จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 376 การต่อสู้ยามราตรี

Now you are reading จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) Chapter 376 การต่อสู้ยามราตรี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 376 การต่อสู้ยามราตรี

เมื่อโคมไฟถูกเปิด ยามราตรีก็คืบคลานเข้ามาแล้ว

ชายฉกรรจ์ 10 คนในเสื้อคลุมสีดำปรากฏกายขึ้น พวกมันไม่ปกปิดการมาถึงของตนเอง พวกมันก้าวเดินเข้าสู่สำนักภูผาทมิฬด้วยความจองหอง

“คนของตระกูลฉู่ ไสหัวออกมาให้หมด” น้ำเสียงอันหยาบคายตะโกนก้องกังวานทั่วสำนักภูผาทมิฬ

พรึบ!

แสงไฟสปอร์ตไลท์พลันถูกเปิดสว่างเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน ทำให้ทั่วทั้งสำนักภูผาทมิฬสว่างไสวราวกับเป็นตอนกลางวัน

หยานอี้ ถางโร้ว จิ่วโยวและคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว

“ประตูวิญญาณสลาย พวกแกโอหังมากเกินไปแล้วนะ” หยานอี้คำรามด้วยความโกรธแค้น

หนึ่งในสิบของวกชุดดำไม่ได้ลงมาอยู่บนพื้นดิน แต่มันยืนอยู่บนยอดหลังคา สายตาจับจ้องมาที่สำนักภูผาทมิฬด้านล่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามขณะพูดว่า “พวกแกต้องขอบคุณเรามากกว่านะที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ ถ้าพวกฉันไม่เมตตาปราณี พวกแกได้ตายไปตั้งแต่แรกกันหมดแล้ว”

“แกมีความสามารถขนาดนั้นจริงเหรอ?” หงหลิงหัวเราะเยาะ

ผู้ที่ยืนอยู่บนหลังคามีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 มันจ้องมองหงหลิง ดวงตาเป็นประกายหื่นกาม

“ฉันใจอ่อนกับสาวงามเสมอ เธอกับผู้หญิงทุกคนจะถูกไว้ชีวิต ฉันกับลูกน้องอยู่ที่นี่มาหลายวัน พวกเธอจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา”

จอมยุทธ์ระดับจักรพรรดิอีก 9 คนซึ่งยืนอยู่บนพื้นดินจ้องมองหน้าหงหลิง กับถางโร้ว ดวงตาของพวกมันแวววาวด้วยความปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ไม่ได้อีกแล้ว

“หัวหน้าครับ คนนี้ผมขอได้ไหม?” หนึ่งในชายฉกรรจ์ชี้มือไปที่ยัยตัวร้าย

“ผมอยากได้เด็กผู้หญิงคนนั้น ผมชอบกินหญ้าอ่อน” อีกคนหนึ่งยกมือชี้ไปที่จิ่วโยว

“คนที่ชอบเด็กแบบนี้ แสดงว่าตรงส่วนนั้นต้องเล็กแน่นอน” อีกคนหนึ่งหัวเราะเยาะ

“ไปถามแม่แกดูสิ ยังไงฉันก็ใหญ่กว่าแกก็แล้วกัน ไม่เชื่อก็ลองดู” ชายฉกรรจ์ที่โดนล้อเลียนตวาดกลับมาพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะ

“เมื่อเทียบกับ…”

จอมยุทธ์เหล่านี้กล่าววาจาสามหาว พ่นถ้อยคำหยาบคายไม่เกรงใจผู้ใด เหมือนกับมองไม่เห็นพวกของหยานอี้อยู่ในสายตา

“ตามสบาย ใครอยากได้ใครก็ตกลงกันเองเถอะ” หัวหน้ากลุ่มจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ชำเลืองมองไปที่ถางโร้ว พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “ว่ากันว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนรักของฉู่ชวิ๋น พวกเราควรพาเธอกลับไปด้วย มาพิสูจน์กันเถอะว่าผู้หญิงของจอมมารฉู่ชวิ๋นจะดีเลิศกว่าพวกนางบำเรอสักเท่าไหร่กันเชียว?”

