สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 526 สกุลหานไม่ขาดเงิน ผู้อื่นขาดหรือ?

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 526 สกุลหานไม่ขาดเงิน ผู้อื่นขาดหรือ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 526 สกุลหานไม่ขาดเงิน ผู้อื่นขาดหรือ?

บทที่ 526 สกุลหานไม่ขาดเงิน ผู้อื่นขาดหรือ?

บทที่ 526 สกุลหานไม่ขาดเงิน ผู้อื่นขาดหรือ?

วันต่อมา ลู่จื่ออวิ๋นก้าวออกมาจากบ้านโดยสวมรองเท้าสำหรับเดินกลางหิมะ นางเดินไปในหมู่บ้าน

คนอื่น ๆ ยังไม่ตื่น นางมาที่เรือนพักร้อนแห่งนี้เป็นครั้งแรก จึงอยากจะดูสภาพแวดล้อมรอบ ๆ

บางทีอาจเป็นเพราะนางเติบโตมาในหมู่บ้านชนบทจึงไม่รู้สึกว่าที่นี่รกร้างและห่างไกลจากตัวเมืองแม้แต่น้อย นางชอบที่นี่มาก ที่นี่ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายและมีอิสระเสรีอย่างที่นางไม่เคยมีมาเป็นเวลานาน

เหมยแดงบานสะพรั่งทั่วทั้งภูเขา แดงราวกับสีของชาด นี่เป็นความรักที่ท่านพ่อมอบให้กับท่านแม่

ดีจริง ๆ!

ลู่จื่ออวิ๋นเลือกหินก้อนที่สะอาดเกลี้ยงเกลาที่สุดแล้วนั่งลง มองดูภูเขาฝั่งตรงข้าม

เหมยแดงที่สว่างไสวราวกับชาดทำให้หัวใจของนางอบอุ่น

ลมระผ่านใบหน้างดงาม พัดพาเศษใบไม้ปลิวผ่านใบหู ใบหน้าที่งามยิ่งกว่าดอกเหมยแดงที่กำลังบานสะพรั่งนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

รถม้าคันหนึ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน

ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมอง เห็นเพียงรถม้าที่ทั้งหรูหรา ใหญ่ และตระการตายิ่งกว่ารถม้าสกุลลู่อยู่ตรงหน้า

อีกทั้งยังมีคนอีกมากมายติดตามมา เจ็ดถึงแปดคนเดินอยู่ข้างนอก ส่วนอีกเจ็ดถึงแปดคนควบขี่ม้าตามมา ในนั้นมีทั้งสาวใช้และผู้คุ้มกัน

อันที่จริงนางเห็นเพียงรถม้าคันนั้นและกลุ่มคนที่เดินทางผ่านมาตรงหน้า ไม่ได้สังเกตเห็นว่าข้างหลังก็ยังมีรถม้าอีกคัน เพียงแต่รถม้าคันนั้นค่อนข้างเรียบง่าย

คนในรถม้าคันข้างหลังเห็นนางแล้ว เมื่อเห็นนาง เขาพลันแตะแหวนหยกที่สวมอยู่บนนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเงียบสงบไร้คลื่นอารมณ์

“นี่ คนที่อยู่ข้างหน้า…” สาวใช้คนหนึ่งลงมาจากรถม้า ตะโกนมาทางลู่จื่ออวิ๋น

ลู่จื่ออวิ๋นมองไปรอบ ๆ กลับไม่พบผู้ใด นางเหลือบมองสาวใช้ผู้นั้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเรียกข้าหรือ?”

“ที่นี่นอกจากเจ้าแล้วยังมีผู้อื่นหรือ?” สาวใช้คนนั้นเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างมาก

“มีอันใด?”

“ได้ยินว่าที่นี่มีเรือนพักร้อนหลังหนึ่ง ไปทางไหน?”

ลู่จื่ออวิ๋นประหลาดใจ

คนเหล่านี้จะมาทำอะไรที่บ้านนาง?

นางชี้ไปที่ถนนเบื้องหน้า “นั่น ไปทางนั้นก็ถึงแล้ว”

คนในรถม้าเลิกม่านขึ้น มองมาทางลู่จื่ออวิ๋น

ลู่จื่ออวิ๋นก็เห็นอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน

อีกฝ่ายเป็นสตรีหน้าตาไม่เลว อายุมากกว่านางราวสองสามปี เค้าความเป็นเด็กบนใบหน้ายังไม่จางหายไป ทว่าสายตาหยิ่งผยองนั่นช่างดูขัดตาจริง ๆ

รถม้าเคลื่อนต่อไป

ลู่จื่ออวิ๋นหมุนตัวกลับไปที่บ้าน

มู่ซืออวี่เพิ่งลุกขึ้นมา เมื่อลู่จื่ออวิ๋นเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง สีหน้าของผู้เป็นแม่ดูสับสน

“จากที่เจ้าอธิบาย ข้าไม่รู้จักแม่นางน้อยผู้นี้”

“ข้าเห็นว่านางดูใหญ่โตเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนคนธรรมดา” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “สาวใช้ของนางหรือก็หยาบคาย ท่านแม่ คนเหล่านี้คงไม่ได้มาดีกระมัง?”

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา เหตุใดถึงได้บอกทางไปสุ่ม ๆ เล่า?”

“ข้าไม่ได้ชี้ทางสุ่ม ๆ เสียหน่อย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีไร้เดียงสา “พวกเขามีหลายคนเพียงนั้น ย่อมไม่อาจผ่านเส้นทางเล็ก ๆ ได้ มีเพียงต้องใช้ทางเส้นหลักเท่านั้น”

“หมู่บ้านนี้เดิมทีก็เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ถึงแม้จะเป็นทางหลัก ก็ไม่อาจรับรองรถม้าใหญ่โตเช่นนั้นได้!” จื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยยิ้ม ๆ “กล่าวได้ว่าท่านไม่ได้จงใจสร้างปัญหา”

“ข้าได้รับความไม่เป็นธรรมนะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พวกเขายืนกรานจะถามทางข้า ข้าไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ย่อมไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ชี้ให้พวกเขาไปเส้นทางหลัก”

อีกด้านหนึ่ง รถม้าหรูหราตระการตาคันนั้นติดหล่ม ไม่ว่าจะดันอย่างไรก็ขึ้นมาไม่ได้ คุณหนูผู้แต่งกายหรูหราจำต้องลงจากรถม้า รองเท้าปักดิ้นลายดอกบัวทองก้าวลงบนพื้นสกปรกจนเปรอะเปื้อนง่าย ๆ ในชั่วพริบตา หนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านรองเท้าคุณหนูจากสกุลผู้มั่งมีไป ทำให้นางตกใจเสียจนต้องกรีดร้อง

ชิ้ง! ชายคนหนึ่งแกว่งดาบของเขาออกมา จากนั้นหนูตัวดังกล่าวก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีกทันที

เลือดของหนูตัวนั้นสาดกระเซ็นใส่กระโปรงคุณหนู

“กรี๊ด!!!!” หานหว่านเอ๋อร์กรีดร้องเสียงแหลม “ท่านพี่….”

เซี่ยเฉิงจิ่นเดินเข้ามา เอ่ยอย่างหมดความอดทน “เอะอะโวยวายอันใด?”

“ท่านพี่…” หานหว่านเอ๋อร์ชะงัก “เจ้าสุนัขรับใช้ตัวนี้ทำให้กระโปรงข้าพัง…”

“หากกลัวกระโปรงเปื้อนเพียงนี้ เจ้าจะออกมาทำอันใดเล่า?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “อยู่ที่จวนหานของพวกเจ้าไม่ดีหรือ?”

“ท่านพี่…” หานหว่านเอ๋อร์มองเขาอย่างเสียใจ “น้าสะใภ้ชอบเหมยแดง ผู้ใดล้วนรู้เรื่องนี้ ข้าได้ยินว่าภูเขาที่นี่มีเหมยแดงบานอยู่ทั่ว จึงอยากซื้อไว้ให้น้าสะใภ้”

“เจ้าอยากซื้อ แล้วคิดบ้างหรือเปล่าว่าผู้อื่นอยากขายหรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นมองนาง กล่าววาจาถากถาง “เอาละ ข้ารับปากท่านแม่แล้วว่าจะพาเจ้ามาดู ตอนนี้เห็นเจ้าก็เห็นแล้ว กลับกันเถิด”

“ท่านพี่ พวกเรายังไม่ได้พบเจ้าของที่นี่เลย!” หานหว่านเอ๋อร์กล่าว “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว แน่นอนว่าต้องไปพบ บางทีอีกฝ่ายอาจจะยินดีขายก็เป็นได้! พวกเราสกุลหานอย่างอื่นอาจไม่มี ทว่าไม่เคยขาดเงิน ขอเพียงอีกฝ่ายยินดีขาย แม้จะต้องจ่ายเป็นสิบเท่าก็ซื้อได้”

เซี่ยเฉิงจิ่นมองหานหว่านเอ๋อร์ราวกับนางเป็นคนโง่งมคนหนึ่ง

แน่นอนว่าสกุลหานซื้อได้ แต่ผู้อื่นขาดเงินน้อยนิดนี่หรือ?

“ล้วนต้องโทษเด็กสาวชาวบ้านผู้นั้น” หงซิ่งผู้เป็นสาวใช้เอ่ยขึ้น “หากนางไม่บอกทางมั่ว ๆ เช่นนี้ รถม้าคงไม่ต้องมาติดหล่มจนออกไม่ได้ นางต้องจงใจเป็นแน่!”

เซี่ยเฉิงจิ่นแสดงสีหน้าหมดความอดทนออกมา

ถึงตอนนี้เขาควรไปได้แล้ว

ทว่า…

จู่ ๆ เขาก็ไม่อยากไปขึ้นมา

สกุลหานเป็นตระกูลพ่อค้า ที่บ้านมีเงินไม่น้อย ไม่ว่าจะทำการใดล้วนทำตัวอย่างเศรษฐีใหม่เสมอ

หานหว่านเอ๋อร์เก่งเรื่องประจบประแจงมารดาเขา ครั้งนี้เป็นนางที่กล่าวว่ากำลังหมายตาเรือนพักร้อนที่มีน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง และบนภูเขานั้นยังเต็มไปด้วยเหมยแดง นางอยากจะซื้อให้

ถึงแม้มารดาเขาจะชอบเหมยแดง ทว่านางไม่ได้ขาดของพวกนี้ เพียงแต่หานหว่านเอ๋อร์พยายามอย่างถึงที่สุดในการเอาใจนาง มารดาเขาทนการรบเร้าไม่ไหวจึงบอกให้เขามากับนางสักเที่ยว อีกทั้งยังย้ำเตือนว่าอย่าได้ทำให้คนที่นี่ต้องลำบากใจ

“คุณหนู พบเรือนที่ว่าแล้วเจ้าค่ะ น่าจะเป็นเรือนที่เจ้าของบ้านอาศัยอยู่” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งกลับมารายงาน

“เช่นนั้นยังจะรออะไรอีก? ไปเถอะ!”

เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มู่ซืออวี่กำลังรับรองแขกทานอาหารเช้า

นางและลู่จื่ออวิ๋นมองหน้ากัน

ไม่นานนัก บ่าวรับใช้ก็เข้ามาพร้อมกับบุรุษและสตรีแต่งกายดูดี

ชายหนุ่มคนนั้นบุคลิกดีเยี่ยม รูปโฉมโนมพรรณยิ่งดีกว่า ดวงตาใส่กระจ่างทว่าเยือกเย็นคู่นั้นกวาดตามองทั้งยังพกพาความองอาจสายหนึ่งมาด้วย

ส่วนแม่นางน้อยผู้นั้น…

ดูราวกับเพชรนิลจินดาเคลื่อนที่ได้

แม้กระทั่งรองเท้าปักลายยังปักด้วยไข่มุกตะวัน ประหนึ่งว่าต้องการประกาศให้ผู้อื่นรู้ว่า ‘ข้ารวยมาก รีบเข้ามาปล้นสิ’

“ทั้งสองท่านมีนามว่าอันใดหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

ฮูหยินถานเปิดปากขึ้น “เซี่ยซื่อจื่อ”

มู่ซืออวี่หันกลับไปมองฮูหยินถาน

ฮูหยินถานเอ่ยปากแนะนำนาง “ท่านนี้คือซื่อจื่อจวนอู่อันโหว”

สถานะของเซี่ยเฉิงจิ่นสูงศักดิ์ ไม่จำเป็นต้องคารวะสตรีแวดวงขุนนางเหล่านี้

มู่ซืออวี่พลันนึกขึ้นได้ “ข้าคิดออกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบซื่อจื่อท่านนี้”

“เป็นเจ้า!” หานหว่านเอ๋อร์ชี้ไปที่ลู่จื่ออวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “เป็นเจ้าที่จงใจบอกทางพวกเราผิด ทำให้รถม้าของพวกเราติดหล่มจนเกือบจะขึ้นมาไม่ได้”

ลู่จื่ออวิ๋นเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “แม่นางท่านนี้ พวกท่านเคยพบข้ามาก่อนหรือ?”

“ก่อนหน้านี้บ่าวรับใช้ข้าถามทาง เจ้าบอกให้ข้าไปข้างหน้า ยังจะกล้าบอกว่าพวกเราไม่เคยพบกันมาก่อนอีกหรือ?” หานหว่านเอ๋อร์เอ่ยด้วยความคับแค้นใจ

“รถม้าพวกท่านใหญ่โตปานนั้น ข้าย่อมต้องชี้ไปทางที่กว้างกว่าเพื่อให้พวกท่านเดินทางได้สะดวก ข้าไม่ได้บอกผิดนี่ เพียงแค่ไปข้างหน้า อ้อมเล็กน้อยก็มาถึงที่นี่แล้ว หากพวกท่านไม่ได้นั่งรถม้ามา ข้าย่อมต้องบอกทางที่เล็กกว่าแน่นอน นี่ไม่ใช่เพราะข้าคำนึงถึงพวกท่านหรอกหรือ?”

“ฮูหยินลู่ ขอเวลาพูดคุยด้วยสักประเดี๋ยวได้หรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยถาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด