สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ?

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รถม้าเคลื่อนไปยังบ้านถงซื่อ

หน้าประตูมีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นถงซื่อและลู่จื่ออวิ๋นที่รออยู่ที่นั่น

“ท่านแม่ อวิ๋นเอ๋อร์ ยืนทำอะไรอยู่ที่นี่ รีบเข้าไปเร็ว”

“ท่านแม่กลับมาแล้ว! ท่านแม่กลับมาแล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

ถงซื่อเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อวานนี้เจ้าไม่ได้กลับมา เด็กคนนี้เอ่ยถึงเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟ้ายังไม่มืดก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว พวกเราคิดว่าเจ้าคงใกล้จะกลับมาแล้วก็เลยมารออยู่ที่นี่”

“เมื่อครู่นี้มีเรื่องทำให้ล่าช้าออกไป ข้าเลยกลับมาช้า” มู่ซืออวี่พูดอย่างสบาย ๆ “ส่วนลู่อี้ยังวุ่นอยู่ วันนี้ไม่กลับมาแล้ว”

ทันทีที่รถม้าหยุดลง เสียงของลู่เซวียนก็ดังขึ้นมา “พี่ชายข้ายังไม่กลับมาหรือ? เจ้าเป็นหญิงสาวคนเดียว ไม่รู้จักกลับมาให้เร็วเสียหน่อย ดึกดื่นมืดค่ำแล้ว หากตกลงไปในคูน้ำคงไม่มีผู้ใดพบเห็นกระมัง”

“เฮอะ เจ้าสิตกลงไปในคูน้ำ” มู่ซืออวี่ปล่อยสายบังเหียนม้าลง “อวิ๋นเอ๋อร์ มาเอาหญ้าให้ม้ากินหน่อย”

“ได้เลยเจ้าค่ะ”

ลู่จื่ออวิ๋นนำฟางที่เตรียมไว้นานแล้วไปให้ม้ากิน เมื่อเห็นม้าเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างเอร็ดอร่อยจึงลูบขนมันพร้อมบอกมันด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าต้องรีบแข็งแรงขึ้น แล้วดูแลแม่ข้าให้ดีนะ”

ถงซื่อหัวเราะร่วน “มันจะฟังคำพูดเจ้าเข้าใจหรือ?”

“มันฟังเข้าใจ ท่านดูสิ มันกินอย่างมีความสุขขนาดไหน!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างแข็งขัน “ท่านแม่บอกไว้ว่าทุกสิ่งมีจิตวิญญาณ พวกเราแค่ดีกับพวกมัน มันก็จะตอบแทนพวกเรา”

“คืนนี้กินอะไร?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นมา

“ข้าทำของง่าย ๆ ไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากพวกเจ้าหรือไม่” ถงซื่อพูดแล้วก็เหนียมอายขึ้นมา

“อาหารของท่านยายก็อร่อย” ลู่จื่ออวิ๋นพูดขึ้น “เหมือนรสชาติของท่านแม่เลยเจ้าค่ะ”

หลายวันมานี้อยู่ด้วยกัน ถงซื่อดูมู่ซืออวี่ทำอาหาร จึงแอบจดจำเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาบ้าง

เดิมทีนางก็ไม่ได้โง่ บวกกับมีประสบการณ์ทำอาหารมานานหลายปี ขอแค่เพียงไม่ตระหนี่ตอนที่ต้องใช้น้ำมัน เกลือ และเครื่องปรุงรส เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะไม่อร่อย

“หอมจริง ๆ” มู่ซืออวี่ไม่รีรอที่จะเอ่ยชม “ข้ารู้ว่ามอบอวิ๋นเอ๋อร์ให้ท่านแม่ดูแลเหมาะสมที่สุดแล้ว ข้ากับพ่อของนางจะได้จดจ่อกับงาน”

ถงซื่อยิ้มอย่างขัดเขิน

“จริงสิ วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านมาหาข้า ทั้งยังนำหมูตุ๋นมาให้พวกเราด้วย ข้าจะไปเอาออกมา”

ถงซื่อนำหมูตุ๋นออกมาจากครัว

“หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่ากิจการไม่ค่อยสู้ดีนัก อยากจะฟังความคิดเห็นจากเจ้า”

“ร้านกิจการหมู่บ้านมีคนอยู่มากหรือน้อย?” มู่ซืออวี่คีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น

ถงซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยี่สิบสามคน”

“คนมากขนาดนี้เชียว” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วขณะเคี้ยวหมูตุ๋น “รสชาติจืดเกินไป ความร้อนไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นตัวส่วนผสมหรือเวลาที่ใช้ในการทำก็ยังไม่ได้ตามที่กำหนด รสชาติจะยอดเยี่ยมได้อย่างไร?”

“นี่เป็นร้านกิจการภายในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนอยากมีส่วน แต่กลับโต้แย้งทะเลาะวิวาทกันทุกวัน” ถงซื่อกล่าวต่อ “ข้าเข้าใจความหมายของหัวหน้าหมู่บ้าน หากดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าร้านกิจการหมู่บ้านจะต้องปิดลง”

“หากต้องการการจัดการที่ดี เช่นนั้นจำต้องเปลี่ยนวิธี” มู่ซืออวี่พูดขึ้นมา “คนงานในร้านไม่อาจเป็นคนในหมู่บ้าน จะต้องหาคนมาจากที่อื่น ถ้าทำได้ไม่ดีก็ไล่ออก ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องสายสัมพันธ์ คนในหมู่บ้านสามารถซื้อเนื้อจากร้านในราคาที่ต่ำที่สุด พวกเขาขายได้มากเท่าไหร่ก็เป็นของพวกเขาเท่านั้น คำนวณรายได้ของร้านกิจการหมู่บ้านทุก ๆ ครึ่งปี จากนั้นปันผลให้แต่ละครัวเรือนตามข้อตกลงเดิม”

“เยี่ยม” เสียงชื่นชมดังมาจากลานบ้าน

มู่ซืออวี่และถงซื่อมองหน้ากันและกัน ก่อนจะออกไปต้อนรับ

“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านมาได้อย่างไร?”

“ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ก็เลยมาดูสักหน่อย ได้ยินความคิดของเจ้าเข้าพอดี” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว

ลู่จื่ออวิ๋นนำเก้าอี้เล็ก ๆ ออกมา “ท่านปู่เชิญนั่งเจ้าค่ะ”

“เป็นเด็กดีจริงเชียว” หัวหน้าหมู่บ้านลูบผมลู่จื่ออวิ๋น “แม่นางน้อยผู้นี้สูงขึ้นกว่าเดิมหรือนี่?”

“สูงขึ้นจริง ๆ ยังมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นอีกด้วย” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “พวกท่านเลี้ยงได้ดีจริง ๆ! ดูสิว่าอวิ๋นเอ๋อร์น้อยยิ่งโตยิ่งงดงาม ช่างน่ารักจริง ๆ”

“เชิญนั่ง ๆ” ถงซื่อย้ายเก้าอี้มาให้ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านนั่งลง

“แม่อวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งกลับมา คงยังไม่ได้กินข้าวกระมัง” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย “ข้าบอกตาเฒ่าแล้วว่าค่อยมาทีหลัง เขาบอกว่าหากมาทีหลังก็กลัวว่าเจ้าจะหลับไปเสียก่อน พรุ่งนี้เจ้าก็ออกไปแต่เช้าตรู่อีก จะต้องมาตอนนี้ให้ได้”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือข้ามามากมาย หากมีเรื่องอะไรที่ข้าช่วยได้ พวกท่านเพียงบอกข้าก็พอ”

หัวหน้าหมู่บ้านเล่าถึงความยุ่งยากวุ่นวายของกิจการหมู่บ้าน

มู่ซืออวี่ฟังอยู่เงียบ ๆ

ถงซื่อได้ยินเสียงในครัวจึงเข้าไปดู เห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังนำอาหารกลับเข้าไปในกระทะเพื่ออุ่น

ลู่จื่ออวิ๋นตัวเล็กเกินไป ความสูงไม่ถึงโต๊ะ นางจึงยกก้อนหินมาแล้วเหยียบขึ้นไป จากนั้นก็ยืดแขนออกไปอย่างยากลำบาก ถงซื่อจึงรีบเข้าไปช่วย

“ขอบคุณท่านยาย”

“อวิ๋นเอ๋อร์ ในหัวน้อย ๆ ของเจ้ามีอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดจึงคิดได้ถี่ถ้วนกว่าผู้ใหญ่เสียอีก?”

