเทียนหลงเป่าทิ้งซะ” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นแฝงไปด้วยความอุกอาจและน่ากลัว

“อ๊ากก…!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องออกมาด้วยความกลัว

ทันทีที่ได้ยิน ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็รีบทิ้งระยะห่างออกไปทันทีเพื่อความปลอดภัยของชีวิต

เป็นเหลยเป้า! เขากำลังแบกชายหนุ่มผู้ซึ่งหลอกล้อยัยตัวร้ายเมื่อกี้นี้

อูหมิง ที่กำลังกลัวกับการปรากฏตัวของฉู่ชวิ๋น ถูกดึงดูดจากการสนทนาระหว่างฉู่ชวิ๋นและไฉเยวียน ทำให้ลืมคุ้มกันชายหนุ่มข้างๆ

ส่วนเหลยเป้าที่แอบย่องเข้าไปใกล้ๆ ก็จับชายหนุ่มไว้ด้วยความเร็วแสง

“ผู้อาวุโสไฉ ช่วยด้วย” ชายหนุ่มตะโกนด้วยความกลัวสีหน้าของไฉเยวียนเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นชายหนุ่มคนนั้นถูกล็อคเอาไว้ ชายคนนี้เป็นเหมือนกับลูกชายที่เลี้ยงดูมา สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด

“ฉู่ชวิ๋น ปล่อยเขาไป” แม้ไฉเยวียนจะควบคุมสติเอาไว้ได้ แต่เสียงของเขาในตอนนี้เยือกเย็นไปจากเดิมมาก

ฉู่ชวิ๋นมองกลับไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

สีหน้าของไฉเยวียนนั้นมืดลงในทันที ไม่พูดอะไรต่อเขาปล่อยมือที่กำลังใช้พลังลมปราณบีบคอผู้อาวุโสเล่ยลงทันที

เขาไม่กล้าจะเสี่ยงกับคนบ้าฉู่ชวิ๋น

“ขอบคุณมากครับ ผู้อาวุโส” ชายหนุ่มยิ้มออกมา เพราะคิดว่ารอดแล้ว

เขาฉลาดมากและรู้วิธีลดท่าทางของเขาลง

เหลยเป้าแปลกใจที่เห็นความอดทนอดกลั้นในยามคับขันของชายหนุ่ม

ผู้เหลาะแหละคนนี้

และเหลยเป้าของมองไปยังฉู่ชวิ๋นเพื่อขอความเห็น

“ทำลายจุดตันเทียนมันซะ” ฉู่ชวิ๋นพูด

“แกกล้าดียัง…” ไฉเยวียนกำลังจะพูดแต่เขาก็ตกใจตัวค้างเพราะไม่ทันแล้ว….

“อ๊าก!” ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างทรมาน

เหลยเป้าไม่ลังเลทำลายจุดตันเทียนของชายหนุ่มทันที

“ร้องทำไม แกอยากตายหรือไง?” ฉู่ชวิ๋นบอกกับชายหนุ่มคนนั้นร้องที่เหมือนหมูเหมือนหมา สีหน้าของเขานั้นดูเจ็บปวดมาก ร่างกายสั่นเทา แต่ก็ไม่กล้าที่จะเปร่งเสียงอะไรออกมาอีก

เขาเห็นว่า ยัยตัวร้าย โดนลวนลามทางคำพูดการที่ยังไว้ชีวิตอีกฝ่ายนั้นถือว่าใจดีมากแล้ว

เหลยเป้าโยนชายหนุ่มคนนั้นกลับไปให้ตาแก่ทันที “เอามันคืนไป!”

ไฉเยวียนรับร่างของชายหนุ่มเอาไว้แล้วตรวจสอบอาการบาดเจ็บอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

“ฉู่ชวิ๋น แกต้องชดใช้ด้วยเลือด! ฉันจะมอบความเจ็บปวดที่เกินกว่าจะทนไหวให้กับแก แกต้องทนทุกข์ทรมานราวกับถูกไฟเผาทั้งเป็น…”

คำสาปแช่งของไฉเยวียนนั้นดูน่ากลัวและน่าขนลุกเป็นอย่างมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+