สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว

บทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว

ท่ามกลางความมืด ดวงตาของลู่อี้วาบปลาบราวกับหมาป่า แผ่เจตนาสังหารชัดเจน

ในที่สุดมู่ซือเจียวก็สงบลง

คนคนนี้…. นางจะใช้อุบายเล่ห์กลด้วยได้อย่างไร?

นางหันหลัง วิ่งหนีไปทันที

มู่ซืออวี่โผล่หัวออกมาอย่างแปลกใจ “มู่ซือเจียวล่ะ? เมื่อครู่ไม่ใช่ตะโกนด่าข้าอยู่ตรงนี้หรือ?”

“ไปแล้ว” ลู่อี้กล่าว “กระทบกระเทือนจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง”

“จะว่าไปแล้วนางก็โชคร้ายจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะตกหลุมรักหวังหมาจื่อ” มู่ซืออวี่ส่ายหัว “ไม่ต้องสนนางแล้ว พวกเรากลับเข้าไปเถอะ”

มู่ซืออวี่ทำบะหมี่ง่าย ๆ รับประทานพร้อมกับไส้หมูทอดสีเหลืองทอง ชวนให้คนทั้งครอบครัวน้ำลายสอ

ลู่อี้รับถ้วยจากมือของนาง “เจ้าไปพักเถอะ ข้าล้างเอง”

“วันนี้เจ้าทำงานตั้งหลายอย่าง คนที่ควรพักผ่อนคือเจ้าต่างหาก” มู่ซืออวี่ปฏิเสธ

“นั่นเป็นสิ่งที่บุรุษผู้หนึ่งควรกระทำ ปกติข้าไม่ได้อยู่บ้าน เรื่องเล็กใหญ่ในบ้านมีแต่เจ้าที่คอยเป็นกังวล นาน ๆ ทีข้าจะได้วันหยุด ให้ข้าทำมากขึ้นหน่อยเถอะ”

“ท่านไม่จำเป็นต้องล้าง นี่เป็นงานของสตรี”

“ข้าว่านะทั้งสองคน…” ลู่เซวียนฉวยเอาถ้วยไปจากมู่ซืออวี่ “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าล้างเอง”

“เจ้าล้างจานเป็นหรือ?” มู่ซืออวี่ไม่ได้ดูถูกความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของลู่เซวียน เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเห็นเขาเข้าครัวเลยสักครั้ง

ลู่เซวียนกลอกตา “สองสามปีก่อนเจ้าไม่เคยดูแลเด็ก ๆ เจ้าคงไม่คิดว่าเด็กสองคนนี้โตขึ้นมาด้วยตนเองหรอกนะ”

มู่ซืออวี่รู้สึกผิดทันที

นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนต้องรู้สึกผิด คนที่ลู่เซวียนกล่าวถึงไม่ใช่นางเองแท้ ๆ

เมื่อมู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของลู่อี้ นางก็พบว่าตนหลงเหลือความรู้สึกผิดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางสามารถสบสายตาลึกล้ำของลู่อี้ได้แล้ว

เป็นดังคาด ความเคยชินช่างน่าหวาดกลัว

ลู่อี้ได้พักผ่อนเป็นเวลาสองวัน เมื่อเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ มาแล้ว ลู่อี้ก็ไปช่วยงานเช่นกัน

“โม่หลาน” มู่ซืออวี่เรียกจางโม่หลานเอาไว้ “อีกเดี๋ยวเจ้าจะไปซื้อเต้าหู้ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว” จางโม่หลานตอบ “วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไร จู่ ๆ ก็อยากกินเต้าหู้ขึ้นมา

“เช่นนั้นข้าฝากซื้อสักสี่ชิ้น” มู่ซืออวี่หยิบเงินสองสามอีแปะออกมา

อันที่จริงในบ้านก็มีอุปกรณ์ทำเต้าหู้ แต่วันนี้ยุ่งวุ่นวายเกินไปจึงไม่มีเวลาทำ

“ได้สิ” จางโม่หลานเก็บกลับไป “จริงสิ พี่สะใภ้ ท่านรู้เรื่องมู่ซือเจียวกับหวังหมาจื่อหรือไม่?”

“เมื่อวานครึกครื้นเช่นนั้น ถึงจะไม่เห็นก็พอได้ยินมาบ้าง” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว? สองคนนั้นแต่งงานกันหรือยัง?”

“แต่งอะไรกันเล่า? ข้าได้ยินมาว่า…”

มู่ซืออวี่แยกจากจางโม่หลานแล้วก็ยังคิดถึงเรื่องของมู่ซือเจียวอยู่ในหัว

เรื่องระหว่างมู่ซือเจียวและหวังหมาจื่อกลายมาเป็นเช่นนี้ การจัดการย่อมเกือบจะแน่นอนตายตัวแล้ว ทว่าวันนี้ทิศทางลมกลับเปลี่ยนไปเสียอย่างนั้น

กล่าวกันว่าหวังซื่อ คนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกบอกว่าหวังหมาจื่อไม่ได้ชอบมู่ซือเจียวถึงขนาดอยากแต่งงาน แต่ก็บังคับให้มู่ซือเจียวดื่มยา ทว่าถูกมู่ต้าไห่และแม่เฒ่าเจียงช่วยเอาไว้ หวังหมาจื่อรู้ว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงก็หนีไป ส่วนมู่ซือเจียวขึ้นรถม้าของมู่เจิ้งอี้ออกจากหมู่บ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนจะไปที่ใดนั้น ผู้ใดก็ไม่สามารถบอกได้

แม่เฒ่าเจียงนั่งอยู่ในลานบ้าน ก่นด่าหวังหมาจื่อว่าใจไม้ไส้ระกำ ไร้ยางอาย นางขุดโคตรเหง้าศักราชของอีกฝ่ายขึ้นมาด่าสาดเสียเทเสีย แต่ชาวบ้านที่ผ่านไปมาต่างรู้ ‘ความจริง’ ทั้งนั้น มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่สงสัย อย่างไรเสียมู่ซือเจียวก็ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ว่ากันว่าตอนที่มู่ต้าไห่ไล่ตีหวังหมาจื่อ ชายคนนั้นท่อนล่างเปล่าเปลือย หญิงสาวจำนวนมากล้วนกรีดร้องด้วยความอับอาย

“เกี่ยวอะไรกับข้า? อย่ามาทำลายครอบครัวของข้าก็พอแล้ว” มู่ซืออวี่พึมพำกับตัวเอง

มู่ซืออวี่พาเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ ไปทำงาน พวกเขาเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ในตอนนี้พวกเขาเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว ต่อไปคงรับงานใหญ่ ๆ ได้มากขึ้นและได้ทำหลายอย่างมากขึ้น

“วันนี้ลำบากทุกคนแล้ว” มู่ซือเจียวเอ่ยกับทุกคน “เด็กน้อยในหมู่บ้านส่งกุ้งหอยปูปลามามากมาย ข้าทำปลาแห้งไว้ มาเอาไปคนละห่อเถอะ”

“พี่สะใภ้ พวกเรากินมาเยอะแล้ว ถ้ารับของอีกจะน่าละอายเพียงใด?” เฟิงเจิงที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักกลับเป็นคนแรกที่ยื่นมืออกมา

ลู่อี้เคาะหัวอีกฝ่าย “นี่เจ้าละอายใจแล้วหรือ? เจ้าสิหนังหนาอยู่ผู้เดียว”

“ฮ่า ๆ ข้าเห็นพี่อี้เป็นพี่ชายแท้ ๆ พี่สะใภ้อี้ก็เป็นพี่สะใภ้ของข้า กินอาหารที่พี่สะใภ้ทำนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ถือว่าหนังหนาหรอก” เฟิงเจิงยิ้มล้อเลียน “แม่ข้าบอกว่าข้าเป็นคนดี ภายหน้าพี่สะใภ้ให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำอย่างนั้น”

“ครั้งก่อนข้าได้ยินว่าโรคไขข้อของแม่เจ้าทรุดลงมาก ได้พานางไปหาหมอหรือยัง?” มู่ซืออวี่ถาม

“ขอบคุณพี่สะใภ้อี้ที่เป็นห่วง ตอนข้ามารับเงิน ข้าจะพาแม่ข้ามาด้วย ตอนแรกนางไม่วางใจ แต่ข้าบอกแล้วว่าติดตามพี่สะใภ้อี้นั้นไม่ขาดแคลนเงินทอง ตอนนี้แม่ข้าเลยวางใจแล้ว” เฟิงเจิงหัวเราะ

“วันนี้ค่ำมากแล้ว ข้าจะบังคับรถม้าไปส่งพวกเจ้า ไปเถอะ” ลู่อี้เอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องแล้ว พี่ชาย” เจี่ยงจงรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ท่านเป็นถึงใต้เท้าแล้ว พวกเราโชคดีมากแล้วที่ได้ทำงานกับท่าน จะให้ท่านไปส่งพวกเราได้อย่างไร?”

“เป็นเพียงจู่ปู้เล็ก ๆ เท่านั้น นับเป็นใต้เท้าอะไร?” ลู่อี้ไม่เห็นด้วย “ไม่นานมานี้มีคดีฆาตกรรมในเมืองฮู่เป่ยของพวกเรา ข้าต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกเจ้า ไปเถอะ”

เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่ลู่อี้พูดก็ไม่ปฏิเสธอีก

“ครั้งนี้เป็นข้าที่ไม่คิดให้ดี ครั้งก่อนทำงานให้คุณหนูเจิ้ง พวกเจ้าล้วนอยู่ค้างที่นั่น ดังนั้นจึงสะดวกมาก ครั้งนี้ทำงานอยู่ที่บ้านข้า ดูไปแล้วงานนี้อาจจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อทำให้เสร็จ จะไป ๆ กลับ ๆ ทุกวันคงไม่สะดวกนัก เอาอย่างนี้เถอะ วันนี้พวกเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระของพวกเจ้า เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ช่วงนี้ก็พักอยู่ในหมู่บ้านเราชั่วครู่เถอะ เมื่อถึงเวลา ข้าจะบอกคนในหมู่บ้าน ให้เงินกับพวกเขา ถือเสียว่าเป็นค่าที่พักอาศัย”

“บ้านข้ากับเอ้อร์หนิวอยู่ได้สองคน” ต้าหนิวที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น

ครั้งนี้มู่ซืออวี่ไม่เพียงแต่ให้เฟิงเจิงและสหายมาทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต้าหนิวและเอ้อร์หนิวด้วย สองพี่น้องพอรู้ว่าครั้งที่แล้วเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ หาเงินได้ไม่น้อย จึงมาหามู่ซืออวี่อย่างกระตือรือร้น พร้อมบอกว่าพวกเขาก็อยากทำงานด้วยเช่นกัน

มู่ซืออวี่มีความประทับใจอันดีต่อสองพี่น้องลู่ต้าหนิว ครั้งที่แล้วก็อยากพาพวกเขาไปด้วย แต่เถี่ยโถวกลับล้มป่วย เอ้อร์หนิวจำเป็นต้องอยู่ดูแลเขา ส่วนต้าหนิววุ่นอยู่กับสิ่งอื่นจึงพลาดโอกาสไป

ลู่อี้ส่งคนกลับไป ในตอนที่เขากลับมาก็ผ่านไปสามชั่วยามแล้ว

“เหตุใดเจ้าจึงยังไม่นอน?” ลู่อี้เดินเข้ามาเห็นมู่ซืออวี่ยังวุ่นอยู่ในครัว

“เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเย็น ข้าจะนอนได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยพร้อมกับเปิดฝากระทะ “ข้าเหลือหมูตุ๋นน้ำแดงไว้ให้เจ้าหนึ่งถ้วย เจ้าชอบกินหรือไม่?”

ลู่อี้มองมองหมูตุ๋นน้ำแดงหน้าตาน่าทาน ในใจพลันอบอุ่นขึ้นมา

“พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อของพร้อมเจ้า” มู่ซืออวี่กล่าว “พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน ผ้าห่มและสิ่งอื่น ๆ ก็ต้องตระเตรียมไว้ ต้องไปซื้ออาหารเสียหน่อย”

“ได้”

มู่ซืออวี่วางไหสุราไว้ข้างหน้า “สุราที่ข้าบ่มไว้ยังไม่ได้ที่ ข้าไปซื้อมาจากภัตตาคารแทน นับว่าเป็นสุรารสเลิศที่สุดในเมืองฮู่เป่ย เจ้าดื่มเสียหน่อย จะได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้า”

ลู่อี้มองนางง่วนอยู่กับเตาแล้วถามขึ้นว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

“ข้าจะหมักของอร่อย ๆ ไว้ พรุ่งนี้จะให้พวกเฟิงเจิงได้ร่ำสุราสักหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านกินเสร็จแล้วก็ไปนอนเถอะ ไม่ต้องรอข้า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว

บทที่ 161 ทิศทางลมเปลี่ยนไปแล้ว

ท่ามกลางความมืด ดวงตาของลู่อี้วาบปลาบราวกับหมาป่า แผ่เจตนาสังหารชัดเจน

ในที่สุดมู่ซือเจียวก็สงบลง

คนคนนี้…. นางจะใช้อุบายเล่ห์กลด้วยได้อย่างไร?

นางหันหลัง วิ่งหนีไปทันที

มู่ซืออวี่โผล่หัวออกมาอย่างแปลกใจ “มู่ซือเจียวล่ะ? เมื่อครู่ไม่ใช่ตะโกนด่าข้าอยู่ตรงนี้หรือ?”

“ไปแล้ว” ลู่อี้กล่าว “กระทบกระเทือนจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง”

“จะว่าไปแล้วนางก็โชคร้ายจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะตกหลุมรักหวังหมาจื่อ” มู่ซืออวี่ส่ายหัว “ไม่ต้องสนนางแล้ว พวกเรากลับเข้าไปเถอะ”

มู่ซืออวี่ทำบะหมี่ง่าย ๆ รับประทานพร้อมกับไส้หมูทอดสีเหลืองทอง ชวนให้คนทั้งครอบครัวน้ำลายสอ

ลู่อี้รับถ้วยจากมือของนาง “เจ้าไปพักเถอะ ข้าล้างเอง”

“วันนี้เจ้าทำงานตั้งหลายอย่าง คนที่ควรพักผ่อนคือเจ้าต่างหาก” มู่ซืออวี่ปฏิเสธ

“นั่นเป็นสิ่งที่บุรุษผู้หนึ่งควรกระทำ ปกติข้าไม่ได้อยู่บ้าน เรื่องเล็กใหญ่ในบ้านมีแต่เจ้าที่คอยเป็นกังวล นาน ๆ ทีข้าจะได้วันหยุด ให้ข้าทำมากขึ้นหน่อยเถอะ”

“ท่านไม่จำเป็นต้องล้าง นี่เป็นงานของสตรี”

“ข้าว่านะทั้งสองคน…” ลู่เซวียนฉวยเอาถ้วยไปจากมู่ซืออวี่ “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าล้างเอง”

“เจ้าล้างจานเป็นหรือ?” มู่ซืออวี่ไม่ได้ดูถูกความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของลู่เซวียน เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเห็นเขาเข้าครัวเลยสักครั้ง

ลู่เซวียนกลอกตา “สองสามปีก่อนเจ้าไม่เคยดูแลเด็ก ๆ เจ้าคงไม่คิดว่าเด็กสองคนนี้โตขึ้นมาด้วยตนเองหรอกนะ”

มู่ซืออวี่รู้สึกผิดทันที

นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนต้องรู้สึกผิด คนที่ลู่เซวียนกล่าวถึงไม่ใช่นางเองแท้ ๆ

เมื่อมู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของลู่อี้ นางก็พบว่าตนหลงเหลือความรู้สึกผิดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางสามารถสบสายตาลึกล้ำของลู่อี้ได้แล้ว

เป็นดังคาด ความเคยชินช่างน่าหวาดกลัว

ลู่อี้ได้พักผ่อนเป็นเวลาสองวัน เมื่อเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ มาแล้ว ลู่อี้ก็ไปช่วยงานเช่นกัน

“โม่หลาน” มู่ซืออวี่เรียกจางโม่หลานเอาไว้ “อีกเดี๋ยวเจ้าจะไปซื้อเต้าหู้ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว” จางโม่หลานตอบ “วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไร จู่ ๆ ก็อยากกินเต้าหู้ขึ้นมา

“เช่นนั้นข้าฝากซื้อสักสี่ชิ้น” มู่ซืออวี่หยิบเงินสองสามอีแปะออกมา

อันที่จริงในบ้านก็มีอุปกรณ์ทำเต้าหู้ แต่วันนี้ยุ่งวุ่นวายเกินไปจึงไม่มีเวลาทำ

“ได้สิ” จางโม่หลานเก็บกลับไป “จริงสิ พี่สะใภ้ ท่านรู้เรื่องมู่ซือเจียวกับหวังหมาจื่อหรือไม่?”

“เมื่อวานครึกครื้นเช่นนั้น ถึงจะไม่เห็นก็พอได้ยินมาบ้าง” มู่ซืออวี่กล่าว “ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว? สองคนนั้นแต่งงานกันหรือยัง?”

“แต่งอะไรกันเล่า? ข้าได้ยินมาว่า…”

มู่ซืออวี่แยกจากจางโม่หลานแล้วก็ยังคิดถึงเรื่องของมู่ซือเจียวอยู่ในหัว

เรื่องระหว่างมู่ซือเจียวและหวังหมาจื่อกลายมาเป็นเช่นนี้ การจัดการย่อมเกือบจะแน่นอนตายตัวแล้ว ทว่าวันนี้ทิศทางลมกลับเปลี่ยนไปเสียอย่างนั้น

กล่าวกันว่าหวังซื่อ คนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกบอกว่าหวังหมาจื่อไม่ได้ชอบมู่ซือเจียวถึงขนาดอยากแต่งงาน แต่ก็บังคับให้มู่ซือเจียวดื่มยา ทว่าถูกมู่ต้าไห่และแม่เฒ่าเจียงช่วยเอาไว้ หวังหมาจื่อรู้ว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงก็หนีไป ส่วนมู่ซือเจียวขึ้นรถม้าของมู่เจิ้งอี้ออกจากหมู่บ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนจะไปที่ใดนั้น ผู้ใดก็ไม่สามารถบอกได้

แม่เฒ่าเจียงนั่งอยู่ในลานบ้าน ก่นด่าหวังหมาจื่อว่าใจไม้ไส้ระกำ ไร้ยางอาย นางขุดโคตรเหง้าศักราชของอีกฝ่ายขึ้นมาด่าสาดเสียเทเสีย แต่ชาวบ้านที่ผ่านไปมาต่างรู้ ‘ความจริง’ ทั้งนั้น มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่สงสัย อย่างไรเสียมู่ซือเจียวก็ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ว่ากันว่าตอนที่มู่ต้าไห่ไล่ตีหวังหมาจื่อ ชายคนนั้นท่อนล่างเปล่าเปลือย หญิงสาวจำนวนมากล้วนกรีดร้องด้วยความอับอาย

“เกี่ยวอะไรกับข้า? อย่ามาทำลายครอบครัวของข้าก็พอแล้ว” มู่ซืออวี่พึมพำกับตัวเอง

มู่ซืออวี่พาเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ ไปทำงาน พวกเขาเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ในตอนนี้พวกเขาเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว ต่อไปคงรับงานใหญ่ ๆ ได้มากขึ้นและได้ทำหลายอย่างมากขึ้น

“วันนี้ลำบากทุกคนแล้ว” มู่ซือเจียวเอ่ยกับทุกคน “เด็กน้อยในหมู่บ้านส่งกุ้งหอยปูปลามามากมาย ข้าทำปลาแห้งไว้ มาเอาไปคนละห่อเถอะ”

“พี่สะใภ้ พวกเรากินมาเยอะแล้ว ถ้ารับของอีกจะน่าละอายเพียงใด?” เฟิงเจิงที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักกลับเป็นคนแรกที่ยื่นมืออกมา

ลู่อี้เคาะหัวอีกฝ่าย “นี่เจ้าละอายใจแล้วหรือ? เจ้าสิหนังหนาอยู่ผู้เดียว”

“ฮ่า ๆ ข้าเห็นพี่อี้เป็นพี่ชายแท้ ๆ พี่สะใภ้อี้ก็เป็นพี่สะใภ้ของข้า กินอาหารที่พี่สะใภ้ทำนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ถือว่าหนังหนาหรอก” เฟิงเจิงยิ้มล้อเลียน “แม่ข้าบอกว่าข้าเป็นคนดี ภายหน้าพี่สะใภ้ให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำอย่างนั้น”

“ครั้งก่อนข้าได้ยินว่าโรคไขข้อของแม่เจ้าทรุดลงมาก ได้พานางไปหาหมอหรือยัง?” มู่ซืออวี่ถาม

“ขอบคุณพี่สะใภ้อี้ที่เป็นห่วง ตอนข้ามารับเงิน ข้าจะพาแม่ข้ามาด้วย ตอนแรกนางไม่วางใจ แต่ข้าบอกแล้วว่าติดตามพี่สะใภ้อี้นั้นไม่ขาดแคลนเงินทอง ตอนนี้แม่ข้าเลยวางใจแล้ว” เฟิงเจิงหัวเราะ

“วันนี้ค่ำมากแล้ว ข้าจะบังคับรถม้าไปส่งพวกเจ้า ไปเถอะ” ลู่อี้เอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องแล้ว พี่ชาย” เจี่ยงจงรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ท่านเป็นถึงใต้เท้าแล้ว พวกเราโชคดีมากแล้วที่ได้ทำงานกับท่าน จะให้ท่านไปส่งพวกเราได้อย่างไร?”

“เป็นเพียงจู่ปู้เล็ก ๆ เท่านั้น นับเป็นใต้เท้าอะไร?” ลู่อี้ไม่เห็นด้วย “ไม่นานมานี้มีคดีฆาตกรรมในเมืองฮู่เป่ยของพวกเรา ข้าต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกเจ้า ไปเถอะ”

เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่ลู่อี้พูดก็ไม่ปฏิเสธอีก

“ครั้งนี้เป็นข้าที่ไม่คิดให้ดี ครั้งก่อนทำงานให้คุณหนูเจิ้ง พวกเจ้าล้วนอยู่ค้างที่นั่น ดังนั้นจึงสะดวกมาก ครั้งนี้ทำงานอยู่ที่บ้านข้า ดูไปแล้วงานนี้อาจจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อทำให้เสร็จ จะไป ๆ กลับ ๆ ทุกวันคงไม่สะดวกนัก เอาอย่างนี้เถอะ วันนี้พวกเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระของพวกเจ้า เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ช่วงนี้ก็พักอยู่ในหมู่บ้านเราชั่วครู่เถอะ เมื่อถึงเวลา ข้าจะบอกคนในหมู่บ้าน ให้เงินกับพวกเขา ถือเสียว่าเป็นค่าที่พักอาศัย”

“บ้านข้ากับเอ้อร์หนิวอยู่ได้สองคน” ต้าหนิวที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น

ครั้งนี้มู่ซืออวี่ไม่เพียงแต่ให้เฟิงเจิงและสหายมาทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต้าหนิวและเอ้อร์หนิวด้วย สองพี่น้องพอรู้ว่าครั้งที่แล้วเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ หาเงินได้ไม่น้อย จึงมาหามู่ซืออวี่อย่างกระตือรือร้น พร้อมบอกว่าพวกเขาก็อยากทำงานด้วยเช่นกัน

มู่ซืออวี่มีความประทับใจอันดีต่อสองพี่น้องลู่ต้าหนิว ครั้งที่แล้วก็อยากพาพวกเขาไปด้วย แต่เถี่ยโถวกลับล้มป่วย เอ้อร์หนิวจำเป็นต้องอยู่ดูแลเขา ส่วนต้าหนิววุ่นอยู่กับสิ่งอื่นจึงพลาดโอกาสไป

ลู่อี้ส่งคนกลับไป ในตอนที่เขากลับมาก็ผ่านไปสามชั่วยามแล้ว

“เหตุใดเจ้าจึงยังไม่นอน?” ลู่อี้เดินเข้ามาเห็นมู่ซืออวี่ยังวุ่นอยู่ในครัว

“เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเย็น ข้าจะนอนได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยพร้อมกับเปิดฝากระทะ “ข้าเหลือหมูตุ๋นน้ำแดงไว้ให้เจ้าหนึ่งถ้วย เจ้าชอบกินหรือไม่?”

ลู่อี้มองมองหมูตุ๋นน้ำแดงหน้าตาน่าทาน ในใจพลันอบอุ่นขึ้นมา

“พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อของพร้อมเจ้า” มู่ซืออวี่กล่าว “พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน ผ้าห่มและสิ่งอื่น ๆ ก็ต้องตระเตรียมไว้ ต้องไปซื้ออาหารเสียหน่อย”

“ได้”

มู่ซืออวี่วางไหสุราไว้ข้างหน้า “สุราที่ข้าบ่มไว้ยังไม่ได้ที่ ข้าไปซื้อมาจากภัตตาคารแทน นับว่าเป็นสุรารสเลิศที่สุดในเมืองฮู่เป่ย เจ้าดื่มเสียหน่อย จะได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้า”

ลู่อี้มองนางง่วนอยู่กับเตาแล้วถามขึ้นว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

“ข้าจะหมักของอร่อย ๆ ไว้ พรุ่งนี้จะให้พวกเฟิงเจิงได้ร่ำสุราสักหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านกินเสร็จแล้วก็ไปนอนเถอะ ไม่ต้องรอข้า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+