“อวิ๋นเอ๋อร์ปกติไม่ได้ทำอะไร เป็นได้แค่ลูกมือช่วยเท่านั้น ท่านยายทั้งต้องตักน้ำทั้งต้องตัดฟืน ลำบากหนักหนาทุกวัน”

ถงซื่อมองลู่จื่ออวิ๋นที่น่ารักใคร่เอ็นดู หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมา

หัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจากไป มู่ซืออวี่จึงได้เอาอาหารร้อน ๆ เข้าปาก

ลู่เซวียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้กลับมาสองวัน ยังไม่เห็นทางบ้านใหม่ หาเวลาไปดูบ้านใหม่บ้าง หากมีตรงไหนไม่ถูกใจจะได้ปรับเปลี่ยนได้”

“พรุ่งนี้ก็ยุ่งอีกวัน มะรืนงานที่บ้านก็จะเสร็จแล้ว” มู่ซืออวี่บอก “เจ้าไปเยี่ยมชมแล้วหรือยัง? รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“ข้าไม่เข้าใจ ดูไปก็ไม่ได้อะไร” ลู่เซวียนลูบใบหน้าของตัวเอง

“หมู่นี้ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อย่าได้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน ออกไปเดินเล่นบ้างเป็นบางครั้งบางคราว” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าอยากจะออกไปหางานทำหรือไม่?”

“ข้าหรือ? งานอะไร?” ตอนนี้เขาเขียนบทละครพื้นเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสามารถพอที่จะหาเงินได้ ความมืดมนที่เคยปกคลุมทั่วทั้งตัวค่อย ๆ จางลง เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นแล้ว

แต่หากเอ่ยถึงการออกไปหางาน เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริง ๆ

“หมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ใช่ว่ามีสำนักศึกษาหรอกหรือ? เจ้าไปสอนหนังสือที่นั่นได้”

แววตาของลู่เซวียนทอประกายขึ้นมา แต่ไม่นานก็เหือดหายไป ราวกับไม่เคยมีมาก่อน

“ข้าทำได้ด้วยหรือ?”

“เจ้ากับพี่ชายของเจ้าเล่าเรียนหนังสือหนังหามาหลายปีเช่นนี้ ตอนนี้จะมาถามข้าว่าได้หรือไม่ได้งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่เลิกคิ้ว “น้องสามี นี่ไม่ใช่นิสัยของเจ้าเลย!”

“จะเหมือนกันได้อย่างไร? การสอนเป็นการให้ความรู้คนอื่น เกี่ยวพันถึงอนาคตของผู้อื่น” ลู่เซวียนกล่าว “ตัวข้าเองยังไม่ได้สอบขุนนาง ผู้ใดจะรู้ว่าจะสามารถสอนผู้อื่นได้ดีหรือไม่?”

“น้องสามี เชื่อข้าเถอะ” มู่ซืออวี่มองเขาอย่างจริงจัง “แรงเกลียดชังข้าในใจเจ้า ถ้าเจ้าใช้มันในการสั่งสอน จะต้องเป็นอาจารย์ที่มีความรับผิดชอบสูงมากแน่ ๆ”

ลู่เซวียน “…”

ต้องขอบคุณการให้กำลังใจของนางจริง ๆ

“จริงสิ เล่มที่สามเขียนเสร็จแล้ว” ลู่เซวียนเอ่ยปาก “เจ้ากล่าวได้ถูก ข้าไม่อาจอยู่แต่ในบ้านตลอดไปได้ พรุ่งนี้ข้าเข้าเมืองพร้อมเจ้าได้หรือไม่?”

“ได้สิ พรุ่งนี้ข้าจะเรียกเจ้า เจ้าจะได้พบกับผู้ตรวจหนังสือฟางพอดี”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ?

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 145 ข้าจะทำได้หรือ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รถม้าเคลื่อนไปยังบ้านถงซื่อ

หน้าประตูมีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นถงซื่อและลู่จื่ออวิ๋นที่รออยู่ที่นั่น

“ท่านแม่ อวิ๋นเอ๋อร์ ยืนทำอะไรอยู่ที่นี่ รีบเข้าไปเร็ว”

“ท่านแม่กลับมาแล้ว! ท่านแม่กลับมาแล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

ถงซื่อเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อวานนี้เจ้าไม่ได้กลับมา เด็กคนนี้เอ่ยถึงเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟ้ายังไม่มืดก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว พวกเราคิดว่าเจ้าคงใกล้จะกลับมาแล้วก็เลยมารออยู่ที่นี่”

“เมื่อครู่นี้มีเรื่องทำให้ล่าช้าออกไป ข้าเลยกลับมาช้า” มู่ซืออวี่พูดอย่างสบาย ๆ “ส่วนลู่อี้ยังวุ่นอยู่ วันนี้ไม่กลับมาแล้ว”

ทันทีที่รถม้าหยุดลง เสียงของลู่เซวียนก็ดังขึ้นมา “พี่ชายข้ายังไม่กลับมาหรือ? เจ้าเป็นหญิงสาวคนเดียว ไม่รู้จักกลับมาให้เร็วเสียหน่อย ดึกดื่นมืดค่ำแล้ว หากตกลงไปในคูน้ำคงไม่มีผู้ใดพบเห็นกระมัง”

“เฮอะ เจ้าสิตกลงไปในคูน้ำ” มู่ซืออวี่ปล่อยสายบังเหียนม้าลง “อวิ๋นเอ๋อร์ มาเอาหญ้าให้ม้ากินหน่อย”

“ได้เลยเจ้าค่ะ”

ลู่จื่ออวิ๋นนำฟางที่เตรียมไว้นานแล้วไปให้ม้ากิน เมื่อเห็นม้าเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างเอร็ดอร่อยจึงลูบขนมันพร้อมบอกมันด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าต้องรีบแข็งแรงขึ้น แล้วดูแลแม่ข้าให้ดีนะ”

ถงซื่อหัวเราะร่วน “มันจะฟังคำพูดเจ้าเข้าใจหรือ?”

“มันฟังเข้าใจ ท่านดูสิ มันกินอย่างมีความสุขขนาดไหน!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างแข็งขัน “ท่านแม่บอกไว้ว่าทุกสิ่งมีจิตวิญญาณ พวกเราแค่ดีกับพวกมัน มันก็จะตอบแทนพวกเรา”

“คืนนี้กินอะไร?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นมา

“ข้าทำของง่าย ๆ ไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากพวกเจ้าหรือไม่” ถงซื่อพูดแล้วก็เหนียมอายขึ้นมา

“อาหารของท่านยายก็อร่อย” ลู่จื่ออวิ๋นพูดขึ้น “เหมือนรสชาติของท่านแม่เลยเจ้าค่ะ”

หลายวันมานี้อยู่ด้วยกัน ถงซื่อดูมู่ซืออวี่ทำอาหาร จึงแอบจดจำเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาบ้าง

เดิมทีนางก็ไม่ได้โง่ บวกกับมีประสบการณ์ทำอาหารมานานหลายปี ขอแค่เพียงไม่ตระหนี่ตอนที่ต้องใช้น้ำมัน เกลือ และเครื่องปรุงรส เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะไม่อร่อย

“หอมจริง ๆ” มู่ซืออวี่ไม่รีรอที่จะเอ่ยชม “ข้ารู้ว่ามอบอวิ๋นเอ๋อร์ให้ท่านแม่ดูแลเหมาะสมที่สุดแล้ว ข้ากับพ่อของนางจะได้จดจ่อกับงาน”

ถงซื่อยิ้มอย่างขัดเขิน

“จริงสิ วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านมาหาข้า ทั้งยังนำหมูตุ๋นมาให้พวกเราด้วย ข้าจะไปเอาออกมา”

ถงซื่อนำหมูตุ๋นออกมาจากครัว

“หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่ากิจการไม่ค่อยสู้ดีนัก อยากจะฟังความคิดเห็นจากเจ้า”

“ร้านกิจการหมู่บ้านมีคนอยู่มากหรือน้อย?” มู่ซืออวี่คีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น

ถงซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยี่สิบสามคน”

“คนมากขนาดนี้เชียว” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วขณะเคี้ยวหมูตุ๋น “รสชาติจืดเกินไป ความร้อนไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นตัวส่วนผสมหรือเวลาที่ใช้ในการทำก็ยังไม่ได้ตามที่กำหนด รสชาติจะยอดเยี่ยมได้อย่างไร?”

“นี่เป็นร้านกิจการภายในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนอยากมีส่วน แต่กลับโต้แย้งทะเลาะวิวาทกันทุกวัน” ถงซื่อกล่าวต่อ “ข้าเข้าใจความหมายของหัวหน้าหมู่บ้าน หากดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าร้านกิจการหมู่บ้านจะต้องปิดลง”

“หากต้องการการจัดการที่ดี เช่นนั้นจำต้องเปลี่ยนวิธี” มู่ซืออวี่พูดขึ้นมา “คนงานในร้านไม่อาจเป็นคนในหมู่บ้าน จะต้องหาคนมาจากที่อื่น ถ้าทำได้ไม่ดีก็ไล่ออก ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องสายสัมพันธ์ คนในหมู่บ้านสามารถซื้อเนื้อจากร้านในราคาที่ต่ำที่สุด พวกเขาขายได้มากเท่าไหร่ก็เป็นของพวกเขาเท่านั้น คำนวณรายได้ของร้านกิจการหมู่บ้านทุก ๆ ครึ่งปี จากนั้นปันผลให้แต่ละครัวเรือนตามข้อตกลงเดิม”

“เยี่ยม” เสียงชื่นชมดังมาจากลานบ้าน

มู่ซืออวี่และถงซื่อมองหน้ากันและกัน ก่อนจะออกไปต้อนรับ

“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านมาได้อย่างไร?”

“ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ก็เลยมาดูสักหน่อย ได้ยินความคิดของเจ้าเข้าพอดี” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว

ลู่จื่ออวิ๋นนำเก้าอี้เล็ก ๆ ออกมา “ท่านปู่เชิญนั่งเจ้าค่ะ”

“เป็นเด็กดีจริงเชียว” หัวหน้าหมู่บ้านลูบผมลู่จื่ออวิ๋น “แม่นางน้อยผู้นี้สูงขึ้นกว่าเดิมหรือนี่?”

“สูงขึ้นจริง ๆ ยังมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นอีกด้วย” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “พวกท่านเลี้ยงได้ดีจริง ๆ! ดูสิว่าอวิ๋นเอ๋อร์น้อยยิ่งโตยิ่งงดงาม ช่างน่ารักจริง ๆ”

“เชิญนั่ง ๆ” ถงซื่อย้ายเก้าอี้มาให้ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านนั่งลง

“แม่อวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งกลับมา คงยังไม่ได้กินข้าวกระมัง” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย “ข้าบอกตาเฒ่าแล้วว่าค่อยมาทีหลัง เขาบอกว่าหากมาทีหลังก็กลัวว่าเจ้าจะหลับไปเสียก่อน พรุ่งนี้เจ้าก็ออกไปแต่เช้าตรู่อีก จะต้องมาตอนนี้ให้ได้”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือข้ามามากมาย หากมีเรื่องอะไรที่ข้าช่วยได้ พวกท่านเพียงบอกข้าก็พอ”

หัวหน้าหมู่บ้านเล่าถึงความยุ่งยากวุ่นวายของกิจการหมู่บ้าน

มู่ซืออวี่ฟังอยู่เงียบ ๆ

ถงซื่อได้ยินเสียงในครัวจึงเข้าไปดู เห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังนำอาหารกลับเข้าไปในกระทะเพื่ออุ่น

ลู่จื่ออวิ๋นตัวเล็กเกินไป ความสูงไม่ถึงโต๊ะ นางจึงยกก้อนหินมาแล้วเหยียบขึ้นไป จากนั้นก็ยืดแขนออกไปอย่างยากลำบาก ถงซื่อจึงรีบเข้าไปช่วย

“ขอบคุณท่านยาย”

“อวิ๋นเอ๋อร์ ในหัวน้อย ๆ ของเจ้ามีอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดจึงคิดได้ถี่ถ้วนกว่าผู้ใหญ่เสียอีก?”

“อวิ๋นเอ๋อร์ปกติไม่ได้ทำอะไร เป็นได้แค่ลูกมือช่วยเท่านั้น ท่านยายทั้งต้องตักน้ำทั้งต้องตัดฟืน ลำบากหนักหนาทุกวัน”

ถงซื่อมองลู่จื่ออวิ๋นที่น่ารักใคร่เอ็นดู หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมา

หัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจากไป มู่ซืออวี่จึงได้เอาอาหารร้อน ๆ เข้าปาก

ลู่เซวียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้กลับมาสองวัน ยังไม่เห็นทางบ้านใหม่ หาเวลาไปดูบ้านใหม่บ้าง หากมีตรงไหนไม่ถูกใจจะได้ปรับเปลี่ยนได้”

“พรุ่งนี้ก็ยุ่งอีกวัน มะรืนงานที่บ้านก็จะเสร็จแล้ว” มู่ซืออวี่บอก “เจ้าไปเยี่ยมชมแล้วหรือยัง? รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“ข้าไม่เข้าใจ ดูไปก็ไม่ได้อะไร” ลู่เซวียนลูบใบหน้าของตัวเอง

“หมู่นี้ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อย่าได้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน ออกไปเดินเล่นบ้างเป็นบางครั้งบางคราว” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้าอยากจะออกไปหางานทำหรือไม่?”

“ข้าหรือ? งานอะไร?” ตอนนี้เขาเขียนบทละครพื้นเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสามารถพอที่จะหาเงินได้ ความมืดมนที่เคยปกคลุมทั่วทั้งตัวค่อย ๆ จางลง เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นแล้ว

แต่หากเอ่ยถึงการออกไปหางาน เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริง ๆ

“หมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ใช่ว่ามีสำนักศึกษาหรอกหรือ? เจ้าไปสอนหนังสือที่นั่นได้”

แววตาของลู่เซวียนทอประกายขึ้นมา แต่ไม่นานก็เหือดหายไป ราวกับไม่เคยมีมาก่อน

“ข้าทำได้ด้วยหรือ?”

“เจ้ากับพี่ชายของเจ้าเล่าเรียนหนังสือหนังหามาหลายปีเช่นนี้ ตอนนี้จะมาถามข้าว่าได้หรือไม่ได้งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่เลิกคิ้ว “น้องสามี นี่ไม่ใช่นิสัยของเจ้าเลย!”

“จะเหมือนกันได้อย่างไร? การสอนเป็นการให้ความรู้คนอื่น เกี่ยวพันถึงอนาคตของผู้อื่น” ลู่เซวียนกล่าว “ตัวข้าเองยังไม่ได้สอบขุนนาง ผู้ใดจะรู้ว่าจะสามารถสอนผู้อื่นได้ดีหรือไม่?”

“น้องสามี เชื่อข้าเถอะ” มู่ซืออวี่มองเขาอย่างจริงจัง “แรงเกลียดชังข้าในใจเจ้า ถ้าเจ้าใช้มันในการสั่งสอน จะต้องเป็นอาจารย์ที่มีความรับผิดชอบสูงมากแน่ ๆ”

ลู่เซวียน “…”

ต้องขอบคุณการให้กำลังใจของนางจริง ๆ

“จริงสิ เล่มที่สามเขียนเสร็จแล้ว” ลู่เซวียนเอ่ยปาก “เจ้ากล่าวได้ถูก ข้าไม่อาจอยู่แต่ในบ้านตลอดไปได้ พรุ่งนี้ข้าเข้าเมืองพร้อมเจ้าได้หรือไม่?”

“ได้สิ พรุ่งนี้ข้าจะเรียกเจ้า เจ้าจะได้พบกับผู้ตรวจหนังสือฟางพอดี”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+