“งั้นผมขอจับเด็กผู้หญิงคนนี้ก่อนก็แล้วกัน” ชายฉกรรจ์ที่หมายตาจิ่วโยวเอาไว้ระเบิดเสียงหัวเราะ ตัวมันมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับจิ่วโยว หลังจากนั้น มันก็ย่างสามขุมตรงเข้าไปหาเด็กหญิงพร้อมกับถือธนูคันใหญ่เข้าไปด้วย

“เจ้าเศษเดนมนุษย์ แกเป็นใครมาจากไหน? ฉันจะแต่งงานกับฉู่ชวิ๋นคนเดียวเท่านั้น” จิ่วโยวพูดด้วยความเดือดดาล ร่างน้อยๆ ของเธอกระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้รวดเร็วเหมือนสายฟ้าฟาด

ชายฉกรรจ์ไม่ได้หลบหลีกแม้แต่น้อย มันหัวเราะลั่น อ้าแขนออกกว้างด้วยความชอบใจ “มามะ เดี๋ยวลุงจะรักหนูเอง”

วูบ!

ลำแสงสีทองเป็นประกายสว่างไสว กระบองช่อหนามปรากฏขึ้นในมือของเด็กหญิง

ชายฉกรรจ์ตกตะลึงไปเล็กน้อย รูปลักษณ์ของกระบองช่อหนามทำให้มันขนลุกเกรียวและเย็นวาบไปทั่วกาย

ควับ!

แต่มันก็เคลื่อนไหวช้าไปหนึ่งก้าว กระบองช่อหนามตวัดเข้ามาทุบทะลุม่านพลังที่ห่อหุ้มร่างกายและปักสวบเข้าไปที่หน้าอกอย่างจัง

จิ่วโยวดึงกระบองกลับไป เลือดเป็นสายฉีดพุ่งในอากาศ

ชายฉกรรจ์หวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ถ้าจิ่วโยวฟาดกระบองช่อหนามเข้ามาอีก เขาคงต้องตกตายเป็นแน่แท้

“ถ้าฆ่าแกตายเลยมันจะน่าเสียดายเกินไป เอาเป็นว่าฉันจะเจาะตัวแกซักสองสามร้อยรูก่อนก็แล้วกัน” จิ่วโยวตวัดกระบองช่อหนามและพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ชายฉกรรจ์ร้องคำราม พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่าง พร้อมต่อสู้ชี้ชะตากับจิ่วโยว

“ฆ่าทุกคนให้หมด เหลือแค่ผู้หญิงเอาไว้ก็พอ” หัวหน้ากลุ่มที่ยืนอยู่บนหลังคาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฆ่ามัน!”

แล้วผู้เป็นบริวารของมันก็พุ่งเข้าใส่คนของสำนักภูผาทมิฬตามคำสั่งทันที

“พวกแกตายซะเถอะ!”

หยานอี้ร้องตะโกน พวกของถางโร้วพลันวิ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

ดวงตาของผู้ที่ยืนอยู่บนหลังคาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมันพบเห็นว่าในมือของพวกหยานอี้ปรากฏอาวุธลึกลับขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เมื่อมีอาวุธลึกลับอยู่ในมือ หยานอี้และคนอื่นๆ ก็ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ

ฟู่!

หยานอี้ฟันดาบเข้าใส่ร่างกายของคู่ต่อสู้ เกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เลือดฉีดพุ่งเหมือนน้ำพุ

ควับ!

ดาบคู่ธรณีในมือของหงหลิงมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงมาก สามารถแทงทะลุม่านพลังที่ห่อหุ้มร่างกายคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย คมดาบตวัดฟันเข้าใส่ต้นขาของฝ่ายตรงข้าม เลือดสาดกระจาย

ฟู่! ฟู่!

ยัยตัวร้ายตวัดค้อนในมือ สายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงเข้าใส่ร่างกายชายฉกรรจ์ผู้เป็นคู่ต่อสู้ ร่างของมันไหม้เกรียม มีควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมา

ดาบในมือของถางโร้วก็เป็นประกายแวววาวในขณะที่ฟาดฟันเข้าใส่หัวไหล่ของฝ่ายตรงข้าม

แต่ผู้ที่ลงมือด้วยความรุนแรงโหดร้ายที่สุดกลับเป็นจิ่วโยว กระบองช่อหนามของเธอเป็นประกายสีทองเรืองรองในขณะที่ตวัดวูบวาบ

คู่ต่อสู้ของเด็กหญิงไม่มีโอกาสได้ร้องครวญครางด้วยซ้ำ ร่างของมันก็มีเลือดไหลโชกออกมาจากรูหลายสิบรูด้วยฤทธิ์ของกระบองช่อหนาม

ไม่ว่าผู้ใดตกเป็นเป้าหมายของจิ่วโยว มันผู้นั้นจะต้องตกตาย

จิ่วโยวเป็นฝ่ายเล่นงานอยู่แต่เพียงข้างเดียว ร่างคู่ต่อสู้ของเธอเต็มไปด้วยรูพรุน เมื่อจัดการเป้าหมายนี้ได้แล้ว เด็กหญิงก็ควงกระบองพุ่งเข้าใส่สมาชิกของประตูวิญญาณสลายคนอื่นๆ จนกระดูกแตกหักไปอีกหลายคน

คนจากประตูวิญญาณสลายหน้าถอดสีกันไปหมดแล้ว และส่วนใหญ่ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้วด้วยซ้ำ

หัวหน้ากลุ่มผู้ยืนอยู่บนหลังคามีแววตาเป็นประกายดุร้าย สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไป

บรรดาชายฉกรรจ์ผู้บาดเจ็บทั้งตื่นกลัวและมึนงงสับสน ไม่เข้าใจเลยว่าฝ่ายตรงข้ามไปเอาอาวุธลึกลับมาจากไหน

“พวกเราถอย!”

หัวหน้ากลุ่มออกคำสั่งให้ทุกคนล่าถอย ตัวมันเองกระโดดลงจากหลังคายิงพลังลมปราณตรงไปที่ถางโร้ว คราวนี้มันลงมือด้วยความรุนแรงอำมหิต ไม่สงสารสาวงามอีกแล้ว

ถางโร้วสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ตื่นกลัว

พลังของหัวหน้ากลุ่มฝ่ายตรงข้ามน่าตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

แต่ขณะที่พลังลมปราณพุ่งเข้าใส่ถางโร้ว ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็ถูกยิงเข้ามาปะทะกลางอากาศ พลังลมปราณของหัวหน้ากลุ่มผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 แตกสลายไปในพริบตา ซ้ำยังส่งแรงกระแทกดีดสะท้อนกลับไปจนร่างของมันหมุนคว้างกระเด็นออกไป

เมื่อร่างของมันตกลงมาถึงพื้น หัวหน้ากลุ่มก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เหล่าบริวารผู้บาดเจ็บก็ลุกขึ้นตามไปสมทบกับ

แต่แล้วบริวารทั้ง 9 คนของมันกลับเห็นว่าผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม วิ่งหนีไปคนเดียวโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น

“ผู้อาวุโสเปา ช่วยพวกเราด้วย” หนึ่งในบริวารร้องตะโกนด้วยความตื่นกลัว

เปาเทียนเซียนไม่เหลียวหน้ามองกลับไปเลย ใครจะโง่กลับไปช่วยพวกแกกัน? ที่นี่น่ากลัวขนาดนี้ เมื่อสบโอกาสมีใครบ้างไม่คิดหลบหนีเอาตัวรอด?

หลังจากนั้น ร่างของมันก็กระโดดขึ้นๆ ลงๆ หายลับไปแล้วด้วยความรวดเร็วยิ่ง

พลัน ร่างของฉู่ชวิ๋นก็มาปรากฏตัวขึ้นที่ลานหน้าสำนัก

“พี่ฉู่ชวิ๋น เขาหนีไปแล้วค่ะ” ถางโร้วร้องบอก

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “ฝากจัดการที่นี่ด้วย เดี๋ยวฉันไปจัดการมันเอง”

พี่ฉู่ชวิ๋นอย่างนั้นหรือ?

สีหน้าของคนจากประตูวิญญาณสลายแปรเปลี่ยนไปทันที พวกมันจ้องมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพรั่นพรึง

ฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋น

โลกนี้มีใครบ้างไม่รู้จักชื่อของเขา?

พวกมันมีสีหน้ามึนงงสับสน ส่วนใหญ่ตั้งสติทำอะไรไม่ถูก รู้เพียงอย่างเดียวว่าตนเองคงชะตาถึงฆาตแล้ว และในขณะนี้ จอมมารฉู่ชวิ๋นกลับมา!

ฉู่ชวิ๋นเพียงกวาดตามองพวกมันเล็กน้อย ร่างของเขาก็หายวับไป

เปาเทียนเซียนใช้วิชาตัวเบารีบเร่งเดินทาง ระหว่างนั้นก็เหลียวมองระวังหลังตลอดว่ามีผู้ใดแอบติดตามมาหรือไม่

ครึ่งชั่วโมงต่อมา มันก็กลับมาถึงโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกู่เจียง เปาเทียนเซียนระมัดระวังตัวอย่างยิ่งยวด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดแอบติดตามมาแล้วจริง ๆ มันถึงได้เดินเข้าสู่ตัวโรงแรม

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ ประตูวิญญาณสลายอวดดีจริงๆ ถึงกับกล้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่

ชั้นบนสุดของตัวโรงแรม ประตูวิญญาณสลายได้เหมาเอาไว้ทั้งชั้น

เปาเทียนเซียนเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องหนึ่งและยกมือเคาะประตู

ประตูเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายชราคนหนึ่งที่ดูจะตกตะลึงไม่น้อยเมื่อพบว่าเปาเทียนเซียนกลับมาในสภาพเลือดเต็มตัว

“ท่านบาดเจ็บหรือ?”

เปาเทียนเซียนสับเท้าเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งนั่งหน้าสลอนด้วยผู้อาวุโสของสำนักที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 อีก 4 คน

“เปาเทียนเซียน ท่านไม่ได้ไปที่สำนักภูผาทมิฬหรอกหรือ? ทำไมถึงได้บาดเจ็บกลับมาแบบนี้?” หนึ่งในผู้อาวุโสถามกลับมา

เปาเทียนเซียนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง หยิบขวดหยกขาวออกมาจากอกเสื้อ และเทผงยาสีแดงใส่บาดแผลของตนเอง

“สำนักภูผาทมิฬตอนนี้น่ากลัวมาก แม้แต่ฉันก็ยังเกือบเอาตัวไม่รอด” เปาเทียนเซียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“น่ากลัวมาก?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งทวนคำด้วยความไม่อยากเชื่อ

ดวงตาของเปาเทียนเซียนสั่นไหวก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ปอดฉันบาดเจ็บตอนที่ถูกพลังลมปราณซัดใส่จนร่วงลงมากลางอากาศ”

ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึงทันที

ผู้ที่จะสามารถซัดพลังใส่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 อย่างเปาเทียนเซียนให้ร่วงกลางอากาศได้ จะต้องมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ขึ้นไปเท่านั้น

แต่พวกเขาเคยไปบุกโจมตีสำนักภูผาทมิฬมาแล้วหลายครั้งหลายหน ก็ไม่เคยเจอคนที่มีพลังฝีมือน่ากลัวขนาดนั้นมาก่อน

“ผู้อาวุโสเปา ไหนบอกมาสิว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไงกันแน่?” อีกคนหนึ่งถามขึ้นมา

เปาเทียนเซียนจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักภูผาทมิฬให้ทุกคนฟัง

“หมายความว่าพวกมันมีอาวุธลึกลับอยู่ในมืออย่างนั้นหรือ?”

เปาเทียนเซียนพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายเจ็บแค้น

มันพูดว่า “สงสัยพวกสำนักภูผาทมิฬคงไปตามใครสักคนมาช่วยเหลือ”

ผู้อาวุโสอีกสี่คนพยักหน้า หนึ่งในนั้นพูดว่า “ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยไปก็ไม่เจอคนที่น่ากลัวระดับนี้ ดูท่าแล้วคนผู้นี้คงมีฝีมือไม่ใช่ธรรมดา”

“แต่จอมมารฉู่ชวิ๋นหายตัวไปสามปีแล้ว เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยของปราสาทจตุรเทพก็ยุ่งอยู่กับการรับมือกองทัพผีดิบ แล้วใครกันที่จะมาช่วยสำนักภูผาทมิฬได้ล่ะ?”

“หรือว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นจะกลับมาแล้ว?”

หนึ่งในผู้อาวุโสพูดด้วยความตื่นตระหนก

เปาเทียนเซียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าจอมมารฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้วจริง ๆ มันคงไม่ยอมปล่อยให้ฉันหนีรอดออกมาแบบนี้”

