สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่

บทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่

ลู่อี้เอนกายพลางหลับตาลงบนเกวียนวัว ร่างกายของเขาเอนเอียงไปมาดุจน้ำในแก้วที่กวัดแกว่ง

มู่ซืออวี่จ้องมองพลางคลุมร่างกายของลู่อี้ด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ในมือนาง จากนั้นจึงนำเศษผ้าราวสองสามผืนยัดข้างกายเขาเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายชนเสาของเกวียนวัว

ตุบ! เกวียนวัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

มู่ซืออวี่เซเข้าไปในอ้อมแขนของลู่อี้

เมื่อได้กลิ่มหอมอันเจือจางของสบู่ รู้สึกถึงแผ่นอกที่แข็งกระด้างและเสียงหัวใจเต้นระรัว มู่ซืออวี่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทำได้เพียงถอยกลับไปอย่างเชื่องช้า

ขนตาของลู่อี้สั่นไหว คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย นิ้วมือเอื้อมจับสัมภาระที่อยู่ด้านข้าง

เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของหญิงสาว ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับเครื่องหอมที่นางชื่นชอบ

นางเป็นหญิงที่มีเสน่ห์และดึงดูด ผมของนางส่งกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ เสื้อผ้าก็มีกลิ่นหอมแบบเดียวกันปะปนอยู่ด้วย

แรงกระแทกจากเกวียนวัวทำให้ริมฝีปากของนางปัดป่ายไปทั่วแผ่นอกของเขา อีกทั้งยังทิ้งรอยเฉอะแฉะเอาไว้

นุ่มมาก!

ริมฝีปากของนางนุ่มละมุนดุจเค้กข้าวที่นางทำขึ้นครั้งก่อน

มู่ซืออวี่ก้มตัวลงก่อนจะแอบเงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อเห็นว่าลู่อี้ยังไม่ตื่นจากการหลับใหล นางก็รู้สึกโล่งใจ

ทว่าเกิดแรงกระแทกจากเกวียนวัวอีกครั้ง

แขนทั้งสองข้างของนางหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุง ร่างกายของนางแนบชิดกับลู่อี้ทันที

ใบหน้าของมู่ซืออวี่ประกบอยู่บนตักของเขา นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่าน แก้มจึงพลันแดงระเรื่อ นางรีบถอยกลับด้วยความรู้สึกเขินอาย เอนกายลงนั่งที่มุมหนึ่งของเกวียนวัว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลืมตาตื่นแล้วจ้องมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ มู่ซืออวี่ก็ตื่นตระหนก อธิบายอย่างเขินอาย

“ขออภัย… ข้า… ข้าเพียงอยากปกป้องเจ้าก็เท่านั้น”

ความประหลาดใจฉายแววชัดยิ่งขึ้นในดวงตาของลู่อี้ เขากลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

บรรยากาศในตอนนี้ค่อนข้างน่าอึดอัด มู่ซืออวี่เหลือบมองลู่อี้ เมื่อเห็นว่าเขาหลับตาลงอีกครั้ง นางก็รู้สึกโล่งใจในทันที

หรือว่า…

เขายังคงสับสนอยู่ใช่หรือไม่?

นางควรตระหนักได้ว่าใบหน้าของตนแสดงความเขินอายออกมามากเพียงใดในตอนนี้

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” เสียงของมู่ต้าหนิวดังขึ้นจากด้านหน้า “ถนนเส้นนี้มีแต่ก้อนกรวดขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีหลุมบ่อนับไม่ถ้วน”

“ไม่เป็นอะไร” มู่ซืออวี่กล่าว “ต้าหนิว ขับให้ช้าลงอีกนิดเถิด เราไม่ได้รีบร้อนอะไร”

ลู่อี้ไม่เอ่ยสิ่งใดเลย ท่าทีของเขาดูง่วงงุนอย่างมาก

มู่ซืออวี่ค่อย ๆ รู้สึกผ่อนคลาย เปลือกตาของนางเริ่มหนักขึ้นเพราะความง่วง จึงเอนกายลงทันที

