สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 366 ข้าอยากติดตามเจ้า

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 366 ข้าอยากติดตามเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 366 ข้าอยากติดตามเจ้า

บทที่ 366 ข้าอยากติดตามเจ้า

“ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” หวงเฉิงเฟิงจิบชา จากนั้นจึงเอ่ยความตั้งใจของตนและเหตุผลที่มาที่นี่ “ข้ารู้ว่ามันอาจเสียมารยาทไปเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องเห็นว่าข้าเป็นผู้อาวุโสก็ได้ มองข้าเป็นผู้ร่วมงานก็พอ ผู้อื่นเป็นอย่างไร ข้าก็เป็นอย่างนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลข้าเป็นพิเศษ หากข้าทำเรื่องผิดพลาดที่ควรถูกลงโทษก็ลงโทษ ควรลงโทษเช่นใดก็ลงโทษเช่นนั้น ข้าจะไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย”

“เพราะเหตุใดกัน?” มู่ซืออวี่ฉงน “ข้าสอนหลานทั้งสองทำของทานเล่น พวกเขาขายดีมากและตั้งร้านเป็นของตนเอง ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังโดยมีท่านคอยคิดเงินให้ พวกท่านใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นั่นไม่ใช่ว่ามีแต่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือ? เหตุใดท่านจึงอยากเป็นคนทำบัญชีของข้า? แน่นอนว่าข้าไม่ได้บอกว่าไม่ได้ ข้าก็ขาดคนทำบัญชีอยู่ แต่ข้าไม่เข้าใจความตั้งใจของท่าน”

“นังหนูสองคนนั้นมีทุกวันนี้เพราะได้เจ้าช่วยเหลือและสอนมา กิจการใหญ่โตมาถึงขั้นนี้ข้ากระจ่างแก่ใจ แน่นอนว่าชีวิตเช่นนี้เป็นความฝันของครอบครัวพวกเรา เพียงแต่ข้าอยากติดตามเจ้า”

หวงเฉิงเฟิงอธิบายเหตุผลที่ตนอยากติดตามนาง

เหตุผลหลัก ๆ คือร้านของสองพี่น้องยังเล็ก ยังไม่มีที่สำหรับเขา ส่วนเหตุผลอีกอย่างก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เขากล่าวว่าการติดตามมู่ซืออวี่จะช่วยให้เขาซึมซับแนวคิดทางการค้าได้ อีกทั้งยังช่วยขยับขยายวิสัยทัศน์ด้วย

เขายังเอ่ยอีกว่า ‘เรือนกรุ่นฝัน’ จะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ภายหน้าจะมีร้านมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งชื่อเสียงอาจกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน หากได้เป็นหัวหน้าคนทำบัญชีร้านเช่นนี้ จะไม่ดีกว่าเป็นนายตนเองหรือ?

“ได้ เช่นนั้นก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่เรือนกรุ่นฝันของเรา”

หวงเฉิงเฟิงผ่านการสัมภาษณ์แล้ว

ร้านของทานเล่นของครอบครัวหวงมีชื่อว่า ‘ขนมสุดที่รัก’ ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าชื่อนี้เป็นมู่ซืออวี่ที่เลือกมา อย่างไรเสียนี่ก็เป็นยุคโบราณที่มีความเคร่งขรึมสง่างาม ผู้คนจึงมักตั้งชื่อด้วยคำจำพวก ‘หอ’ ‘เรือน’ ‘ศาลา’ อะไรเทือก ๆ นั้น มีเพียงร้านค้าจากตระกูลลู่ที่มีวิธีการตั้งชื่อต่างออกไป

ร้านแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนัก มีพื้นที่ราว ๆ สิบหมู่*[1] เท่านั้น

ด้านหลังมีครัวเล็ก ๆ และเตาที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ติดตั้งไว้เพื่อทำขนมโดยเฉพาะ

เมื่อหวงเฉิงเฟิงกลับมาก็พบหูซื่อที่เพิ่งส่งลูกค้ารายใหญ่คนหนึ่งกลับไป ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มแทบจะหุบไม่ลง

เมื่อเห็นหวงเฉิงเฟิงกลับมา หูซื่อก็รีบมาทักทายด้วยความตื่นเต้น “พ่อเด็ก ๆ ท่านลองเดาสิว่าลูกค้าคนเมื่อครู่นี้ซื้อไปมากน้อยเพียงใด?”

“เท่าใดหรือ?” หวงเฉิงเฟิงมองภรรยาที่ดูเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“ห้าตำลึงเงินเชียวนะ” หูซื่อยกมือขึ้นมาทำท่าทีประกอบ “สวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้คำสั่งซื้อที่ใหญ่ถึงเพียงนี้”

“ลำบากเจ้าแล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของภรรยา ในใจเขายิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิม

หลายปีที่นางติดตามเขาล้วนแต่ลำบากตรากตรำ

“ไม่ลำบากเลย ข้ามีความสุขดี” หูซื่อเอ่ย “จริงสิ ท่านไปที่ใดมาหรือ? ถึงแม้ร่างกายของท่านตอนนี้จะดีขึ้นแล้ว ทว่าอย่าเที่ยวเตร่ไปทั่วจะดีกว่า รักษาตัวอีกสักพักค่อยออกไปเดินเล่นด้วยกันสักหน่อย”

หวงเฉิงเฟิงไม่ปิดบัง เขาเล่าเรื่องที่เพิ่งไปทำมาเมื่อครู่นี้ให้หูซื่อฟัง

หูซื่อลังเลไปชั่วขณะ “เช่นนี้พวกเราจะไม่รบกวนซืออวี่มากเกินไปหรือ?”

“ข้าคิดเช่นนี้” หวงเฉิงเฟิงกล่าว “กิจการของซืออวี่นับวันยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งส่วนของบัญชียังเป็นส่วนที่สำคัญ แทนที่จะปล่อยให้คนนอกที่ไม่รู้จักมักคุ้นทำ ไม่สู้ให้ข้าดูแลดีกว่าหรือ ข้าเป็นลุงเขยของนาง อีกทั้งครอบครัวหวงของเราก็ได้รับความช่วยเหลือมากมายจากนาง แม้นางต้องการชีวิตข้า ข้าก็ยินดีมอบให้ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อนางแน่ นอกจากนี้ร้านขนมของเรามีพวกเจ้าแม่ลูกไม่กี่คนดูแลก็เพียงพอแล้ว ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก”

“ความสามารถอย่างท่าน จะรั้งให้อยู่ในร้านขนมเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ผิดต่อท่านจริง ๆ ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ซืออวี่ดีต่อพวกเรา พวกเราต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนนาง เพียงแต่ร่างกายของท่านจะแบกรับไหวหรือ?”

“ในใจข้ารู้ดี” หากร่างกายของเขายังไม่ดีขึ้น นับประสาอะไรกับตอบแทนน้ำใจ แม้กระทั่งไปพบมู่ซืออวี่เขาคงละอาย

สองสามีภรรยาพูดคุยกันเกือบจะจบก็มีคนเข้ามาพอดี ทั้งคู่จึงหยุดการสนทนาและหันกลับไปต้อนรับลูกค้าอย่างอบอุ่น ทว่าเมื่อเห็นคนที่เข้ามา รอยยิ้มของหูซื่อพลันเลือนหายไปทันที

“ท่านพ่อ ท่านแม่”

พ่อแม่เหล่านี้ไม่ใช่แม่เฒ่าซ่งและถงลี่หยาง แต่เป็นพ่อแม่ของหวงเฉิงเฟิง จั่วซื่อและหวงต้าจง

จั่วซื่ออุ้มหลานชายแก้วตาดวงใจของตนไว้ ก่อนจะหันไปมองร้านเล็ก ๆ ตรงหน้า เมื่อมองเห็นขนมบนชั้น สายตาก็ฉายความละโมบอย่างเด่นชัด

“ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเนิ่นนานเพียงนี้พวกเจ้าจึงไม่กลับไปเยี่ยมเยียนบ้าง ที่แท้ก็พบโชคอยู่ที่นี่นั่นเอง” จั่วซื่อเอ่ยขึ้น “กิจการเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

จากนั้น นางก็หยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกินเข้าไป

หลังจากได้กินหนึ่งคำแล้ว ลูกตาของนางก็แทบจะถลนออกมา

“ท่านย่า ข้าอยากกิน” หวงเอ้อร์โก่วเอื้อมมือขะมุกขะมอมของตนออกไป หมายจะคว้าเอาขนมบนชั้น

ตอนที่จั่วซื่อหยิบ พวกเขาสองคนไม่ทันตั้งตัว ทว่าหากครั้งนี้พวกเขายังไม่ตอบสนองอีก คงโง่งมเหลือทนแล้ว

หวงเฉิงเฟิงจับมือของหวงเอ้อร์โก่วเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “อย่าเอามือมาจับ”

“แงงงง!” หวงเอ้อร์โก่วร้องไห้โยเยออกมาเสียงดังลั่น

สีหน้าของจั่วซื่อและหวงต้าจงไม่น่าดูชมนัก

“เจ้ากล้าจับหลานรักของข้าหรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย…” จั่วซื่อยื่นมือออกมาคิดจะตีหวงเฉิงเฟิง

หวงอันหนิงและหวงอันจิ้งได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งข้างนอก เมื่อวิ่งออกมาเห็นฉากนี้เข้าก็ปรี่เข้ามาผลักจั่วซื่อออก

จั่วซื่อกำลังอุ้มหลานไว้ นึกไม่ถึงว่าหวงอันหนิงและหวงอันจิ้งจะผลัก นางจึงล้มลงกับพื้น

ร่างกายนางแข็งค้างไปชั่วขณะราวกับมองเห็นผี ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังออกมาแล้วลุกขึ้น

หวงต้าจงเอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าเป็นท่านย่าของเจ้า แต่เจ้ากล้าผลักย่าของตัวเอง พ่อแม่ของพวกเจ้าคงจะไม่รู้ว่าควรสั่งสอนลูกสาวตนอย่างไร ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะสอนแทนเอง”

ขณะที่กล่าวก็ทำท่าจะเข้ามาตีหวงอันหนิงและหวงอันจิ้ง

หูซื่อและหวงเฉิงเฟิงบังลูกสาวทั้งสองคนไว้

จั่วซื่อและหวงต้าจงไม่ยอมปล่อย

เสียงโหวกเหวกโวยวายทางนี้ดึงดูดความสนใจของคนมากมาย

“เกิดอะไรขึ้น?”

ต้าหนิวเดินเข้ามาพร้อมกับนักการหลายคน

เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการปรากฏตัวขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะร้ายกาจเพียงใดก็ไม่กล้าหยิ่งผยองอวดดีอีก ทำได้เพียงหยุดมือลงเท่านั้น

“ท่านเจ้าหน้าที่ สองคนนี้กินของจากร้านเราและยังคิดจะตบตีพวกเราอีก” หวงอันหนิงชี้ไปที่จั่วซื่อและหวงต้าจง

จั่วซื่อตะโกนลั่น “ข้าเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้า เจ้าไม่รู้จักแม้กระทั่งย่าของตัวเองรึ สองคนนี้เป็นอะไรกัน? เมื่อย่าแท้ ๆ ของเจ้าอยากกิน อย่าว่าแต่ขนมไม่กี่ชิ้นเลย หากข้าอยากกินทั้งหมดเจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธ”

“ท่านไล่พวกเราออกมาแล้ว ท่านแม่ข้าสร้างเรือนคุ้มสตรี*[2] ขึ้นมา พ่อข้าเป็นเขยแต่งเข้า ร้านนี้ก็เป็นของท่านแม่ ท่านเอาสิ่งใดมาคิดว่าตนเองสามารถกินอะไรได้ตามใจชอบ?” หวงอันหนิงเชิดคอ

“เรือนคุ้มสตรีอะไร? เขยแต่งเข้าอะไร? ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากล่าวถึงสิ่งใดอยู่” แววตาของจั่วซื่อวูบไหว ยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับท่าเดียว

“เรือนคุ้มสตรีมีระเบียนอยู่ในศาลาว่าการ หากท่านไม่ยอมรับ ท่านกล้าไปตรวจดูที่ศาลาว่าการหรือไม่?”

“นังเด็กสมควรตาย! นี่เจ้ากล้าเถียงข้าแล้วรึ…” จั่วซื่อเห็นหวงอันหนิงที่แต่ไหนแต่ไรก็สงบเสงี่ยมมาโดยตลอดกล้าขัดคำพูดตน นางพลันเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม หมายจะทำโทษนางดังแต่ก่อน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะเงื้อมมือขึ้น กลับถูกต้าหนิวบิดแขนกลางคัน

“อ๊า เจ็บ ๆ ใต้เท้าอภัยให้ข้า…”

ต้าหนิวหมดความอดทน “พอได้แล้ว ข้ารู้เหตุผลแจ่มแจ้งแล้ว นักการ! จับสองคนนี้ไปขังไว้ในคุก!”

ฮูหยินกำชับไว้แล้ว หากเจออันธพาลเช่นนี้ ให้ขังไว้เสียสิบวันจนถึงครึ่งเดือน

ส่วนเด็กคนนั้น เขาทำตัวดีตั้งแต่ต้นจนจบ ควรส่งเขากลับไปที่บ้าน ไม่ให้เขาต้องตามไปทรมานในคุกก็พอ

[1] 10 หมู่ เท่ากับ 10 ตารางเมตร

[2] เรือนคุ้มสตรี ในจีนโบราณ หากไม่มีผู้ชายในครอบครัวและไม่มีแหล่งรายได้ที่มั่นคง ราชสำนักจะทำการยกเว้นงานเบ็ดเตล็ด และให้สตรีเป็นหัวหน้าครัวเรือน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด