สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง

บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง

หลังอาหารเย็น มู่ซืออวี่ยุ่งอยู่กับการจัดการกับเต้าหู้เหล่านั้น ส่วนลู่ฉาวอวี่ช่วยจุดไฟและขนย้ายสิ่งของ

แม้ว่าลู่ฉาวอวี่จะไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้อยู่โดยเปล่าประโยชน์ เขาเห็นอะไรก็ช่วยหมด

“ดึกแล้ว เจ้าไปนอนก่อนเถิด”

มู่ซืออวี่จุดเทียนไขแล้ววางไว้บนเตา

“ข้าไม่ง่วง”

ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตา เสียงหวานของนางลากยาว หาวออกมาเป็นครั้งคราว

มู่ซืออวี่กอดลู่จื่ออวิ๋นเอาไว้พลางเอ่ยเสียงจริงจัง “หากไม่เข้านอนให้เร็วจะไม่สูงนะ”

“แต่ท่านแม่ลำบากอยู่คนเดียว” ลู่จื่ออวิ๋นกอดคอมู่ซืออวี่ “อวิ๋นเอ๋อร์จะอยู่กับท่านแม่”

“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่คิดว่ามันลำบากเลย”

นางวางลู่จื่ออวิ๋นลงบนเตียง ตบหน้าอกของเจ้าตัวแล้วเอ่ยเสียงเบา “ตราบใดที่เจ้ากินอิ่ม นอนหลับสบาย ค่อย ๆ เติบโต เช่นนั้นจะเป็นการช่วยข้ายิ่งกว่า”

“ท่านแม่…” ลู่จื่ออวิ๋นเอียงใบหน้าเล็ก ๆ ของตนซบกับฝ่ามือของมู่ซืออวี่ “ข้าจะเชื่อฟัง ท่านแม่อย่าไปนะ”

หลังจากเกลี้ยกล่อมลู่จื่ออวิ๋นจนหลับไป พอกลับมาก็เห็นว่าลู่ฉาวอวี่ยังคงนั่งจุดไฟอยู่ที่นั่น มู่ซืออวี่ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

“เจ้าก็ไปนอนเถิด” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าไม่ได้ยุ่งยากอะไร ข้าอยู่คนเดียวได้”

“ท่านพ่อกับท่านอาไม่อยู่ ข้าเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านทำงานคนเดียว” ลู่ฉาวอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฮ่าฮ่า”

มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา

ลู่ฉาวอวี่จึงจ้องนางอย่างไม่พอใจ

มู่ซืออวี่โบกมือ “ข้าขอโทษ ข้าไม่อยากหัวเราะหรอกนะ แต่ข้ากลั้นไว้ไม่อยู่”

เด็กน้อยไม่รู้อะไร อายุเพียงไม่เท่าไหร่ ตัวแค่เอวนางแต่ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก แล้วจะไม่ให้นางตลกได้อย่างไร?

“ขำอะไรนักหนา?” ลู่ฉาวอวี่แสดงความไม่พอใจขึ้นมา

“จะไม่นอนจริงหรือ?”

“ไม่นอน”

“งั้นก็อยู่กับข้า”

หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ลู่ฉาวอวี่ก็เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ถ้าเขาเกิดดื้อรั้นขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ รวมถึงท่านพ่ออันเป็นที่รักของเขาด้วยเช่นกัน

ลู่ฉาวอวี่นั่งอยู่หน้าเตา มองดูเปลวไฟที่อยู่ในเตา และเริ่มตกอยู่ในภวังค์ของตน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มู่ซืออวี่ก็เดินมาหาเขา จากนั้นก็คีบฟืนออกจากเตา ไม่นานนักเตาก็ดับลง

จากนั้นลู่ฉาวอวี่ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เด็กชายมองรูปร่างที่ดูผอมบางลงและสีหน้าอันแสนอ่อนโยนของคนตรงหน้า

“ข้าเรียกหาเจ้าตั้งหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่ขานรับ เจ้าคิดอะไรอยู่?”

“ข้าจะไปนอน”

ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลงพลางผละออกไป

มู่ซืออวี่ถอนหายใจเบา ๆ “ความคิดของเด็กน้อยผู้นี้ อย่าไปคาดเดาเลย คาดเดาไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

ก่อนรุ่งสางในวันรุ่งขึ้น มู่ซืออวี่ยืนอยู่ที่ประตูและพูดกับลู่ฉาวอวี่ว่า “ฉาวอวี่ ข้าจะไปในเมือง เจ้าดูแลน้องสาวอยู่บ้านนะ มีอาหารเช้าอุ่น ๆ ในหม้อ เจ้ากับน้องสาวตื่นมาก็กินได้เลย”

มู่ซืออวี่แน่ใจว่าลู่ฉาวอวี่ได้ยิน นางจึงเก็บข้าวของและเตรียมที่จะออกไป

นางมีเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ช่วงบ่ายต้องกลับมาช่วยเหยาซื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงในงานแต่งของวันพรุ่งนี้ นางทำหีบเพิ่มอีกสองใบ และหลังจากขายเต้าหู้แห้งหมดจึงไปดูที่หอหลิงอวิ๋น

วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด นางไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กำไรหรือไม่ ทว่าอย่างไรแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป หากแย่ที่สุดก็อาจจะเสียเวลา แต่หากโชคดีก็อาจสามารถทำเงินได้สัก 5 หรือ 10 อีแปะ

ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูและเดินออกมา เด็กชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิทกำลังยืนมองนางอยู่เงียบ ๆ

ตอนนี้ยังไม่สว่าง แสงจันทร์ยังส่องสลัว แต่ไม่กระทบกับการมองเห็นของพวกเขา

“เจ้าออกมาทำไม?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“ข้าจะไปกับท่าน”

“ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ดูแลน้องสาว”

“ข้าฝากน้องไว้กับท่านยายกับท่านน้าแล้ว ข้าจะไปด้วย”

ลู่ฉาวอวี่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด

เขาไม่อยากให้นางออกไปคนเดียว ถ้านาง…

นางไม่ต้องการพวกเขาแล้ว… จะทำอย่างไร?

เมื่อนึกได้เช่นนี้ ริมฝีปากของลู่ฉาวอวี่ก็เม้มแน่นยิ่งขึ้น

เขามองนางด้วยความดื้อรั้น ไม่สนว่าแสงสลัว ๆ จะสามารถส่งผ่านความพยายามของตัวเองไปยังผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งหรือไม่

“เจ้าเด็กน้อย…” มู่ซืออวี่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเขาแล้ว “ก็ได้ เจ้าเก็บของก่อน ข้าจะไปหาแม่ของข้า ขอให้นางมาดูอวิ๋นเอ๋อร์”

หลังจากที่ถงซื่อมาถึง มู่ซืออวี่ก็พาลู่ฉาวอวี่ที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเข้ามาในเมือง

ลู่ฉาวอวี่คว้าตะกร้ามา ปฏิเสธที่จะให้มู่ซืออวี่แบกมัน

มู่ซืออวี่ขอร้องอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายนางต้องปล่อยให้เด็กนิสัยประหลาดคนนี้แบกมันไว้บนหลัง

แท้จริงแล้วเมื่อวานนี้ตอนที่วิ่งไล่จับโจรขานางพลิก แม้ว่าจะกลับมากินยาแล้ว ทายาก็แล้ว แต่จุดที่พลิกก็ยังคงเจ็บอยู่เช่นเดิม มีคนช่วยนางแบ่งเบาน้ำหนักเช่นนี้ นางก็สบายมากขึ้น

ช้าก่อน เด็กคนนี้เห็นหรือว่านางบาดเจ็บ?

มู่ซืออวี่มองไปที่ลู่ฉาวอวี่

เขาเป็นห่วงนางหรือเปล่านะ?

หลังจากเข้ามาในเมือง มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ไปตลาดแต่มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

ตั้งแต่ที่ลู่อี้ถูกร้านอาหารแห่งแรกปฏิเสธ มู่ซืออวี่ก็เริ่มถามร้านอาหารแห่งที่สองในตัวเมืองว่ากิจการยังไปได้ดีอยู่หรือไม่ หลังจากนั้น นางก็พบกับ ‘ภัตตาคารเจียงซื่อ’

“มาแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ?” ผู้จัดการร้านทักทายนาง

“ท่านเป็นเถ้าแก่ของที่นี่หรือ?” มู่ซืออวี่มองไปยังผู้จัดการร้านที่อยู่ตรงหน้า

มองแล้วก็คุ้นหน้าคุ้นตากับอีกฝ่าย เขาปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพและเหมาะสม ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อย

“ข้าไม่ใช่เถ้าแก่หรอก แต่ข้าทำงานที่นี่” ผู้จัดการร้านเอ่ยถามต่อไปว่า “ท่านมีธุระอะไรหรือ?”

“ข้าต้องการร่วมทำกิจการกับที่นี่” มู่ซืออวี่ยกตระกร้าที่หลังของลู่ฉาวอวี่ออกมาพลางหยิบเต้าหู้แห้งจากด้านในออกมา “นี่เป็นอาหารจานใหม่ที่ข้าทำ ข้าต้องการขายให้ภัตตาคารนี้ กิจการของเถ้าแก่จะได้เติบโตขึ้นไปอีก”

“ฮ่าฮ่า” อีกฝ่ายหัวเราะ “ที่นี่เรามีอาหารมากมายแล้ว ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่าน แต่…”

“ท่านจะปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ชิมหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของท่านที่จะลืมตาอ้าปากเชียวนะ”

“งั้นหรือ มั่นใจเช่นนั้นเชียว?”

“หากไม่มั่นใจ ข้าจะกล้ามาคุยกับท่านถึงที่นี่งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้ม “ข้าทำอาหารสองสามอย่างให้ท่านลองชิมได้ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่”

“ได้ ครัวอยู่ทางนี้ เชิญ!”

ลู่ฉาวอวี่เดินตามหลังมู่ซืออวี่ไป

ตอนนี้เช้าเกินไป ร้านอาหารยังไม่เปิด พ่อครัวก็ยังไม่มาเช่นกัน แต่ในห้องครัวก็มีวัตถุดิบมากมาย ทั้งหมดเป็นของสดใหม่และถูกจัดส่งมาในวันนี้

“ลูกชาย มาช่วยทีสิ” มู่ซืออวี่สั่งลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง

ลูกชาย…

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกเขาเช่นนี้

มู่ซืออวี่จงใจที่จะเรียกเช่นนี้ นางเห็นเด็กคนนี้ทำหน้านิ่งมาทั้งวันราวกับคนแก่ในร่างเด็ก หากยังทำเช่นนี้ต่อไปจะไม่อึดอัดใจเอาหรือ?

นางพบว่าเด็กน้อยผู้นี้หากถูกแหย่จะโกรธได้ง่าย แต่นางมองว่าโกรธก็ดีเสียกว่าปล่อยให้อึดอัดใจ

มู่ซืออวี่ตั้งอกตั้งใจกับการทำอาหารพลางวางแผนเรื่องที่จะทำวันนี้ก่อนเข้ามาในเมือง

นางมาลองหาร้านอาหารในเมือง ให้ผู้จัดการร้านได้ลองชิมฝีมือของนาง หากอีกฝ่ายสนใจ ต่อไปก็จะมีที่ขายของอย่างแน่นอน

หากขายเนื้อตุ๋นเหมือนเมื่อวานจะใช้เวลานาน อีกทั้งยังอันตราย นางคิดว่าพวกโจรคงหมายตาพวกนางมานานแล้ว เพียงแค่รอเงินหลังจากขายจนหมด ถึงคราวนั้นพวกเขาก็จะมาฉกเงินไป แต่หากนางมีลูกค้าประจำ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายเช่นนี้ได้

ซ่า!

นางเทน้ำมันใส่เต้าหู้แห้งที่หั่นแล้วเอาลงไปทอดจนเหลือง จากนั้นใส่เครื่องปรุง กระเทียมและขิง เต้าหู้แห้งมีรสชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อนำไปผัดคลุกเคล้ากัน กลิ่นก็หอมอบอวลไปทั้งครัว

ต่อไปคือช่วงเวลาของการเฉิดฉายแล้ว เพราะวัตถุดิบที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ส่วนผสม จึงถูกปรุงให้เป็นอาหารที่แตกต่างกันด้วยสองมืออย่างว่องไว

เต้าหู้แห้งห้าเครื่องเทศที่อร่อยไร้ที่ติ เต้าหู้แห้งผัดพริกหยวก ผัดเต้าหู้แห้งรวมมิตร ผัดเผ็ดเต้าหู้แห้ง ยำเต้าหู้แห้ง และเต้าหู้แห้งผัดอีกมากมายที่ถูกยกออกมาจัดวางบนโต๊ะ ผู้จัดการร้านถึงกับกลืนน้ำลาย

“กลิ่นหอมดีนี่” ผู้จัดการร้านพิจารณาทักษะที่ว่องไวของมู่ซืออวี่แล้วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีฝีมือเป็นเลิศเช่นนี้”

“ไม่หรอก ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ชอบศึกษาเรื่องของอาหาร ท่านลองชิมดูสิ” มู่ซืออวี่กล่าว “ถ้าท่านสนใจ เราค่อยคุยธุระกันภายหลัง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง

บทที่ 67 การหาเงินเป็นเรื่องจริงจัง

หลังอาหารเย็น มู่ซืออวี่ยุ่งอยู่กับการจัดการกับเต้าหู้เหล่านั้น ส่วนลู่ฉาวอวี่ช่วยจุดไฟและขนย้ายสิ่งของ

แม้ว่าลู่ฉาวอวี่จะไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้อยู่โดยเปล่าประโยชน์ เขาเห็นอะไรก็ช่วยหมด

“ดึกแล้ว เจ้าไปนอนก่อนเถิด”

มู่ซืออวี่จุดเทียนไขแล้ววางไว้บนเตา

“ข้าไม่ง่วง”

ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตา เสียงหวานของนางลากยาว หาวออกมาเป็นครั้งคราว

มู่ซืออวี่กอดลู่จื่ออวิ๋นเอาไว้พลางเอ่ยเสียงจริงจัง “หากไม่เข้านอนให้เร็วจะไม่สูงนะ”

“แต่ท่านแม่ลำบากอยู่คนเดียว” ลู่จื่ออวิ๋นกอดคอมู่ซืออวี่ “อวิ๋นเอ๋อร์จะอยู่กับท่านแม่”

“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่คิดว่ามันลำบากเลย”

นางวางลู่จื่ออวิ๋นลงบนเตียง ตบหน้าอกของเจ้าตัวแล้วเอ่ยเสียงเบา “ตราบใดที่เจ้ากินอิ่ม นอนหลับสบาย ค่อย ๆ เติบโต เช่นนั้นจะเป็นการช่วยข้ายิ่งกว่า”

“ท่านแม่…” ลู่จื่ออวิ๋นเอียงใบหน้าเล็ก ๆ ของตนซบกับฝ่ามือของมู่ซืออวี่ “ข้าจะเชื่อฟัง ท่านแม่อย่าไปนะ”