เมื่อนางตกสู่ห้วงแห่งความฝัน ดวงตาที่หลับอยู่ของลู่อี้ก็เปิดขึ้น

เขาลุกขึ้นพลางเหยียดแขน จากนั้นจึงเอนกายพิงผนังเกวียนวัว วางศีรษะมู่ซืออวี่ไว้บนตักของเขา

เขานำเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่มู่ซืออวี่เคยคลุมตัวให้มาคลุมตัวนาง

จิ๊บ จิ๊บ…

เสียงนกร้องปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากหลับใหล

เมื่อนางลืมตาขึ้นก็พบว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีครามแล้ว แสงแรกของวันกำลังจะปรากฏ ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เฉิดฉายสู่ท้องนภาอันกว้างใหญ่

“ดวงอาทิตย์ขึ้น” นางลุกขึ้นนั่งทันทีพลางจ้องมองไปยังชายที่อยู่เคียงข้าง

ชายผู้นั้นตะโกนลั่นพลางจ้องมองนางด้วยความสับสน “เกิดสิ่งใดขึ้น?”

“ดูนั่นเถิด…” มู่ซืออวี่จ้องมองบนท้องฟ้าอย่างมีความสุข “ดวงอาทิตย์ขึ้น! งดงามมาก”

ลู่อี้จ้องมองไปยังทิศทางที่นางชี้

ไม่รู้ว่าความคิดของนางเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่ดวงอาทิตย์ที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ช่างงดงาม

แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็นดวงอาทิตย์ แต่สภาพจิตใจของนางในเวลานี้แตกต่างออกไป

มู่ซืออวี่ดูแปลกไปจากเดิม นางได้เดินทางเข้าไปในเมืองหลายครั้ง แต่ครั้งแรกที่เดินทางเข้ามานางไม่ได้สังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ ครั้งที่สองและสามก็เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความกังวล แต่วันนี้นางนั่งอยู่บนเกวียนวัว มองเห็นความงดงามของดวงอาทิตย์ขึ้นในยามที่ลืมตาตื่นชัดเจน ช่างเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยาก

“วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่”

มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นพลางหลับตา เพลิดเพลินไปกับแสงแดดที่สาดส่องลงมา

ลู่อี้จ้องมองนาง “หากเจ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยก็หยุดพักเสียก่อนเถิด”

“ไม่เหนื่อย ข้าไม่เหนื่อย” มู่ซืออวี่โบกมือ “ข้าชอบวิถีชีวิตเช่นนี้”

“นี่สำหรับเจ้า” ลู่อี้หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากแขนเสื้อของเขา

“นี่เป็นเพียงเศษเงิน ข้าได้มาจากผู้ใจบุญเมื่อวานนี้”

มู่ซืออวี่เทเงินในกระเป๋าทั้งหมดออกมานับ

นี่เป็นเพียงเศษเงินอย่างที่เขาบอก บางเหรียญมีราคาหนึ่งตำลึง บางเหรียญมีราคาน้อยกว่าหนึ่งตำลึง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นราว ๆ 2 ตำลึง

“อันที่จริงครอบครัวเราก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน เจ้าอย่ากดดันตัวเองมากนักเลย”

นางทำได้เพียงพูดในสิ่งที่สมควรพูดเท่านั้น ไม่อาจกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขาไม่มีความสุข

ดังนั้นนางจึงต้องบอกเขาว่าครอบครัวไม่ได้ขาดแคลนเงิน หากมีบางสิ่งที่ปฏิเสธได้ก็สมควรปฏิเสธ อย่าฝืนและกดดันตนเองจนเกินไป

ลู่อี้ลูบศีรษะของนางพลางจ้องมองด้วยแววตาลึกซึ้ง “เจ้ากลัวข้าจะแอบเก็บเงินแล้วเอาไปซ่อนจากเจ้าหรือไม่? ข้าจะหาเงินให้ได้มากที่สุด เงินที่ข้าได้รับจะมอบให้เจ้าเป็นผู้ตรวจสอบ อย่าเป็นกังวลไปเลย”

เขายังคงมีภรรยาและลูกที่รอคอยอยู่ที่บ้าน จะก่ออาชญากรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้อย่างไร?

“ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย…” มู่ซืออวี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ข้าเพียงไม่ต้องการให้เจ้าเหนื่อยจนเกินไป”

เกวียนวัวหยุดลง ณ ศาลาว่าการ

มู่ซืออวี่โบกมือให้ลู่อี้

“นี่ เสมียนลู่ มีภรรยาเดินทางมาส่งถึงที่เป็นการส่วนตัวเสียด้วย!” นักการเกากัดซาลาเปาหนึ่งคำพลางกล่าวเชิงหยอกล้อ “จุ๊จุ๊จุ๊ ตัวติดกันอย่างกับกาวเหนียว หากไม่มีผู้ใดบอกว่าพวกท่านทั้งสองมีลูกจนโตแล้ว ข้าคงคิดว่าพวกท่านเป็นคู่แต่งงานใหม่”

“พี่ใหญ่เกา สามีของข้าเป็นคนเขินอาย อย่ากลั่นแกล้งเขาเช่นนั้นเลย” มู่ซืออวี่ยิ้มอย่างใจดี “พี่ใหญ่เกา หากมีโอกาส วันหลังข้าจะเลี้ยงอาหารมื้อค่ำให้ท่าน แต่วันนี้ข้าต้องขอตัวก่อน”

“ได้แน่นอน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้า ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี” นักการเกากล่าวด้วยความยินดี ยิ่งเขามองมู่ซืออวี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางน่าเอ็นดูมากเท่านั้น

นางทักทายเขาทุกครั้งด้วยรอยยิ้มเมื่อพบกัน อีกทั้งยังบอกว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาควรค่าแก่การผูกมิตร นับเป็นวิธีการเอาใจที่ชาญฉลาดไม่ใช่หรือ?

มู่ซืออวี่เดินทางไปยังบ้านของคุณหนูหลี่ ทว่าคุณหนูหลี่กลับยังไม่เดินทางกลับบ้าน นางจึงถามคนเฝ้าประตูและได้รู้ว่าคุณหนูหลี่จะกลับมาในตอนบ่าย ดังนั้นนางเองก็วางแผนจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในตอนบ่ายเช่นเดียวกัน

“ต้าหนิว ข้าขอเลื่อนเวลา พาข้ากลับมาที่นี่อีกครั้งในตอนบ่าย เจ้ารู้จักเส้นทางหรือคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่หรือไม่? หากรู้จักก็โปรดพาข้าไปหน่อย ข้าอยากศึกษาสินค้าของแต่ละร้าน”

“ไม่มีปัญหา ข้ากับเอ้อร์หนิวมักจะเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง เถ้าแก่ที่นี่หลายคนรู้จักเราดี”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ แต่ก่อนอื่นจงพาข้าไปยังร้านหนังสือก่อน”

ในร้านหนังสือแห่งนั้น เถ้าแก่เจ้าของร้านหนังสือจ้องมองหนังสือที่มู่ซืออวี่นำมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“หนังสือของเจ้า…”

“มีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือ?”

ยังใช้ภาษาไม่งดงามพอหรือ?

หรือสุนทรียศาตร์ของคนโบราณแตกต่างออกไป?

“หากเจ้าจะให้ข้าก็คงถือเป็นการดูถูกตัวเองมากเกินไป หนังสือที่งดงามเช่นนี้สมควรส่งไปยังหอหนังสือหงเหวิน ต้องขายได้ราคาดีแน่นอน! แม้ข้าเองจะอยากรับไว้มากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากโกหกหลอกลวงเจ้า หนังสือของเจ้าเทียบได้กับมาตรฐานของหอหงเหวิน”

มู่ซืออวี่ยังคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือในสมัยโบราณ ในเวลานั้น เมื่อเห็นเหล่าบัณทิตขายหนังสือและงานเขียนของตน นางก็คิดว่าพวกเขานำผลงานมาแล้วขายให้กับร้านหนังสือโดยตรง เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นี่มีสำนักที่เชี่ยวชาญในการเผยแพร่หนังสืออยู่แล้ว?

“โดยปกติแล้วเราไม่ได้ขายงานเขียนในร้านหนังสือหรือ?”

“ไม่ หากเป็นหนังสือเชิงมานุษยวิทยา ให้ความรู้ของบัณทิต มีคำอธิบายประกอบโดยผู้มีชื่อเสียง แน่นอนว่าการเขียนด้วยมือย่อมดีกว่า แต่หากเป็นหนังสือเช่นนี้ก็สามารถส่งไปยังสถานที่เช่นหอหนังสือหงเหวินได้”

“แต่บัณทิตในวันนั้น…”

“นั่น… หึหึ… ผลงานของเขาแตกต่างออกไป นั่นคือหนังสือพิเศษ หอหนังสือหงเหวินไม่รับหนังสือเช่นนั้น มีเพียงร้านขายหนังสืออย่างข้าที่แอบรับไว้ได้” เจ้าของร้านหนังสือกล่าวอย่าง ‘ซื่อตรงและเรียบง่าย’ ด้วยรอยยิ้ม

มู่ซืออวี่นึกถึงภาพที่นางได้เห็นในวันนั้นและดูเหมือนจะเข้าใจ

เถ้าแก่ร้านหนังสือเล่ารายละเอียดการเผยแพร่หนังสือให้นางฟัง

“ในตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าพูดเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร ไม่นึกเลยว่าจะมีบัณทิตอยู่ที่บ้านของเจ้าจริง ๆ หนังสือเล่มนี้ยอดเยี่ยมมาก ที่หอหนังสือหงเหวินคงขายได้ราคาสูงกว่า”

“เถ้าแก่ ช่วยบอกได้หรือไม่ว่าข้าจะไปยังหอหนังสือหงเหวินได้อย่างไร?”

หอหนังสือหงเหวินมีหน้าที่ตรวจสอบหนังสือ

ในยุคนี้ ผู้ตรวจหนังสือมีฐานะเทียบเท่ากับบรรณาธิการ เมื่อผู้ตรวจหนังสือตรวจสอบหนังสือแล้วถึงจะบอกได้ว่าจะซื้อในราคาเท่าไหร่ต่อหนึ่งเล่ม

หนังสือเขียนด้วยลายมือที่วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปเป็นหนังสือที่ไม่ได้มาตรฐานตามแบบหอหนังสือหงเหวิน แสดงให้เห็นได้ชัดว่าหอหนังสือหงเหวินไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนสามารถตีพิมพ์หนังสือได้

“จะต้องการขายหนังสือนิยายอย่างนั้นหรือ?” เสมียนคนหนึ่งจ้องมองไปยังมู่ซืออวี่ “เจ้าเขียนเองหรือ?”

“เปล่า คนในครอบครัวข้าช่วยกันเขียน” มู่ซืออวี่กล่าว “ผู้ใดเป็นคนตรวจก่อนเผยแพร่หรือ?”

“ตามข้ามา”

เสมียนผู้นั้นพานางไปยังห้องหนึ่ง

“วันนี้ผู้ตรวจหนังสือฟางอารมณ์ไม่ดีนัก ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”

ชายคนดังกล่าวเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องหลังจากได้รับอนุญาต

“ท่านผู้ตรวจหนังสือ หญิงผู้นี้ต้องการขายหนังสือ”

ชายชราผมขาวนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน กำลังพลิกหนังสือตรงหน้าไปมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

หนังสือมากมายเรียงรายรอบตัวเขา บางเล่มถูกฉีกขาดเป็นชิ้น บางเล่มยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และบางเล่มถูกโยนลงบนพื้น

เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก หนังสือที่กองอยู่บนพื้นต้องเป็นงานเขียนที่เขาไม่ชื่นชอบมากเป็นแน่ หนังสือเล่มที่ถูกฉีกขาดย่อมมีเนื้อหาที่ทำให้เขารู้สึกโกรธ ส่วนเล่มที่ยังคงสภาพเดิมคือผลงานของ ‘ผู้รอดชีวิต’ ที่ยังคงเป็นที่พอใจอยู่บ้าง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่

บทที่ 114 เขาต้องหลับใหลไปแล้วแน่

ลู่อี้เอนกายพลางหลับตาลงบนเกวียนวัว ร่างกายของเขาเอนเอียงไปมาดุจน้ำในแก้วที่กวัดแกว่ง

มู่ซืออวี่จ้องมองพลางคลุมร่างกายของลู่อี้ด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ในมือนาง จากนั้นจึงนำเศษผ้าราวสองสามผืนยัดข้างกายเขาเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายชนเสาของเกวียนวัว

ตุบ! เกวียนวัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

มู่ซืออวี่เซเข้าไปในอ้อมแขนของลู่อี้

เมื่อได้กลิ่มหอมอันเจือจางของสบู่ รู้สึกถึงแผ่นอกที่แข็งกระด้างและเสียงหัวใจเต้นระรัว มู่ซืออวี่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทำได้เพียงถอยกลับไปอย่างเชื่องช้า

ขนตาของลู่อี้สั่นไหว คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย นิ้วมือเอื้อมจับสัมภาระที่อยู่ด้านข้าง

เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของหญิงสาว ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับเครื่องหอมที่นางชื่นชอบ

นางเป็นหญิงที่มีเสน่ห์และดึงดูด ผมของนางส่งกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ เสื้อผ้าก็มีกลิ่นหอมแบบเดียวกันปะปนอยู่ด้วย

แรงกระแทกจากเกวียนวัวทำให้ริมฝีปากของนางปัดป่ายไปทั่วแผ่นอกของเขา อีกทั้งยังทิ้งรอยเฉอะแฉะเอาไว้

นุ่มมาก!

ริมฝีปากของนางนุ่มละมุนดุจเค้กข้าวที่นางทำขึ้นครั้งก่อน

มู่ซืออวี่ก้มตัวลงก่อนจะแอบเงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อเห็นว่าลู่อี้ยังไม่ตื่นจากการหลับใหล นางก็รู้สึกโล่งใจ

ทว่าเกิดแรงกระแทกจากเกวียนวัวอีกครั้ง

แขนทั้งสองข้างของนางหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุง ร่างกายของนางแนบชิดกับลู่อี้ทันที

ใบหน้าของมู่ซืออวี่ประกบอยู่บนตักของเขา นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่าน แก้มจึงพลันแดงระเรื่อ นางรีบถอยกลับด้วยความรู้สึกเขินอาย เอนกายลงนั่งที่มุมหนึ่งของเกวียนวัว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลืมตาตื่นแล้วจ้องมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ มู่ซืออวี่ก็ตื่นตระหนก อธิบายอย่างเขินอาย

“ขออภัย… ข้า… ข้าเพียงอยากปกป้องเจ้าก็เท่านั้น”

ความประหลาดใจฉายแววชัดยิ่งขึ้นในดวงตาของลู่อี้ เขากลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

บรรยากาศในตอนนี้ค่อนข้างน่าอึดอัด มู่ซืออวี่เหลือบมองลู่อี้ เมื่อเห็นว่าเขาหลับตาลงอีกครั้ง นางก็รู้สึกโล่งใจในทันที

หรือว่า…

เขายังคงสับสนอยู่ใช่หรือไม่?

นางควรตระหนักได้ว่าใบหน้าของตนแสดงความเขินอายออกมามากเพียงใดในตอนนี้

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” เสียงของมู่ต้าหนิวดังขึ้นจากด้านหน้า “ถนนเส้นนี้มีแต่ก้อนกรวดขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีหลุมบ่อนับไม่ถ้วน”

“ไม่เป็นอะไร” มู่ซืออวี่กล่าว “ต้าหนิว ขับให้ช้าลงอีกนิดเถิด เราไม่ได้รีบร้อนอะไร”

ลู่อี้ไม่เอ่ยสิ่งใดเลย ท่าทีของเขาดูง่วงงุนอย่างมาก

มู่ซืออวี่ค่อย ๆ รู้สึกผ่อนคลาย เปลือกตาของนางเริ่มหนักขึ้นเพราะความง่วง จึงเอนกายลงทันที

เมื่อนางตกสู่ห้วงแห่งความฝัน ดวงตาที่หลับอยู่ของลู่อี้ก็เปิดขึ้น

เขาลุกขึ้นพลางเหยียดแขน จากนั้นจึงเอนกายพิงผนังเกวียนวัว วางศีรษะมู่ซืออวี่ไว้บนตักของเขา

เขานำเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่มู่ซืออวี่เคยคลุมตัวให้มาคลุมตัวนาง

จิ๊บ จิ๊บ…

เสียงนกร้องปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากหลับใหล

เมื่อนางลืมตาขึ้นก็พบว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีครามแล้ว แสงแรกของวันกำลังจะปรากฏ ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เฉิดฉายสู่ท้องนภาอันกว้างใหญ่

“ดวงอาทิตย์ขึ้น” นางลุกขึ้นนั่งทันทีพลางจ้องมองไปยังชายที่อยู่เคียงข้าง

ชายผู้นั้นตะโกนลั่นพลางจ้องมองนางด้วยความสับสน “เกิดสิ่งใดขึ้น?”

“ดูนั่นเถิด…” มู่ซืออวี่จ้องมองบนท้องฟ้าอย่างมีความสุข “ดวงอาทิตย์ขึ้น! งดงามมาก”

ลู่อี้จ้องมองไปยังทิศทางที่นางชี้

ไม่รู้ว่าความคิดของนางเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่ดวงอาทิตย์ที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ช่างงดงาม

แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็นดวงอาทิตย์ แต่สภาพจิตใจของนางในเวลานี้แตกต่างออกไป

มู่ซืออวี่ดูแปลกไปจากเดิม นางได้เดินทางเข้าไปในเมืองหลายครั้ง แต่ครั้งแรกที่เดินทางเข้ามานางไม่ได้สังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ ครั้งที่สองและสามก็เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความกังวล แต่วันนี้นางนั่งอยู่บนเกวียนวัว มองเห็นความงดงามของดวงอาทิตย์ขึ้นในยามที่ลืมตาตื่นชัดเจน ช่างเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยาก

“วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่”

มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นพลางหลับตา เพลิดเพลินไปกับแสงแดดที่สาดส่องลงมา

ลู่อี้จ้องมองนาง “หากเจ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยก็หยุดพักเสียก่อนเถิด”

“ไม่เหนื่อย ข้าไม่เหนื่อย” มู่ซืออวี่โบกมือ “ข้าชอบวิถีชีวิตเช่นนี้”

“นี่สำหรับเจ้า” ลู่อี้หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากแขนเสื้อของเขา

“นี่เป็นเพียงเศษเงิน ข้าได้มาจากผู้ใจบุญเมื่อวานนี้”

มู่ซืออวี่เทเงินในกระเป๋าทั้งหมดออกมานับ

นี่เป็นเพียงเศษเงินอย่างที่เขาบอก บางเหรียญมีราคาหนึ่งตำลึง บางเหรียญมีราคาน้อยกว่าหนึ่งตำลึง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นราว ๆ 2 ตำลึง

“อันที่จริงครอบครัวเราก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน เจ้าอย่ากดดันตัวเองมากนักเลย”

นางทำได้เพียงพูดในสิ่งที่สมควรพูดเท่านั้น ไม่อาจกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขาไม่มีความสุข

ดังนั้นนางจึงต้องบอกเขาว่าครอบครัวไม่ได้ขาดแคลนเงิน หากมีบางสิ่งที่ปฏิเสธได้ก็สมควรปฏิเสธ อย่าฝืนและกดดันตนเองจนเกินไป

ลู่อี้ลูบศีรษะของนางพลางจ้องมองด้วยแววตาลึกซึ้ง “เจ้ากลัวข้าจะแอบเก็บเงินแล้วเอาไปซ่อนจากเจ้าหรือไม่? ข้าจะหาเงินให้ได้มากที่สุด เงินที่ข้าได้รับจะมอบให้เจ้าเป็นผู้ตรวจสอบ อย่าเป็นกังวลไปเลย”

เขายังคงมีภรรยาและลูกที่รอคอยอยู่ที่บ้าน จะก่ออาชญากรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้อย่างไร?

“ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย…” มู่ซืออวี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ข้าเพียงไม่ต้องการให้เจ้าเหนื่อยจนเกินไป”

เกวียนวัวหยุดลง ณ ศาลาว่าการ

มู่ซืออวี่โบกมือให้ลู่อี้

“นี่ เสมียนลู่ มีภรรยาเดินทางมาส่งถึงที่เป็นการส่วนตัวเสียด้วย!” นักการเกากัดซาลาเปาหนึ่งคำพลางกล่าวเชิงหยอกล้อ “จุ๊จุ๊จุ๊ ตัวติดกันอย่างกับกาวเหนียว หากไม่มีผู้ใดบอกว่าพวกท่านทั้งสองมีลูกจนโตแล้ว ข้าคงคิดว่าพวกท่านเป็นคู่แต่งงานใหม่”

“พี่ใหญ่เกา สามีของข้าเป็นคนเขินอาย อย่ากลั่นแกล้งเขาเช่นนั้นเลย” มู่ซืออวี่ยิ้มอย่างใจดี “พี่ใหญ่เกา หากมีโอกาส วันหลังข้าจะเลี้ยงอาหารมื้อค่ำให้ท่าน แต่วันนี้ข้าต้องขอตัวก่อน”

“ได้แน่นอน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้า ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี” นักการเกากล่าวด้วยความยินดี ยิ่งเขามองมู่ซืออวี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางน่าเอ็นดูมากเท่านั้น

นางทักทายเขาทุกครั้งด้วยรอยยิ้มเมื่อพบกัน อีกทั้งยังบอกว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาควรค่าแก่การผูกมิตร นับเป็นวิธีการเอาใจที่ชาญฉลาดไม่ใช่หรือ?

มู่ซืออวี่เดินทางไปยังบ้านของคุณหนูหลี่ ทว่าคุณหนูหลี่กลับยังไม่เดินทางกลับบ้าน นางจึงถามคนเฝ้าประตูและได้รู้ว่าคุณหนูหลี่จะกลับมาในตอนบ่าย ดังนั้นนางเองก็วางแผนจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในตอนบ่ายเช่นเดียวกัน

“ต้าหนิว ข้าขอเลื่อนเวลา พาข้ากลับมาที่นี่อีกครั้งในตอนบ่าย เจ้ารู้จักเส้นทางหรือคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่หรือไม่? หากรู้จักก็โปรดพาข้าไปหน่อย ข้าอยากศึกษาสินค้าของแต่ละร้าน”

“ไม่มีปัญหา ข้ากับเอ้อร์หนิวมักจะเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง เถ้าแก่ที่นี่หลายคนรู้จักเราดี”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ แต่ก่อนอื่นจงพาข้าไปยังร้านหนังสือก่อน”

ในร้านหนังสือแห่งนั้น เถ้าแก่เจ้าของร้านหนังสือจ้องมองหนังสือที่มู่ซืออวี่นำมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“หนังสือของเจ้า…”

“มีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือ?”

ยังใช้ภาษาไม่งดงามพอหรือ?

หรือสุนทรียศาตร์ของคนโบราณแตกต่างออกไป?

“หากเจ้าจะให้ข้าก็คงถือเป็นการดูถูกตัวเองมากเกินไป หนังสือที่งดงามเช่นนี้สมควรส่งไปยังหอหนังสือหงเหวิน ต้องขายได้ราคาดีแน่นอน! แม้ข้าเองจะอยากรับไว้มากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากโกหกหลอกลวงเจ้า หนังสือของเจ้าเทียบได้กับมาตรฐานของหอหงเหวิน”

มู่ซืออวี่ยังคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือในสมัยโบราณ ในเวลานั้น เมื่อเห็นเหล่าบัณทิตขายหนังสือและงานเขียนของตน นางก็คิดว่าพวกเขานำผลงานมาแล้วขายให้กับร้านหนังสือโดยตรง เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นี่มีสำนักที่เชี่ยวชาญในการเผยแพร่หนังสืออยู่แล้ว?

“โดยปกติแล้วเราไม่ได้ขายงานเขียนในร้านหนังสือหรือ?”

“ไม่ หากเป็นหนังสือเชิงมานุษยวิทยา ให้ความรู้ของบัณทิต มีคำอธิบายประกอบโดยผู้มีชื่อเสียง แน่นอนว่าการเขียนด้วยมือย่อมดีกว่า แต่หากเป็นหนังสือเช่นนี้ก็สามารถส่งไปยังสถานที่เช่นหอหนังสือหงเหวินได้”

“แต่บัณทิตในวันนั้น…”

“นั่น… หึหึ… ผลงานของเขาแตกต่างออกไป นั่นคือหนังสือพิเศษ หอหนังสือหงเหวินไม่รับหนังสือเช่นนั้น มีเพียงร้านขายหนังสืออย่างข้าที่แอบรับไว้ได้” เจ้าของร้านหนังสือกล่าวอย่าง ‘ซื่อตรงและเรียบง่าย’ ด้วยรอยยิ้ม

มู่ซืออวี่นึกถึงภาพที่นางได้เห็นในวันนั้นและดูเหมือนจะเข้าใจ

เถ้าแก่ร้านหนังสือเล่ารายละเอียดการเผยแพร่หนังสือให้นางฟัง

“ในตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าพูดเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร ไม่นึกเลยว่าจะมีบัณทิตอยู่ที่บ้านของเจ้าจริง ๆ หนังสือเล่มนี้ยอดเยี่ยมมาก ที่หอหนังสือหงเหวินคงขายได้ราคาสูงกว่า”

“เถ้าแก่ ช่วยบอกได้หรือไม่ว่าข้าจะไปยังหอหนังสือหงเหวินได้อย่างไร?”

หอหนังสือหงเหวินมีหน้าที่ตรวจสอบหนังสือ

ในยุคนี้ ผู้ตรวจหนังสือมีฐานะเทียบเท่ากับบรรณาธิการ เมื่อผู้ตรวจหนังสือตรวจสอบหนังสือแล้วถึงจะบอกได้ว่าจะซื้อในราคาเท่าไหร่ต่อหนึ่งเล่ม

หนังสือเขียนด้วยลายมือที่วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปเป็นหนังสือที่ไม่ได้มาตรฐานตามแบบหอหนังสือหงเหวิน แสดงให้เห็นได้ชัดว่าหอหนังสือหงเหวินไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนสามารถตีพิมพ์หนังสือได้

“จะต้องการขายหนังสือนิยายอย่างนั้นหรือ?” เสมียนคนหนึ่งจ้องมองไปยังมู่ซืออวี่ “เจ้าเขียนเองหรือ?”

“เปล่า คนในครอบครัวข้าช่วยกันเขียน” มู่ซืออวี่กล่าว “ผู้ใดเป็นคนตรวจก่อนเผยแพร่หรือ?”

“ตามข้ามา”

เสมียนผู้นั้นพานางไปยังห้องหนึ่ง

“วันนี้ผู้ตรวจหนังสือฟางอารมณ์ไม่ดีนัก ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”

ชายคนดังกล่าวเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องหลังจากได้รับอนุญาต

“ท่านผู้ตรวจหนังสือ หญิงผู้นี้ต้องการขายหนังสือ”

ชายชราผมขาวนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน กำลังพลิกหนังสือตรงหน้าไปมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

หนังสือมากมายเรียงรายรอบตัวเขา บางเล่มถูกฉีกขาดเป็นชิ้น บางเล่มยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และบางเล่มถูกโยนลงบนพื้น

เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก หนังสือที่กองอยู่บนพื้นต้องเป็นงานเขียนที่เขาไม่ชื่นชอบมากเป็นแน่ หนังสือเล่มที่ถูกฉีกขาดย่อมมีเนื้อหาที่ทำให้เขารู้สึกโกรธ ส่วนเล่มที่ยังคงสภาพเดิมคือผลงานของ ‘ผู้รอดชีวิต’ ที่ยังคงเป็นที่พอใจอยู่บ้าง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+