ขาดคำ หนึ่งในผู้อาวุโสก็หน้าเปลี่ยนสี ร่ำร้องด้วยความร้อนรน “เจ้าโง่ แกโดนหลอกแล้ว คนผู้นั้นจะต้องเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นแน่นอน ถ้าเป็นคนอื่นที่สำนักภูผาทมิฬตามตัวมาช่วยเหลือจริง ๆ พวกมันจะเอาอาวุธลึกลับมาจากไหน? ที่จอมมารฉู่ชวิ๋นไม่ฆ่าแก ก็เพราะอยากจะสะกดรอยตามแกกลับมาหาพวกเราต่างหาก”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็พากันหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน จะมีผู้ใดกล้าเมินเฉยต่อชื่อเสียงของจอมมารฉู่ชวิ๋นบ้าง? เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขา ทุกคนก็หวาดกลัวขนหัวลุกแล้ว

แต่เปาเทียนเซียนยังคงมีสีหน้ามั่นใจอยู่เช่นเดิมขณะตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ฉันกลับมาที่นี่ ฉันระมัดระวังตัวที่สุด ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมาจริงๆ”

ผู้อาวุโสอีก 4 คนได้รับฟังดังนั้นก็โล่งอกมากขึ้น เปาเทียนเซียนมีพลังฝีมือไม่ธรรมดา เมื่อเขาบอกว่าไม่มีใครตามมา ก็หมายความว่าไม่มีใครตามมาจริงๆ

“ไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นจริงหรือไม่ แต่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เราควรรีบหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”

คนที่เหลืออยู่ได้รับฟังก็คิดว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าเห็นด้วย

“แจ้งเตือนทุกคนให้รีบอพยพกันเดี๋ยวนี้ และต้องออกผ่านทางประตูหลังเท่านั้น” หนึ่งในผู้อาวุโสกล่าว

ทุกคนพยักหน้า เมื่อตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย พวกมันก็แยกย้ายกันไปเคาะประตูห้องแจ้งเตือนบริวานให้รีบอพยพย้ายที่พัก

ประตูด้านหลังโรงแรมเปิดกว้าง กลุ่มคนกว่า 40 ชีวิตเดินออกมา

“นี่พวกเรากลัวกันเกินไปหรือเปล่า?” เปาเทียนเซียนผู้บาดเจ็บอดบ่นออกมาไม่ได้ “ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่จอมมารฉู่ชวิ๋น แต่เป็นยอดฝีมือที่สำนักภูผาทมิฬจ่ายเงินจ้างมา มันคงไม่ตามมาถึงที่นี่หรอก เลิกตื่นตูมกันได้แล้ว”

“ยามต่อเรือต้องระวังรูรั่ว รู้จักปลอดภัยไว้ก่อนเป็นยอดขุนพล เราระมัดระวังตัวกันแบบนี้แหละดีแล้ว” ผู้อาวุโสขั้นจักรพรรดิระดับ 8 คนหนึ่งกล่าว

กลุ่มบริวารของพวกมันเดินออกมาทางประตูหลังของโรงแรม ก่อนที่จะปีนข้ามกำแพง กระโดดเข้าสู่ตรอกแคบที่มืดมิด

ทันใดนั้น บริวารที่เดินนำหน้าพลันหยุดเท้ากะทันหัน คนที่เดินตามหลังไปไม่ทันตั้งตัวจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของมันเข้าเต็มแรง อดไม่ได้ต้องดุด่าออกมาอย่างอารมณ์เสีย

เปาเทียนเซียนทั้งบาดเจ็บทั้งโกรธแค้นทั้งเดือดดาล คำรามออกไปว่า “พวกแกเดินดีๆ ไม่เป็นหรือไง มัวยืนเฉยกันอยู่ทำไม?”

ไม่มีใครตอบคำใด ทุกสายตาจ้องมองเข้าไปที่ตรอกมืดเป็นตาเดียว

เปาเทียนเซียนเดินแหวกกลุ่มบริวารไปข้างหน้า หรี่สายตาเพ่งมองออกไป จึงได้พบว่าบริเวณทางเข้าตรอกมีร่างของใครคนหนึ่งยืนขวางเอาไว้

ท้องฟ้ามืดมิด ตรอกแคบก็มืดมิด แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ก็มองอะไรไม่เห็น

แต่พวกมันรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูไม่ใช่มิตร ทุกคนตื่นตัวขึ้นทันที

“แกเป็นใคร?” เปาเทียนเซียนถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

“พวกแกรีบร้อนจังเลยนะ จอมมารอุตส่าห์มาหาถึงที่จะรีบหนีไปไหนกัน”

เสียงทุ้มต่ำที่ตอบกลับมา ทำให้คนของประตูวิญญาณสลายถึงกับเย็นวาบไปทั่วกาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด