สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย

“หรือว่าคนผู้นี้เป็นพยานได้?” นายอำเภอฉินไม่รู้จักท่านหมอลี่

ลู่อี้ประสานมือมือกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า รบกวนให้ท่านหมอลี่ชันสูตรอีกครั้งด้วยขอรับ”

นายอำเภอฉินขมวดคิ้ว “ผ่านไปสิบวัน ศพเน่าเปื่อยและถูกฝังไปแล้ว ถึงเวลานี้แล้วจะชันสูตรอีกครั้งได้อย่างไร?”

“เช่นนั้นก็เปิดโลงชันสูตรเถอะขอรับ”

“เหลวไหล!”

“ข้าน้อยไม่ได้เหลวไหล แต่ข้าน้อยอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็ต้องเปิดโลงชันสูตรขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวต่อไปว่า “ใต้เท้าเคยกล่าวว่าตราบใดที่คดีอยู่ในมือท่าน จะไม่มีคดีที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด หากใต้เท้าอยากให้คดีนี้กระจ่าง จำเป็นต้องไขออกมาให้ชัดเจน ท่านหมอลี่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองใกล้เคียงกันนี้ ทั้งยังเคยเป็นหมอหลวงอยู่ในพระราชวัง ฝีมือชันสูตรของเขาสามารถเชื่อได้มากกว่าขอรับ”

“หรือเจ้าคิดว่าศาลาว่าการของข้าทำงานไม่ถี่ถ้วนรึ?” นายอำเภอฉินรู้สึกไม่พอใจ

“สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ถึงแม้จะผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดขอรับ”

“ท่านใต้เท้า” หลินตงคุกเข่าลง “ท่านพ่อของข้าตายอย่างน่าอนาถ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ฝังเขา ตอนนี้จะขุดเขาขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งตายแล้วเขายังไม่ได้รับความสงบ! ใต้เท้าได้โปรดพิจารณา”

นายอำเภอฉินปวดหัวตุบ ๆ

ลู่อี้ผู้นี้รู้จักสร้างความลำบากให้เขาจริง ๆ

นับแต่โบราณกาลมา ผู้ตายสำคัญที่สุด บัดนี้กลบฝังแล้วยังจะขุดขึ้นมา นี่จะไม่ผิดครรลองคลองธรรมหรอกหรือ?

“ใต้เท้า เพราะผู้ตายสำคัญที่สุด พวกเราต้องค้นหาความจริงว่าเขาตายได้อย่างไร หากเขาตายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เช่นนั้นจะไม่ใช่ว่ายิ่งไม่เป็นธรรมหรอกหรือเจ้าคะ? ถึงแม้เขาจะไปอยู่ในปรโลก เขาก็ไม่อาจร้องทุกข์ได้ มิหนำซ้ำอาจจะไม่ได้ไปเกิดนะเจ้าคะ!” มู่ซืออวี่ตะโกนอยู่หน้าประตู

“สิ่งที่ฮูหยินผู้นี้พูดมาก็มีเหตุผล”

ชาวเมืองคนอื่น ๆ ล้วนเห็นพ้องต้องกัน

ลู่อี้ได้ยินเสียงของมู่ซืออวี่จึงหันกลับมามองนาง เขายิ้มให้นางเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำอย่างไร้สุ้มเสียง “เชื่อข้า”

มู่ซืออวี่พยักหน้ามองเขาด้วยความเชื่อมั่น

“ใต้เท้า ไม่ได้นะขอรับ!” หลินตงยังคงไม่ยินยอม

ทว่าถึงตอนนี้แล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลินตงว่าจะยินยอมหรือไม่ ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับการตัดสินของใต้เท้าฉิน

“เปิดโลงชันสูตร” ใต้เท้าฉินกล่าว “ใครก็ได้ นำร่างของหลินต้าจ้วงกลับมาที่นี่ ชันสูตรศพใหม่เดี๋ยวนี้”

“รับทราบขอรับ!” นักการเกากล่าว “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”

ท่ามกลางกลุ่มคน เฉินเซียนเฉิงมองคนผู้หนึ่งที่อยู่มุมลับตา คนผู้นั้นพยักหน้าแล้วถอยออกไปเงียบ ๆ

เซี่ยคุนคอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบตลอดเวลา จึงย่อมสังเกตเห็นการกระทำของสองคนนั้น

เขาตามไปติด ๆ ทันที

จากเมืองมายังหมู่บ้านครอบครัวลู่ แม้กระทั่งเส้นทางที่เร็วที่สุดยังต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องขุดหลุมอีก

“ลู่อี้ ในเมื่อเจ้าส่งคนไปเชิญท่านหมอชื่อดังอย่างท่านหมอลี่มา เหตุใดเจ้าไม่แจ้งข้าเสียแต่เนิ่น ๆ หากแจ้งให้ทราบเสียก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมฝังศพ” นายอำเภอฉินกล่าว

“ใต้เท้าได้โปรดตัดสิน หากบอกกล่าวล่วงหน้า หลักฐานบางอย่างอาจหายไป มีแค่เพียงกระทำอย่างเงียบเชียบเท่านั้น จึงจะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากนี้พวกเราจะได้ทราบสิ่งที่เราต้องการจะทราบ”

“เจ้าหมายความว่ามีคนคิดจะทำลายหลักฐานหรือ?”

“อีกเดี๋ยวใต้เท้าก็จะได้ทราบขอรับ”

มู่ซืออวี่หันหน้ากลับไปก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวคนนั้นสวมหมวกคลุมด้วยผ้าโปร่งบาง แต่งกายอย่างสตรีชนชั้นสูง

หญิงสาวนางนั้นรู้สึกว่ามีคนกำลังมองนาง จึงหันกลับมา เมื่อนางเห็นมู่ซืออวี่ นางก็เปิดผ้าคลุมผืนบางขึ้น เผยใบหน้ารูปไข่งดงามออกมา ก่อนจะพยักหน้ายิ้มน้อย ๆ มาให้

มู่ซืออวี่จำอีกฝ่ายได้ นางคือหลานสาวของเจียงเหล่าที่ลู่อี้คุ้มครองกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนผู้นั้น

“ฮูหยินลู่” เฉินซือจวินเดินเข้ามา “หลายวันมานี้ฮูหยินคงกังวลใจไม่น้อยกระมัง?”

“โชคยังดีที่ข้ารู้ว่าสามีของข้าไม่ผิด เขาฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด ย่อมต้องมีทางออกอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ

“ได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินลู่และจู่ปู้ลู่เป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ลึกซึ้ง วันนี้ได้พบแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกท่านช่างทำให้ผู้คนอิจฉาจริง ๆ ครั้งนั้นระหว่างทางกลับมายังเมืองฮู่เป่ย จู่ปู้ลู่มักจะเอ่ยถึงฮูหยินลู่อยู่เสมอ ตอนนั้นข้าก็คิดว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่งดงามคงเป็นเช่นท่านทั้งสอง”

“สามีข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เลย เขาน่ะ ไม่เคยบอกว่าคิดถึงข้ามากเพียงใด เขาเพียงแต่บอกว่าเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง ไม่กล้าแม้กระทั่งหลับนอนเป็นเวลาหลายวัน เอาแต่เฝ้าคุ้มครองความปลอดภัยอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ข้าเห็นว่าเขาผอมลงไปไม่น้อย รอยคล้ำใต้ตาใหญ่โตราวกำปั้น ข้าปวดใจยิ่งนัก”

กล่าวถึงฮูหยินลู่อะไรกัน? พูดราวกับว่าทั้งสองคนพูดคุยกันทุกเรื่องอย่างไรอย่างนั้น

ในยุคโบราณยังมีสาวชาเขียว*[1] เกินไปแล้วจริง ๆ

เฉินซือจวินเอ่ยเบา ๆ “ฮูหยินลู่ทำกิจการอยู่ใช่หรือไม่? พอดีข้าเพิ่งมาที่นี่ ยังไม่คุ้นเคยกับหลาย ๆ สิ่ง หากมีโอกาส ข้าอยากไปดูร้านของฮูหยินลู่จริง ๆ”

“เรื่องนี้ถามข้านั้นถูกแล้ว” มู่ซืออวี่นำหนังสือเล่มเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อของนาง จากนั้นก็กางออกตรงหน้าเฉินซือจวิน “นี่เป็นม้านั่งบุนวมตัวใหม่ของข้า ท่านว่าเป็นอย่างไร? ครั้งก่อนข้าขายม้านั่งบุนวมนี้ให้คุณหนูตระกูลหลี่ มีเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ตอนนี้ข้าทำตัวที่ใหญ่กว่าและนุ่มกว่าตัวนั้นขึ้นมา สิ่งสำคัญคือสามารถใช้สอยได้ดีกว่า แน่นอนว่าข้าไม่ขายให้ท่านราคาแพงแน่นอน เพียงแค่ 300 ตำลึงเงินเท่านั้น ส่วนอันนี้…”

เฉินซือจวิน “…”

นางแค่เพียงเอ่ยถามตามมารยาทเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น คดีของสามียังไม่แน่ชัด มู่ซืออวี่ยังพูดคุยเรื่องการค้าอยู่ที่นี่ สตรีหยาบคายเช่นนี้จะคู่ควรกับลูอี้ที่ดีเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?

“ฮูหยินท่านนี้ ตอนนี้เอ่ยเรื่องเหล่านี้คงมิเหมาะสมกระมัง?” ชิวสุ่ยเข้ามาช่วยกู้หน้าให้เฉินซือจวิน

มู่ซืออวี่เลิกคิ้วมองเฉินซือจวิน “ดูข้าสิ ข้าได้ยินว่ามีกฎเกณฑ์ว่า คุณหนูจากตระกูลผู้ดีจะได้รับแบ่งสรรค่าใช้จ่ายทุกเดือน 300 ตำลึงเงินแต่สำหรับคุณหนูเฉินคงมากเกินไปแล้ว”

เฉินซือจวินถอดหมวกคลุมออกทันที “300 ตำลึงเงินไม่นับว่ามาก เพียงแต่เรื่องนี้ค่อยคุยภายหลังเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้เรื่องของจู่ปู้ลู่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข!”

“ใช่แล้ว รอเรื่องของสามีข้าสิ้นสุดแล้วค่อยแนะนำเครื่องเรือนใหม่ ๆ ให้คุณหนูเฉิน” มู่ซืออวี่กล่าว “จะได้หาเงินมาบำรุงร่างกายสามีของข้าได้พอดี เขาซูบผอมเหลือเกิน”

เฉินซือจวินหลบไปด้านข้าง

ชิวสุ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า “คุณหนู ท่านอยากซื้อม้านั่งบุนวมที่นางเอ่ยถึงจริง ๆ หรือเจ้าคะ? 300 ตำลึงนั้นมากโขเลยนะเจ้าคะ นี่มันปล้นกันชัด ๆ”

จริงอยู่ที่ว่าเฉินซือจวินเป็นหลานสาวของเจียงเหล่า แต่นางก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ในมือไม่มีเงินมากมายเช่นนั้น ใช้เงิน 300 ตำลึงซื้อม้านั่งหนึ่งตัว หากเจียงเหล่ารู้เข้า เกรงว่าจะถูกทำโทษไม่ต่างจากสุนัข

สองชั่วยามคือสี่ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้ที่จะรออยู่ที่นี่ถึงสี่ชั่วโมง ดังนั้นชาวเมืองหลายคนจึงแยกย้ายไปทำสิ่งอื่น เหลือเพียงญาติพี่น้องไม่กี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู

นายอำเภอฉินและที่ปรึกษากลับไปพักที่ห้องด้านหลังแล้ว

ลู่อี้และหลินตงไม่ได้ถูกควบคุมตัวไว้ หลินตงนั่งอยู่บนพื้น ส่วนลู่อี้ขอให้นักการย้ายเก้าอี้มาให้แล้วนั่งลง ก่อนจะถือหนังสือไว้ในมือแล้วอ่านมัน

“ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมีความสุขนัก” จู่ ๆ ลู่อี้ก็เอ่ยกับหลินตง

สายตาของหลินตงเบิกกว้าง “เจ้าอย่ามาพูดมั่ว ๆ! แน่นอนว่าข้าต้องเสียใจมาก”

“เสียใจ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องซื้อรองเท้าใหม่?” ลู่อี้เหลือบตามองเท้าของอีกฝ่าย “ไม่เพียงแต่รองเท้าใหม่เท่านั้น แต่ยังมีเงินไปดื่มสุราดอกไม้อีก”

“ไม่ใช่… ข้าไม่ได้ไป” หลินตงฉุนเฉียว

ลู่อี้เลิกคุยกับหลินตง อ่านหนังสือในมือต่อไปตามเดิม

หลินตงเริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว

เขามองไปที่ประตูแต่ไม่เห็นคนที่คุ้นเคย จากนั้นจึงหันไปมองโต๊ะของนายอำเภอฉิน

เหงื่อพลันไหลหยดลงจากหน้าผาก สีหน้าก็ซีดเผือดลงเรื่อย ๆ ราวกับกำลังรู้สึกผิดอย่างไรอย่างนั้น

[1] สาวชาเขียว หมายถึง ผู้หญิงที่แสร้งทำตัวบอบบางอ่อนแอให้คนสงสาร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 234 ลู่อี้กล่าวเช่นนั้นก็เปิดโลงเสีย

“หรือว่าคนผู้นี้เป็นพยานได้?” นายอำเภอฉินไม่รู้จักท่านหมอลี่

ลู่อี้ประสานมือมือกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า รบกวนให้ท่านหมอลี่ชันสูตรอีกครั้งด้วยขอรับ”

นายอำเภอฉินขมวดคิ้ว “ผ่านไปสิบวัน ศพเน่าเปื่อยและถูกฝังไปแล้ว ถึงเวลานี้แล้วจะชันสูตรอีกครั้งได้อย่างไร?”

“เช่นนั้นก็เปิดโลงชันสูตรเถอะขอรับ”

“เหลวไหล!”

“ข้าน้อยไม่ได้เหลวไหล แต่ข้าน้อยอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็ต้องเปิดโลงชันสูตรขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวต่อไปว่า “ใต้เท้าเคยกล่าวว่าตราบใดที่คดีอยู่ในมือท่าน จะไม่มีคดีที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด หากใต้เท้าอยากให้คดีนี้กระจ่าง จำเป็นต้องไขออกมาให้ชัดเจน ท่านหมอลี่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองใกล้เคียงกันนี้ ทั้งยังเคยเป็นหมอหลวงอยู่ในพระราชวัง ฝีมือชันสูตรของเขาสามารถเชื่อได้มากกว่าขอรับ”

“หรือเจ้าคิดว่าศาลาว่าการของข้าทำงานไม่ถี่ถ้วนรึ?” นายอำเภอฉินรู้สึกไม่พอใจ

“สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ถึงแม้จะผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดขอรับ”

“ท่านใต้เท้า” หลินตงคุกเข่าลง “ท่านพ่อของข้าตายอย่างน่าอนาถ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ฝังเขา ตอนนี้จะขุดเขาขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งตายแล้วเขายังไม่ได้รับความสงบ! ใต้เท้าได้โปรดพิจารณา”

นายอำเภอฉินปวดหัวตุบ ๆ

ลู่อี้ผู้นี้รู้จักสร้างความลำบากให้เขาจริง ๆ

นับแต่โบราณกาลมา ผู้ตายสำคัญที่สุด บัดนี้กลบฝังแล้วยังจะขุดขึ้นมา นี่จะไม่ผิดครรลองคลองธรรมหรอกหรือ?

“ใต้เท้า เพราะผู้ตายสำคัญที่สุด พวกเราต้องค้นหาความจริงว่าเขาตายได้อย่างไร หากเขาตายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เช่นนั้นจะไม่ใช่ว่ายิ่งไม่เป็นธรรมหรอกหรือเจ้าคะ? ถึงแม้เขาจะไปอยู่ในปรโลก เขาก็ไม่อาจร้องทุกข์ได้ มิหนำซ้ำอาจจะไม่ได้ไปเกิดนะเจ้าคะ!” มู่ซืออวี่ตะโกนอยู่หน้าประตู

“สิ่งที่ฮูหยินผู้นี้พูดมาก็มีเหตุผล”

ชาวเมืองคนอื่น ๆ ล้วนเห็นพ้องต้องกัน

ลู่อี้ได้ยินเสียงของมู่ซืออวี่จึงหันกลับมามองนาง เขายิ้มให้นางเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำอย่างไร้สุ้มเสียง “เชื่อข้า”

มู่ซืออวี่พยักหน้ามองเขาด้วยความเชื่อมั่น

“ใต้เท้า ไม่ได้นะขอรับ!” หลินตงยังคงไม่ยินยอม

ทว่าถึงตอนนี้แล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลินตงว่าจะยินยอมหรือไม่ ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับการตัดสินของใต้เท้าฉิน

“เปิดโลงชันสูตร” ใต้เท้าฉินกล่าว “ใครก็ได้ นำร่างของหลินต้าจ้วงกลับมาที่นี่ ชันสูตรศพใหม่เดี๋ยวนี้”

“รับทราบขอรับ!” นักการเกากล่าว “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”

ท่ามกลางกลุ่มคน เฉินเซียนเฉิงมองคนผู้หนึ่งที่อยู่มุมลับตา คนผู้นั้นพยักหน้าแล้วถอยออกไปเงียบ ๆ

เซี่ยคุนคอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบตลอดเวลา จึงย่อมสังเกตเห็นการกระทำของสองคนนั้น

เขาตามไปติด ๆ ทันที

จากเมืองมายังหมู่บ้านครอบครัวลู่ แม้กระทั่งเส้นทางที่เร็วที่สุดยังต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องขุดหลุมอีก

“ลู่อี้ ในเมื่อเจ้าส่งคนไปเชิญท่านหมอชื่อดังอย่างท่านหมอลี่มา เหตุใดเจ้าไม่แจ้งข้าเสียแต่เนิ่น ๆ หากแจ้งให้ทราบเสียก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมฝังศพ” นายอำเภอฉินกล่าว

“ใต้เท้าได้โปรดตัดสิน หากบอกกล่าวล่วงหน้า หลักฐานบางอย่างอาจหายไป มีแค่เพียงกระทำอย่างเงียบเชียบเท่านั้น จึงจะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากนี้พวกเราจะได้ทราบสิ่งที่เราต้องการจะทราบ”

“เจ้าหมายความว่ามีคนคิดจะทำลายหลักฐานหรือ?”

“อีกเดี๋ยวใต้เท้าก็จะได้ทราบขอรับ”

มู่ซืออวี่หันหน้ากลับไปก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวคนนั้นสวมหมวกคลุมด้วยผ้าโปร่งบาง แต่งกายอย่างสตรีชนชั้นสูง

หญิงสาวนางนั้นรู้สึกว่ามีคนกำลังมองนาง จึงหันกลับมา เมื่อนางเห็นมู่ซืออวี่ นางก็เปิดผ้าคลุมผืนบางขึ้น เผยใบหน้ารูปไข่งดงามออกมา ก่อนจะพยักหน้ายิ้มน้อย ๆ มาให้

มู่ซืออวี่จำอีกฝ่ายได้ นางคือหลานสาวของเจียงเหล่าที่ลู่อี้คุ้มครองกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนผู้นั้น

“ฮูหยินลู่” เฉินซือจวินเดินเข้ามา “หลายวันมานี้ฮูหยินคงกังวลใจไม่น้อยกระมัง?”

“โชคยังดีที่ข้ารู้ว่าสามีของข้าไม่ผิด เขาฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด ย่อมต้องมีทางออกอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ

“ได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินลู่และจู่ปู้ลู่เป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ลึกซึ้ง วันนี้ได้พบแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกท่านช่างทำให้ผู้คนอิจฉาจริง ๆ ครั้งนั้นระหว่างทางกลับมายังเมืองฮู่เป่ย จู่ปู้ลู่มักจะเอ่ยถึงฮูหยินลู่อยู่เสมอ ตอนนั้นข้าก็คิดว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่งดงามคงเป็นเช่นท่านทั้งสอง”

“สามีข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เลย เขาน่ะ ไม่เคยบอกว่าคิดถึงข้ามากเพียงใด เขาเพียงแต่บอกว่าเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง ไม่กล้าแม้กระทั่งหลับนอนเป็นเวลาหลายวัน เอาแต่เฝ้าคุ้มครองความปลอดภัยอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ข้าเห็นว่าเขาผอมลงไปไม่น้อย รอยคล้ำใต้ตาใหญ่โตราวกำปั้น ข้าปวดใจยิ่งนัก”

กล่าวถึงฮูหยินลู่อะไรกัน? พูดราวกับว่าทั้งสองคนพูดคุยกันทุกเรื่องอย่างไรอย่างนั้น

ในยุคโบราณยังมีสาวชาเขียว*[1] เกินไปแล้วจริง ๆ

เฉินซือจวินเอ่ยเบา ๆ “ฮูหยินลู่ทำกิจการอยู่ใช่หรือไม่? พอดีข้าเพิ่งมาที่นี่ ยังไม่คุ้นเคยกับหลาย ๆ สิ่ง หากมีโอกาส ข้าอยากไปดูร้านของฮูหยินลู่จริง ๆ”

“เรื่องนี้ถามข้านั้นถูกแล้ว” มู่ซืออวี่นำหนังสือเล่มเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อของนาง จากนั้นก็กางออกตรงหน้าเฉินซือจวิน “นี่เป็นม้านั่งบุนวมตัวใหม่ของข้า ท่านว่าเป็นอย่างไร? ครั้งก่อนข้าขายม้านั่งบุนวมนี้ให้คุณหนูตระกูลหลี่ มีเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ตอนนี้ข้าทำตัวที่ใหญ่กว่าและนุ่มกว่าตัวนั้นขึ้นมา สิ่งสำคัญคือสามารถใช้สอยได้ดีกว่า แน่นอนว่าข้าไม่ขายให้ท่านราคาแพงแน่นอน เพียงแค่ 300 ตำลึงเงินเท่านั้น ส่วนอันนี้…”

เฉินซือจวิน “…”

นางแค่เพียงเอ่ยถามตามมารยาทเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น คดีของสามียังไม่แน่ชัด มู่ซืออวี่ยังพูดคุยเรื่องการค้าอยู่ที่นี่ สตรีหยาบคายเช่นนี้จะคู่ควรกับลูอี้ที่ดีเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?

“ฮูหยินท่านนี้ ตอนนี้เอ่ยเรื่องเหล่านี้คงมิเหมาะสมกระมัง?” ชิวสุ่ยเข้ามาช่วยกู้หน้าให้เฉินซือจวิน

มู่ซืออวี่เลิกคิ้วมองเฉินซือจวิน “ดูข้าสิ ข้าได้ยินว่ามีกฎเกณฑ์ว่า คุณหนูจากตระกูลผู้ดีจะได้รับแบ่งสรรค่าใช้จ่ายทุกเดือน 300 ตำลึงเงินแต่สำหรับคุณหนูเฉินคงมากเกินไปแล้ว”

เฉินซือจวินถอดหมวกคลุมออกทันที “300 ตำลึงเงินไม่นับว่ามาก เพียงแต่เรื่องนี้ค่อยคุยภายหลังเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้เรื่องของจู่ปู้ลู่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข!”

“ใช่แล้ว รอเรื่องของสามีข้าสิ้นสุดแล้วค่อยแนะนำเครื่องเรือนใหม่ ๆ ให้คุณหนูเฉิน” มู่ซืออวี่กล่าว “จะได้หาเงินมาบำรุงร่างกายสามีของข้าได้พอดี เขาซูบผอมเหลือเกิน”

เฉินซือจวินหลบไปด้านข้าง

ชิวสุ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า “คุณหนู ท่านอยากซื้อม้านั่งบุนวมที่นางเอ่ยถึงจริง ๆ หรือเจ้าคะ? 300 ตำลึงนั้นมากโขเลยนะเจ้าคะ นี่มันปล้นกันชัด ๆ”

จริงอยู่ที่ว่าเฉินซือจวินเป็นหลานสาวของเจียงเหล่า แต่นางก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ในมือไม่มีเงินมากมายเช่นนั้น ใช้เงิน 300 ตำลึงซื้อม้านั่งหนึ่งตัว หากเจียงเหล่ารู้เข้า เกรงว่าจะถูกทำโทษไม่ต่างจากสุนัข

สองชั่วยามคือสี่ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้ที่จะรออยู่ที่นี่ถึงสี่ชั่วโมง ดังนั้นชาวเมืองหลายคนจึงแยกย้ายไปทำสิ่งอื่น เหลือเพียงญาติพี่น้องไม่กี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู

นายอำเภอฉินและที่ปรึกษากลับไปพักที่ห้องด้านหลังแล้ว

ลู่อี้และหลินตงไม่ได้ถูกควบคุมตัวไว้ หลินตงนั่งอยู่บนพื้น ส่วนลู่อี้ขอให้นักการย้ายเก้าอี้มาให้แล้วนั่งลง ก่อนจะถือหนังสือไว้ในมือแล้วอ่านมัน

“ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมีความสุขนัก” จู่ ๆ ลู่อี้ก็เอ่ยกับหลินตง

สายตาของหลินตงเบิกกว้าง “เจ้าอย่ามาพูดมั่ว ๆ! แน่นอนว่าข้าต้องเสียใจมาก”

“เสียใจ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องซื้อรองเท้าใหม่?” ลู่อี้เหลือบตามองเท้าของอีกฝ่าย “ไม่เพียงแต่รองเท้าใหม่เท่านั้น แต่ยังมีเงินไปดื่มสุราดอกไม้อีก”

“ไม่ใช่… ข้าไม่ได้ไป” หลินตงฉุนเฉียว

ลู่อี้เลิกคุยกับหลินตง อ่านหนังสือในมือต่อไปตามเดิม

หลินตงเริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว

เขามองไปที่ประตูแต่ไม่เห็นคนที่คุ้นเคย จากนั้นจึงหันไปมองโต๊ะของนายอำเภอฉิน

เหงื่อพลันไหลหยดลงจากหน้าผาก สีหน้าก็ซีดเผือดลงเรื่อย ๆ ราวกับกำลังรู้สึกผิดอย่างไรอย่างนั้น

[1] สาวชาเขียว หมายถึง ผู้หญิงที่แสร้งทำตัวบอบบางอ่อนแอให้คนสงสาร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด