สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 233 มู่เจิ้งอี้สอบตก

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 233 มู่เจิ้งอี้สอบตก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 233 มู่เจิ้งอี้สอบตก

ถึงแม้แม่เฒ่าเจียงผู้นี้จะน่ารังเกียจ แต่กับหลานชายคนโตและลูกชายคนเล็กของนางแล้ว จะกล่าวเช่นนั้นมิได้

แม้ถังซื่อและมู่ต้าไห่จะทำตัวเลวทราม แต่แม่เฒ่าเจียงจะไม่เอาความโกรธไปลงที่หลานชายสุดที่รักของนางเด็ดขาด นางยังต้องพึ่งพาหลานชายบัณฑิตคนนี้ เพราะเขานำลาศยศสรรเสริญและความมั่งคั่งมาให้นาง!

มู่เจิ้งอี้อยู่ที่สำนักบัณฑิตมาหลายปี และแทบจะไม่เคยกลับมา จึงไม่มีความผูกพันกับคนในครอบครัว ไม่ว่าแม่เฒ่าเจียงจะกระตือรือร้นเพียงใด เขาก็ยังคงเฉยชาเช่นเคย ยามนี้เขาจึงแค่รับคำนางเบา ๆ ไม่คิดจะพูดคุยกับนางต่อ

แม่เฒ่าเจียงไม่รู้สึกถึงความเย็นชาของมู่เจิ้งอี้แม้แต่น้อย ทั้งยังต้อนรับขับสู้เขาอย่างดีอกดีใจ นางรับสัมภาระจากเขามาแล้วเอ่ยถาม “เดินทางเหนื่อยแล้วกระมัง รีบเข้ามาพักผ่อนเร็วเข้า ย่าจะทำอาหารให้เจ้า…”

ทันใดนั้น แม่เฒ่าเจียงก็ชะงักงัน

ที่บ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว จะทำอาหารได้อย่างไร?

“ข้าอยากกินเนื้อ” มู่เจิ้งอี้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ไม่อยากกินข้าวต้ม จะกินแค่ข้าวขาวเท่านั้น”

แม่เฒ่าเจียงมีสีหน้ายุ่งยากใจ สุดท้ายจึงกัดฟันเอ่ยออกไปว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว ข้าจะไปเก็บต้นหอมสักสองต้นมาปรุงรสให้”

มู่เจิ้งอี้เดินมาเหนื่อย ๆ เขาจึงเข้าไปในห้องที่เคยอยู่ตามความทรงจำ

ทว่าภายในห้องตอนนี้มีมู่ตงหยวนอยู่

เมื่อผลักประตูเข้าไปเห็นมู่ตงหยวน มู่เจิ้งอี้ก็พลันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ส่วนมู่ตงหยวนก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

บุรุษที่เป็นที่รักที่สุดของครอบครัวมู่ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น

“นี่เป็นห้องของข้า” มู่เจิ้งอี้ไม่พอใจ

มู่ตงหยวนออกจากบ้านไปเนิ่นนานแล้ว ห้องเดิมของเขากลายเป็นห้องเก็บฟืน ตอนนี้จึงรกเป็นอย่างมาก ไม่สามารถใช้อยู่อาศัยได้

มู่ตงหยวนหัวเราะเยาะ “ข้าเป็นอาของเจ้า ข้าบอกว่าห้องไหนเป็นของข้า ห้องนั้นก็ต้องเป็นของข้า”

“คือว่า…” แม่เฒ่าเจียงโพล่งขึ้นมาจากด้านหลัง “หลานชายคนดีของข้า เจ้าไปอยู่ที่ห้องพ่อแม่ของเจ้าก่อนเถอะ”

“เพราะเหตุใด?” มู่เจิ้งอี้รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันที

“ตอนนี้ขาของอาเจ้าไม่ค่อยสะดวก…”

เพียงแค่แม่เฒ่าเจียงเอ่ยคำนี้ออกมา เสียงขว้างปาข้าวของก็ดังออกมาจากห้องนั้น

เพล้ง!