หลังจากเกลี้ยกล่อมลู่จื่ออวิ๋นจนหลับไป พอกลับมาก็เห็นว่าลู่ฉาวอวี่ยังคงนั่งจุดไฟอยู่ที่นั่น มู่ซืออวี่ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

“เจ้าก็ไปนอนเถิด” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าไม่ได้ยุ่งยากอะไร ข้าอยู่คนเดียวได้”

“ท่านพ่อกับท่านอาไม่อยู่ ข้าเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านทำงานคนเดียว” ลู่ฉาวอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฮ่าฮ่า”

มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา

ลู่ฉาวอวี่จึงจ้องนางอย่างไม่พอใจ

มู่ซืออวี่โบกมือ “ข้าขอโทษ ข้าไม่อยากหัวเราะหรอกนะ แต่ข้ากลั้นไว้ไม่อยู่”

เด็กน้อยไม่รู้อะไร อายุเพียงไม่เท่าไหร่ ตัวแค่เอวนางแต่ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก แล้วจะไม่ให้นางตลกได้อย่างไร?

“ขำอะไรนักหนา?” ลู่ฉาวอวี่แสดงความไม่พอใจขึ้นมา

“จะไม่นอนจริงหรือ?”

“ไม่นอน”

“งั้นก็อยู่กับข้า”

หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ลู่ฉาวอวี่ก็เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ถ้าเขาเกิดดื้อรั้นขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ รวมถึงท่านพ่ออันเป็นที่รักของเขาด้วยเช่นกัน

ลู่ฉาวอวี่นั่งอยู่หน้าเตา มองดูเปลวไฟที่อยู่ในเตา และเริ่มตกอยู่ในภวังค์ของตน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มู่ซืออวี่ก็เดินมาหาเขา จากนั้นก็คีบฟืนออกจากเตา ไม่นานนักเตาก็ดับลง

จากนั้นลู่ฉาวอวี่ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เด็กชายมองรูปร่างที่ดูผอมบางลงและสีหน้าอันแสนอ่อนโยนของคนตรงหน้า

“ข้าเรียกหาเจ้าตั้งหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่ขานรับ เจ้าคิดอะไรอยู่?”

“ข้าจะไปนอน”

ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลงพลางผละออกไป

มู่ซืออวี่ถอนหายใจเบา ๆ “ความคิดของเด็กน้อยผู้นี้ อย่าไปคาดเดาเลย คาดเดาไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

ก่อนรุ่งสางในวันรุ่งขึ้น มู่ซืออวี่ยืนอยู่ที่ประตูและพูดกับลู่ฉาวอวี่ว่า “ฉาวอวี่ ข้าจะไปในเมือง เจ้าดูแลน้องสาวอยู่บ้านนะ มีอาหารเช้าอุ่น ๆ ในหม้อ เจ้ากับน้องสาวตื่นมาก็กินได้เลย”

มู่ซืออวี่แน่ใจว่าลู่ฉาวอวี่ได้ยิน นางจึงเก็บข้าวของและเตรียมที่จะออกไป

นางมีเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ช่วงบ่ายต้องกลับมาช่วยเหยาซื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงในงานแต่งของวันพรุ่งนี้ นางทำหีบเพิ่มอีกสองใบ และหลังจากขายเต้าหู้แห้งหมดจึงไปดูที่หอหลิงอวิ๋น

วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด นางไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กำไรหรือไม่ ทว่าอย่างไรแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป หากแย่ที่สุดก็อาจจะเสียเวลา แต่หากโชคดีก็อาจสามารถทำเงินได้สัก 5 หรือ 10 อีแปะ

ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูและเดินออกมา เด็กชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิทกำลังยืนมองนางอยู่เงียบ ๆ

ตอนนี้ยังไม่สว่าง แสงจันทร์ยังส่องสลัว แต่ไม่กระทบกับการมองเห็นของพวกเขา

“เจ้าออกมาทำไม?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“ข้าจะไปกับท่าน”

“ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ดูแลน้องสาว”

“ข้าฝากน้องไว้กับท่านยายกับท่านน้าแล้ว ข้าจะไปด้วย”

ลู่ฉาวอวี่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด

เขาไม่อยากให้นางออกไปคนเดียว ถ้านาง…

นางไม่ต้องการพวกเขาแล้ว… จะทำอย่างไร?

เมื่อนึกได้เช่นนี้ ริมฝีปากของลู่ฉาวอวี่ก็เม้มแน่นยิ่งขึ้น

เขามองนางด้วยความดื้อรั้น ไม่สนว่าแสงสลัว ๆ จะสามารถส่งผ่านความพยายามของตัวเองไปยังผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งหรือไม่

“เจ้าเด็กน้อย…” มู่ซืออวี่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเขาแล้ว “ก็ได้ เจ้าเก็บของก่อน ข้าจะไปหาแม่ของข้า ขอให้นางมาดูอวิ๋นเอ๋อร์”

หลังจากที่ถงซื่อมาถึง มู่ซืออวี่ก็พาลู่ฉาวอวี่ที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเข้ามาในเมือง

ลู่ฉาวอวี่คว้าตะกร้ามา ปฏิเสธที่จะให้มู่ซืออวี่แบกมัน

มู่ซืออวี่ขอร้องอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายนางต้องปล่อยให้เด็กนิสัยประหลาดคนนี้แบกมันไว้บนหลัง

แท้จริงแล้วเมื่อวานนี้ตอนที่วิ่งไล่จับโจรขานางพลิก แม้ว่าจะกลับมากินยาแล้ว ทายาก็แล้ว แต่จุดที่พลิกก็ยังคงเจ็บอยู่เช่นเดิม มีคนช่วยนางแบ่งเบาน้ำหนักเช่นนี้ นางก็สบายมากขึ้น

ช้าก่อน เด็กคนนี้เห็นหรือว่านางบาดเจ็บ?

มู่ซืออวี่มองไปที่ลู่ฉาวอวี่

เขาเป็นห่วงนางหรือเปล่านะ?

หลังจากเข้ามาในเมือง มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ไปตลาดแต่มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

ตั้งแต่ที่ลู่อี้ถูกร้านอาหารแห่งแรกปฏิเสธ มู่ซืออวี่ก็เริ่มถามร้านอาหารแห่งที่สองในตัวเมืองว่ากิจการยังไปได้ดีอยู่หรือไม่ หลังจากนั้น นางก็พบกับ ‘ภัตตาคารเจียงซื่อ’

“มาแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ?” ผู้จัดการร้านทักทายนาง

“ท่านเป็นเถ้าแก่ของที่นี่หรือ?” มู่ซืออวี่มองไปยังผู้จัดการร้านที่อยู่ตรงหน้า

มองแล้วก็คุ้นหน้าคุ้นตากับอีกฝ่าย เขาปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพและเหมาะสม ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อย

“ข้าไม่ใช่เถ้าแก่หรอก แต่ข้าทำงานที่นี่” ผู้จัดการร้านเอ่ยถามต่อไปว่า “ท่านมีธุระอะไรหรือ?”

“ข้าต้องการร่วมทำกิจการกับที่นี่” มู่ซืออวี่ยกตระกร้าที่หลังของลู่ฉาวอวี่ออกมาพลางหยิบเต้าหู้แห้งจากด้านในออกมา “นี่เป็นอาหารจานใหม่ที่ข้าทำ ข้าต้องการขายให้ภัตตาคารนี้ กิจการของเถ้าแก่จะได้เติบโตขึ้นไปอีก”

“ฮ่าฮ่า” อีกฝ่ายหัวเราะ “ที่นี่เรามีอาหารมากมายแล้ว ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่าน แต่…”

“ท่านจะปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ชิมหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าว “บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของท่านที่จะลืมตาอ้าปากเชียวนะ”

“งั้นหรือ มั่นใจเช่นนั้นเชียว?”

“หากไม่มั่นใจ ข้าจะกล้ามาคุยกับท่านถึงที่นี่งั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้ม “ข้าทำอาหารสองสามอย่างให้ท่านลองชิมได้ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่”

“ได้ ครัวอยู่ทางนี้ เชิญ!”

ลู่ฉาวอวี่เดินตามหลังมู่ซืออวี่ไป

ตอนนี้เช้าเกินไป ร้านอาหารยังไม่เปิด พ่อครัวก็ยังไม่มาเช่นกัน แต่ในห้องครัวก็มีวัตถุดิบมากมาย ทั้งหมดเป็นของสดใหม่และถูกจัดส่งมาในวันนี้

“ลูกชาย มาช่วยทีสิ” มู่ซืออวี่สั่งลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง

ลูกชาย…

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกเขาเช่นนี้

มู่ซืออวี่จงใจที่จะเรียกเช่นนี้ นางเห็นเด็กคนนี้ทำหน้านิ่งมาทั้งวันราวกับคนแก่ในร่างเด็ก หากยังทำเช่นนี้ต่อไปจะไม่อึดอัดใจเอาหรือ?

นางพบว่าเด็กน้อยผู้นี้หากถูกแหย่จะโกรธได้ง่าย แต่นางมองว่าโกรธก็ดีเสียกว่าปล่อยให้อึดอัดใจ

มู่ซืออวี่ตั้งอกตั้งใจกับการทำอาหารพลางวางแผนเรื่องที่จะทำวันนี้ก่อนเข้ามาในเมือง

นางมาลองหาร้านอาหารในเมือง ให้ผู้จัดการร้านได้ลองชิมฝีมือของนาง หากอีกฝ่ายสนใจ ต่อไปก็จะมีที่ขายของอย่างแน่นอน

หากขายเนื้อตุ๋นเหมือนเมื่อวานจะใช้เวลานาน อีกทั้งยังอันตราย นางคิดว่าพวกโจรคงหมายตาพวกนางมานานแล้ว เพียงแค่รอเงินหลังจากขายจนหมด ถึงคราวนั้นพวกเขาก็จะมาฉกเงินไป แต่หากนางมีลูกค้าประจำ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายเช่นนี้ได้

ซ่า!

นางเทน้ำมันใส่เต้าหู้แห้งที่หั่นแล้วเอาลงไปทอดจนเหลือง จากนั้นใส่เครื่องปรุง กระเทียมและขิง เต้าหู้แห้งมีรสชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อนำไปผัดคลุกเคล้ากัน กลิ่นก็หอมอบอวลไปทั้งครัว

ต่อไปคือช่วงเวลาของการเฉิดฉายแล้ว เพราะวัตถุดิบที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ส่วนผสม จึงถูกปรุงให้เป็นอาหารที่แตกต่างกันด้วยสองมืออย่างว่องไว

เต้าหู้แห้งห้าเครื่องเทศที่อร่อยไร้ที่ติ เต้าหู้แห้งผัดพริกหยวก ผัดเต้าหู้แห้งรวมมิตร ผัดเผ็ดเต้าหู้แห้ง ยำเต้าหู้แห้ง และเต้าหู้แห้งผัดอีกมากมายที่ถูกยกออกมาจัดวางบนโต๊ะ ผู้จัดการร้านถึงกับกลืนน้ำลาย

“กลิ่นหอมดีนี่” ผู้จัดการร้านพิจารณาทักษะที่ว่องไวของมู่ซืออวี่แล้วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีฝีมือเป็นเลิศเช่นนี้”

“ไม่หรอก ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ชอบศึกษาเรื่องของอาหาร ท่านลองชิมดูสิ” มู่ซืออวี่กล่าว “ถ้าท่านสนใจ เราค่อยคุยธุระกันภายหลัง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+