แม่เฒ่าเจียงรีบวิ่งไปอย่างร้อนใจ พอหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ก็เห็นมู่ตงหยวนเขวี้ยงชามลงข้างเตียง

นางพลันรู้สึกปวดใจ ในบ้านเหลือของไม่มากแล้ว และถ้วยใบนั้นก็เป็นถ้วยดี ๆ เพียงใบเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน แต่ก่อนไม่มีแม้แต่รอยร้าวสักรอย!

สายตาของมู่เจิ้งอี้จับจ้องไปที่ตักของมู่ตงหยวน

“ท่านคงไม่ได้ถูกตระกูลหวังขับไล่ออกมากระมัง?”

“หุบปาก!” มู่ตงหยวนตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” มู่เจิ้งอี้เยาะเย้ย

“แล้วเจ้าเล่า? สอบได้ซิ่วไฉแล้วหรือ?” มู่ตงหยวนเหน็บแนมกลับไป “ดูสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นะ เจ้าสอบตกใช่หรือไม่? หากแม่นางเสี่ยวเอ๋อร์ในเรือนวสันต์รู้เข้า จะไม่เศร้าโศกเสียใจจนตายหรือ? นางยังรอให้เจ้าได้เป็นซิ่วไฉ หางานดี ๆ ทำแล้วแต่งนางเข้าบ้านอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาอยู่นะ”

“ท่านรู้ได้อย่างไร?” มู่เจิ้งอี้จ้องหน้าอีกฝ่าย

“เหตุใดข้าจะไม่รู้? สถานที่อย่างเรือนวสันต์ ข้าจะไปพบก็เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่หรือ? คุณชายหวังมักจะไปที่นั่นอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้ต่อมาภายหลังเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ก็ต้องแสร้งไปที่นั่นเพื่อจะได้ไม่ถูกเล่าลือว่าเป็นขันที ทว่าหลานคนดีของข้า บัณฑิตที่ครอบครัวฟูมฟักด้วยเป็นอย่างดีด้วยเงินทองมากมายกลับไปเสพสุขกับหญิงโสเภณีที่ซ่องทุกคืน ช่างเป็นนักรักจริง ๆ”

“มู่เจิ้งอี้!” แม่เฒ่าเจียงจ้องมู่เจิ้งอี้เขม็ง “ที่อาของเจ้าพูดมาไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่?”

มู่เจิ้งอี้ขมวดคิ้ว เผยสีหน้าเย็นชาไม่กล่าวสิ่งใด

“เจ้านี่มัน! เจ้าถึงกับไปสถานที่โสมมเช่นนั้น สตรีในสถานที่เช่นนั้นดีนักหรือ ไม่รู้อะไรเข้าสิงเจ้า พวกเราใช้เงินมากมายเพื่อให้เจ้าศึกษาเล่าเรียน แต่เจ้ากลับตอบแทนพวกเราเช่นนี้หรือ? ไม่ใช่เจ้ากล่าวว่าจะสอบขุนนางจนมีลาภยศชื่อเสียงหรือ? เจ้ากลับเป็นเช่นนี้… เจ้าอยากจะฆ่าข้าให้ตายหรือไร” แม่เฒ่าเจียงกุมอกตนเอง ทรุดลงไออยู่กับพื้น

“เสี่ยวเอ๋อร์เป็นคนดี ข้าไม่อนุญาตให้ท่านกล่าวถึงนางเช่นนั้น” มู่เจิ้งอี้พูดขึ้นด้วยความโมโห

มู่ตงหยวนหัวเราะออกมาหนึ่งที

คนดี?

สถานที่เช่นนั้นจะมีแม่นางสักกี่คนที่มีความคิดเรียบง่าย ชายโง่เขลาคนนี้ถูกจูงจมูกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก! รู้หรือไม่ว่าแม่นางเสี่ยวเอ๋อร์ผู้นั้นเอ่ยถึงเจ้าลับหลังอย่างไร? ช่างโง่งมเสียจริง

“เจ้า เจ้า… เหตุใดเจ้าจึงน่าผิดหวังเช่นนี้?” แม่เฒ่าเจียงหวังว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน เป็นฝันร้ายเพียงหนึ่งตื่น ไม่นานนางก็จะตื่นขึ้นมา จากนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะเป็นแค่ของปลอม

นับตั้งแต่ลู่อี้ถูกจับก็ผ่านไปสิบวันแล้ว ศาลาว่าการยังไม่ไต่สวนคดีนี้ หลินตงลูกชายของหลินต้าจ้วงตีกลองร้องทุกข์ แสดงถึงความคับข้องใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เล่าลือกันไปทั้งเมือง

ชาวเมืองต่างรวมตัวกันหน้าประตูศาลาว่าการ เพื่อเฝ้ารอการไต่สวนคดีนี้

นายอำเภอฉินเดินวนไปวนมาทั่วห้อง

ที่ปรึกษาที่อยู่ข้าง ๆ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้า ไต่สวนเถอะขอรับ!”

“สองสามวันมานี้ลู่อี้กำลังทำอะไร?” นายอำเภอฉินถาม

“อ่านหนังสืออยู่ในห้องขังทั้งวันขอรับ”

“เขาสบายจริง ๆ นะ ไม่กลัวข้าตัดสินโทษเขาจริง ๆ หรือไร” นายอำเภอฉินหงุดหงิดใจ “เขาอ่านหนังสืออะไร?”

“หนังสือมากมายหลายประเภทเลยขอรับ ไม่ว่าอะไรก็อ่านหมด”

“เอาล่ะ คดีนี้ไม่สามารถล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้ว ข้าถ่วงเวลาให้เขาตั้งสิบวัน นับว่าเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”

การไต่สวนคดีของหลินต้าจ้วงถูกประกาศออกไป เนื่องจากมีคนมากมายให้ความสนใจ ดังนั้นจึงทำการไต่สวนในที่แจ้ง และเปิดให้ชาวเมืองเข้าชมการไต่สวนได้

เมื่อมู่ซืออวี่ได้ยินข่าว นางจึงรีบไปที่ศาลาว่าการอำเภอ เพื่อดูการไต่สวนพร้อมกับผู้คนมากมาย

ผ่านไปสิบวันแล้ว เคราของลู่อี้ขึ้นเขียวครึ้ม เขาดูผอมลงไปไม่น้อย เมื่อไม่ได้เผชิญกับแสงแดด ผิวก็ค่อย ๆ ขาวขึ้นมาบ้าง

“ใต้เท้า คนผู้นี้ฆ่าท่านพ่อของข้าตาย ใต้เท้าได้โปรดลงโทษสถานหนักด้วยเถิดขอรับ” หลินตงคุกเข่าร้องขอ

นายอำเภอฉินเคาะค้อนหนึ่งที “ลู่อี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่คุกเข่า?”

ลู่อี้แสดงความเคารพแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรียนใต้เท้า ข้าปฏิบัติตามกฎหมาย ซิ่วไฉพบขุนนางไม่จำเป็นต้องคุกเข่าขอรับ”

เพียงเท่านั้นเองทุกคนจึงเข้าใจ ลู่อี้อายุเพียงสิบสองก็สามารถสอบซิ่วไฉได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นซิ่วไฉที่อายุน้อยที่สุด

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองบุรุษเยาว์วัยรูปงามผู้นี้แล้วพลันถอนหายใจไม่หยุด

หากไม่เกิดเรื่องกับครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องเป็นความภาคภูมิใจของทั้งตระกูลหรือแม้กระทั่งทั้งหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง

“ข้าขอถามเจ้า เจ้าฆ่าหลินต้าจ้วงใช่หรือไม่?” นายอำเภอฉินถามอีกครั้ง

“ไม่ใช่ขอรับ”

“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

“ข้ามีหลักฐาน” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ

หลินตงหันกลับไปมองลู่อี้ “เจ้ากล่าวส่งเดช!”

“ผู้ร้องทุกข์ อย่าได้ขัดจังหวะของผู้ถูกฟ้อง” นายอำเภอฉินกล่าว “ลู่อี้ ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีหลักฐาน เช่นนั้นก็แสดงออกมา”

ชาวเมืองที่กำลังมุงดูถกเถียงกันเบา ๆ “สิบวันแล้ว อีกทั้งศพก็เน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นสาปแล้ว หรือว่าลู่อี้จงใจประวิงเวลาเพราะเขาอยากกำจัดศพนั้น?”

“เขาทำเช่นนี้แล้วจะดีต่อเขาอย่างไร? บัดนี้หลักฐานทั้งหมดล้วนชี้ไปที่เขา หากเขารอให้หลักฐานบนศพถูกทำลายไป นั่นยิ่งเป็นหลักฐานไม่ใช่หรือ เช่นนี้ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเขาน่ะสิ”

มู่ซืออวี่บีบมือตนเองแน่น

ถึงตอนนี้นอกจากนางแล้ว จือเชียน ลู่เซวียน ลู่ฉาวอวี่และน้องสาว รวมถึงอันอวี้ล้วนแต่รออยู่ตรงนี้

จู่ ๆ ลู่ฉาวอวี่ก็จับมือของมู่ซืออวี่ นางจึงก้มลงไปมองเขา

“ไม่ต้องกลัว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ”

มู่ซืออวี่พยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้”

“ใต้เท้า ข้าขอให้เซี่ยคุนผู้ติดตามของข้าเข้ามา เขานำหลักฐานมาแล้ว” ลู่อี้กล่าว

“ได้ ให้เซี่ยคุนเข้ามา”

เซี่ยคุนเดินเข้ามาพร้อมกับท่านผู้เฒ่าคนหนึ่ง

ท่านผู้เฒ่าคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านหมอลี่นั่นเอง

ท่านหมอลี่เป็นท่านหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดที่นี่ คนไข้มากมายล้วนรู้จักเขา ทันทีที่เขาเข้ามา ทุกคนจึงเริ่มสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเขา เพราะเขาอาศัยอยู่ในเมืองซูโจว ไม่ใช่ที่นี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 233 มู่เจิ้งอี้สอบตก

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 233 มู่เจิ้งอี้สอบตก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 233 มู่เจิ้งอี้สอบตก

ถึงแม้แม่เฒ่าเจียงผู้นี้จะน่ารังเกียจ แต่กับหลานชายคนโตและลูกชายคนเล็กของนางแล้ว จะกล่าวเช่นนั้นมิได้

แม้ถังซื่อและมู่ต้าไห่จะทำตัวเลวทราม แต่แม่เฒ่าเจียงจะไม่เอาความโกรธไปลงที่หลานชายสุดที่รักของนางเด็ดขาด นางยังต้องพึ่งพาหลานชายบัณฑิตคนนี้ เพราะเขานำลาศยศสรรเสริญและความมั่งคั่งมาให้นาง!

มู่เจิ้งอี้อยู่ที่สำนักบัณฑิตมาหลายปี และแทบจะไม่เคยกลับมา จึงไม่มีความผูกพันกับคนในครอบครัว ไม่ว่าแม่เฒ่าเจียงจะกระตือรือร้นเพียงใด เขาก็ยังคงเฉยชาเช่นเคย ยามนี้เขาจึงแค่รับคำนางเบา ๆ ไม่คิดจะพูดคุยกับนางต่อ

แม่เฒ่าเจียงไม่รู้สึกถึงความเย็นชาของมู่เจิ้งอี้แม้แต่น้อย ทั้งยังต้อนรับขับสู้เขาอย่างดีอกดีใจ นางรับสัมภาระจากเขามาแล้วเอ่ยถาม “เดินทางเหนื่อยแล้วกระมัง รีบเข้ามาพักผ่อนเร็วเข้า ย่าจะทำอาหารให้เจ้า…”

ทันใดนั้น แม่เฒ่าเจียงก็ชะงักงัน

ที่บ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว จะทำอาหารได้อย่างไร?

“ข้าอยากกินเนื้อ” มู่เจิ้งอี้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ไม่อยากกินข้าวต้ม จะกินแค่ข้าวขาวเท่านั้น”

แม่เฒ่าเจียงมีสีหน้ายุ่งยากใจ สุดท้ายจึงกัดฟันเอ่ยออกไปว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว ข้าจะไปเก็บต้นหอมสักสองต้นมาปรุงรสให้”

มู่เจิ้งอี้เดินมาเหนื่อย ๆ เขาจึงเข้าไปในห้องที่เคยอยู่ตามความทรงจำ

ทว่าภายในห้องตอนนี้มีมู่ตงหยวนอยู่

เมื่อผลักประตูเข้าไปเห็นมู่ตงหยวน มู่เจิ้งอี้ก็พลันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ส่วนมู่ตงหยวนก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

บุรุษที่เป็นที่รักที่สุดของครอบครัวมู่ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น

“นี่เป็นห้องของข้า” มู่เจิ้งอี้ไม่พอใจ

มู่ตงหยวนออกจากบ้านไปเนิ่นนานแล้ว ห้องเดิมของเขากลายเป็นห้องเก็บฟืน ตอนนี้จึงรกเป็นอย่างมาก ไม่สามารถใช้อยู่อาศัยได้

มู่ตงหยวนหัวเราะเยาะ “ข้าเป็นอาของเจ้า ข้าบอกว่าห้องไหนเป็นของข้า ห้องนั้นก็ต้องเป็นของข้า”

“คือว่า…” แม่เฒ่าเจียงโพล่งขึ้นมาจากด้านหลัง “หลานชายคนดีของข้า เจ้าไปอยู่ที่ห้องพ่อแม่ของเจ้าก่อนเถอะ”

“เพราะเหตุใด?” มู่เจิ้งอี้รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันที

“ตอนนี้ขาของอาเจ้าไม่ค่อยสะดวก…”

เพียงแค่แม่เฒ่าเจียงเอ่ยคำนี้ออกมา เสียงขว้างปาข้าวของก็ดังออกมาจากห้องนั้น

เพล้ง!

แม่เฒ่าเจียงรีบวิ่งไปอย่างร้อนใจ พอหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ก็เห็นมู่ตงหยวนเขวี้ยงชามลงข้างเตียง

นางพลันรู้สึกปวดใจ ในบ้านเหลือของไม่มากแล้ว และถ้วยใบนั้นก็เป็นถ้วยดี ๆ เพียงใบเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน แต่ก่อนไม่มีแม้แต่รอยร้าวสักรอย!

สายตาของมู่เจิ้งอี้จับจ้องไปที่ตักของมู่ตงหยวน

“ท่านคงไม่ได้ถูกตระกูลหวังขับไล่ออกมากระมัง?”

“หุบปาก!” มู่ตงหยวนตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” มู่เจิ้งอี้เยาะเย้ย

“แล้วเจ้าเล่า? สอบได้ซิ่วไฉแล้วหรือ?” มู่ตงหยวนเหน็บแนมกลับไป “ดูสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นะ เจ้าสอบตกใช่หรือไม่? หากแม่นางเสี่ยวเอ๋อร์ในเรือนวสันต์รู้เข้า จะไม่เศร้าโศกเสียใจจนตายหรือ? นางยังรอให้เจ้าได้เป็นซิ่วไฉ หางานดี ๆ ทำแล้วแต่งนางเข้าบ้านอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาอยู่นะ”

“ท่านรู้ได้อย่างไร?” มู่เจิ้งอี้จ้องหน้าอีกฝ่าย

“เหตุใดข้าจะไม่รู้? สถานที่อย่างเรือนวสันต์ ข้าจะไปพบก็เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่หรือ? คุณชายหวังมักจะไปที่นั่นอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้ต่อมาภายหลังเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ก็ต้องแสร้งไปที่นั่นเพื่อจะได้ไม่ถูกเล่าลือว่าเป็นขันที ทว่าหลานคนดีของข้า บัณฑิตที่ครอบครัวฟูมฟักด้วยเป็นอย่างดีด้วยเงินทองมากมายกลับไปเสพสุขกับหญิงโสเภณีที่ซ่องทุกคืน ช่างเป็นนักรักจริง ๆ”

“มู่เจิ้งอี้!” แม่เฒ่าเจียงจ้องมู่เจิ้งอี้เขม็ง “ที่อาของเจ้าพูดมาไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่?”

มู่เจิ้งอี้ขมวดคิ้ว เผยสีหน้าเย็นชาไม่กล่าวสิ่งใด

“เจ้านี่มัน! เจ้าถึงกับไปสถานที่โสมมเช่นนั้น สตรีในสถานที่เช่นนั้นดีนักหรือ ไม่รู้อะไรเข้าสิงเจ้า พวกเราใช้เงินมากมายเพื่อให้เจ้าศึกษาเล่าเรียน แต่เจ้ากลับตอบแทนพวกเราเช่นนี้หรือ? ไม่ใช่เจ้ากล่าวว่าจะสอบขุนนางจนมีลาภยศชื่อเสียงหรือ? เจ้ากลับเป็นเช่นนี้… เจ้าอยากจะฆ่าข้าให้ตายหรือไร” แม่เฒ่าเจียงกุมอกตนเอง ทรุดลงไออยู่กับพื้น

“เสี่ยวเอ๋อร์เป็นคนดี ข้าไม่อนุญาตให้ท่านกล่าวถึงนางเช่นนั้น” มู่เจิ้งอี้พูดขึ้นด้วยความโมโห

มู่ตงหยวนหัวเราะออกมาหนึ่งที

คนดี?

สถานที่เช่นนั้นจะมีแม่นางสักกี่คนที่มีความคิดเรียบง่าย ชายโง่เขลาคนนี้ถูกจูงจมูกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก! รู้หรือไม่ว่าแม่นางเสี่ยวเอ๋อร์ผู้นั้นเอ่ยถึงเจ้าลับหลังอย่างไร? ช่างโง่งมเสียจริง

“เจ้า เจ้า… เหตุใดเจ้าจึงน่าผิดหวังเช่นนี้?” แม่เฒ่าเจียงหวังว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน เป็นฝันร้ายเพียงหนึ่งตื่น ไม่นานนางก็จะตื่นขึ้นมา จากนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะเป็นแค่ของปลอม

นับตั้งแต่ลู่อี้ถูกจับก็ผ่านไปสิบวันแล้ว ศาลาว่าการยังไม่ไต่สวนคดีนี้ หลินตงลูกชายของหลินต้าจ้วงตีกลองร้องทุกข์ แสดงถึงความคับข้องใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เล่าลือกันไปทั้งเมือง

ชาวเมืองต่างรวมตัวกันหน้าประตูศาลาว่าการ เพื่อเฝ้ารอการไต่สวนคดีนี้

นายอำเภอฉินเดินวนไปวนมาทั่วห้อง

ที่ปรึกษาที่อยู่ข้าง ๆ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้า ไต่สวนเถอะขอรับ!”

“สองสามวันมานี้ลู่อี้กำลังทำอะไร?” นายอำเภอฉินถาม

“อ่านหนังสืออยู่ในห้องขังทั้งวันขอรับ”

“เขาสบายจริง ๆ นะ ไม่กลัวข้าตัดสินโทษเขาจริง ๆ หรือไร” นายอำเภอฉินหงุดหงิดใจ “เขาอ่านหนังสืออะไร?”

“หนังสือมากมายหลายประเภทเลยขอรับ ไม่ว่าอะไรก็อ่านหมด”

“เอาล่ะ คดีนี้ไม่สามารถล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้ว ข้าถ่วงเวลาให้เขาตั้งสิบวัน นับว่าเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”

การไต่สวนคดีของหลินต้าจ้วงถูกประกาศออกไป เนื่องจากมีคนมากมายให้ความสนใจ ดังนั้นจึงทำการไต่สวนในที่แจ้ง และเปิดให้ชาวเมืองเข้าชมการไต่สวนได้

เมื่อมู่ซืออวี่ได้ยินข่าว นางจึงรีบไปที่ศาลาว่าการอำเภอ เพื่อดูการไต่สวนพร้อมกับผู้คนมากมาย

ผ่านไปสิบวันแล้ว เคราของลู่อี้ขึ้นเขียวครึ้ม เขาดูผอมลงไปไม่น้อย เมื่อไม่ได้เผชิญกับแสงแดด ผิวก็ค่อย ๆ ขาวขึ้นมาบ้าง

“ใต้เท้า คนผู้นี้ฆ่าท่านพ่อของข้าตาย ใต้เท้าได้โปรดลงโทษสถานหนักด้วยเถิดขอรับ” หลินตงคุกเข่าร้องขอ

นายอำเภอฉินเคาะค้อนหนึ่งที “ลู่อี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่คุกเข่า?”

ลู่อี้แสดงความเคารพแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรียนใต้เท้า ข้าปฏิบัติตามกฎหมาย ซิ่วไฉพบขุนนางไม่จำเป็นต้องคุกเข่าขอรับ”

เพียงเท่านั้นเองทุกคนจึงเข้าใจ ลู่อี้อายุเพียงสิบสองก็สามารถสอบซิ่วไฉได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นซิ่วไฉที่อายุน้อยที่สุด

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองบุรุษเยาว์วัยรูปงามผู้นี้แล้วพลันถอนหายใจไม่หยุด

หากไม่เกิดเรื่องกับครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องเป็นความภาคภูมิใจของทั้งตระกูลหรือแม้กระทั่งทั้งหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง

“ข้าขอถามเจ้า เจ้าฆ่าหลินต้าจ้วงใช่หรือไม่?” นายอำเภอฉินถามอีกครั้ง

“ไม่ใช่ขอรับ”

“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

“ข้ามีหลักฐาน” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ

หลินตงหันกลับไปมองลู่อี้ “เจ้ากล่าวส่งเดช!”

“ผู้ร้องทุกข์ อย่าได้ขัดจังหวะของผู้ถูกฟ้อง” นายอำเภอฉินกล่าว “ลู่อี้ ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีหลักฐาน เช่นนั้นก็แสดงออกมา”

ชาวเมืองที่กำลังมุงดูถกเถียงกันเบา ๆ “สิบวันแล้ว อีกทั้งศพก็เน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นสาปแล้ว หรือว่าลู่อี้จงใจประวิงเวลาเพราะเขาอยากกำจัดศพนั้น?”

“เขาทำเช่นนี้แล้วจะดีต่อเขาอย่างไร? บัดนี้หลักฐานทั้งหมดล้วนชี้ไปที่เขา หากเขารอให้หลักฐานบนศพถูกทำลายไป นั่นยิ่งเป็นหลักฐานไม่ใช่หรือ เช่นนี้ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเขาน่ะสิ”

มู่ซืออวี่บีบมือตนเองแน่น

ถึงตอนนี้นอกจากนางแล้ว จือเชียน ลู่เซวียน ลู่ฉาวอวี่และน้องสาว รวมถึงอันอวี้ล้วนแต่รออยู่ตรงนี้

จู่ ๆ ลู่ฉาวอวี่ก็จับมือของมู่ซืออวี่ นางจึงก้มลงไปมองเขา

“ไม่ต้องกลัว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ”

มู่ซืออวี่พยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้”

“ใต้เท้า ข้าขอให้เซี่ยคุนผู้ติดตามของข้าเข้ามา เขานำหลักฐานมาแล้ว” ลู่อี้กล่าว

“ได้ ให้เซี่ยคุนเข้ามา”

เซี่ยคุนเดินเข้ามาพร้อมกับท่านผู้เฒ่าคนหนึ่ง

ท่านผู้เฒ่าคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านหมอลี่นั่นเอง

ท่านหมอลี่เป็นท่านหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดที่นี่ คนไข้มากมายล้วนรู้จักเขา ทันทีที่เขาเข้ามา ทุกคนจึงเริ่มสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเขา เพราะเขาอาศัยอยู่ในเมืองซูโจว ไม่ใช่ที่นี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+