สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม

บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม

ทางบนภูเขานั้นไม่ง่ายที่จะเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรูปร่างแบบมู่ซืออวี่ เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้ว

ลู่อี้มองกลับไปไม่เห็นนางจึงนั่งลง จากนั้นก็เรียกนางให้ขึ้นมาบนหลังของเขา “ขึ้นมา!”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ มู่ซืออวี่ก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้ นางเดินผ่านเขาพร้อมแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ “ข้ามีขา เดินเองได้”

ลู่อี้ได้เห็นฝีปากของนางเช่นนั้นก็ช่วยได้เพียงแขนข้างเดียว เขาช่วยดึงนางขึ้นเขาไปทีละก้าว

“อวิ๋นเอ๋อร์ระวังหน่อย ตรงนี้มีตะไคร่น้ำ…” ลู่ฉาวอวี่เพิ่งจะพูดจบก็เห็นมู่ซืออวี่ไปเหยียบที่ตรงนั้นพอดี

พูดยังไม่ทันขาดคำ

เสียง “โอ๊ย” ก็ร้องขึ้นมา ร่างทั้งร่างของมู่ซืออวี่ล้มกลิ้งลงไปทางด้านหลัง

ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่หน้าลู่จื่ออวิ๋น มองลู่อี้ที่อุ้มร่างกายของมู่ซืออวี่ให้กลับมายืนอย่างมั่นคง

มู่เจิ้งหานถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ขี่หลังพี่เขยขึ้นเขาไปเถิด” เขาเอ่ยขึ้น “เช่นนี้… จะเร็วกว่า”

พวกเขาเองก็จะได้ปลอดภัยเช่นกัน

มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจเลยว่าเด็กพวกนี้กำลังร้องเรียนเรื่องอะไรกันอยู่

นางจ้องทุกคนเพียงชั่วครู่ “ข้าเดินได้”

มู่เจิ้งหานเดินขึ้นไปพลางชำเลืองมองนางอย่างระมัดระวัง “ท่านไม่ได้ขึ้นเขาบ่อย ก่อนหน้านี้ฝนตก จึงลื่นล้มได้ง่ายเป็นธรรมดา”

“ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก” มูซืออวี่ยู่ปาก “รอดูเถอะ ต้องมีสักวันที่ข้าสามารถลดเนื้อหนังนี่ไปได้ ถึงตอนนั้นคงจะปราดเปรียวกว่าพวกเจ้าแล้ว”

มู่เจิ้งหานได้ยินแล้วก็ถึงกับประหลาดใจขึ้นมา

เมื่อก่อนนี้หากใครกล้าพูดว่ามู่ซืออวี่ ‘อ้วน’ หรือพูดอะไรที่เกี่ยวกับความอ้วนแม้แต่คำเดียว ยกตัวอย่างเช่นเนื้อหนังเยอะ หรือไขมันหมู นางก็จะบ้าคลั่งขึ้นมา ดูท่าว่านางจะเปลี่ยนไปมากจริง ๆ และไม่อายที่จะมองข้ามข้อบกพร่องของตนเองอีกด้วย

อารมณ์ของมู่ซืออวี่กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว นางนั่งยอง ๆ แล้วขุดเอากุยช่ายป่าออกไป

“อะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นถามขึ้นมา

“ผักป่า” มู่ซืออวี่ตอบ “กินได้นะ”

“ได้ยินจากคนแก่ในหมู่บ้านมาว่าเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ คนในหมู่บ้านกินผักป่าแล้วตายหลายคน ตั้งแต่นั้นมาก็มีคนกินผักป่าน้อยลง หากจะกินก็กินเพียงแค่ชนิดที่รู้จักเท่านั้น” มู่เจิ้งหานกล่าว

“อย่างนั้นเจ้าก็วางใจเถิด ตอนที่ข้าหิวก็กินผักไปแล้วไม่ใช่น้อย นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ด้านนั้นยังมีผักคาวทอง ไปถอนออกมาให้ข้าซิ” มู่ซืออวี่เห็นผักคาวทองแล้วแววตาก็เปล่งประกาย

“ผักชนิดนี้ไม่มีพิษ แต่ไม่อร่อย ถึงแม้ว่าจะหิวมากเพียงใด คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครอยากกินมันหรอก” ลู่ฉาวอวี่กล่าว

มู่ซืออวี่ไม่สนใจพวกเขา นางขุดสมบัติจากธรรมชาติเหล่านี้ต่อไป

“เจ้าขุดช้า ๆ นะ ข้าจะไปดูกับดัก”

มู่ซืออวี่รับปากลู่อี้ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา “ได้ ท่านไปเถิด สักพักข้าจะไปหา”

“เจ้าอยู่ดูแลแม่เจ้าซะ” ลู่อี้กำชับลู่ฉาวอวี่ “อวิ๋นเอ๋อร์กับน้องหาน เดินตามข้ามา”

ลู่ฉาวอวี่ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่พอใจที่ได้อยู่ที่นี่

ถ้าให้เปรียบเทียบ การเฝ้าคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างมู่ซืออวี่แล้ว แน่นอนว่าการติดตามลู่อี้เพื่อไปดูกับดักย่อมน่าสนใจกว่า

มู่ซืออวี่เห็นลู่ฉาวอวี่ไม่พอใจจึงยัดพลั่วเล็ก ๆ ใส่มือเขา “มานี่! พ่อหนุ่ม ข้าจะให้เจ้าทำงาน ในฐานะผู้ชาย เจ้าควรขุดได้มากกว่าข้า เพราะอย่างไรข้าก็เป็นสาวน้อยผู้อ่อนแอคนหนึ่ง!”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

สาวน้อยผู้อ่อนแอหรือ?

นางเอาหน้าที่ไหนมาพูดอย่างนี้กัน

ใบหน้าของลู่ฉาวอวี่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาหยิบพลั่วเล็ก ๆ ที่นางมอบให้อย่างไม่พอใจแล้วนั่งยอง ๆ เพื่อขุดผักคาวทองเหล่านั้น

ทันใดนั้น เสียงกร๊อบแกร๊บก็ดังขึ้น

มู่ซืออวี่กำลังมองไปรอบ ๆ แต่ก็ได้ยินเสียงน่าขนลุกขึ้นเสียก่อน เมื่อมองไปเห็นร่างของงูสีแดงฉาน นางก็ร้องออกมาเสียงดัง

ลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นเทา เผลอทำพลั่วทิ่มมือของตน

มู่ซืออวี่ที่เห็นลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นเทาอยู่ต่อหน้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า… เจ้ารีบไป… ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

หากขานางไม่สั่นเทา สีหน้าดีกว่านี้อีกนิด สิ่งที่นางพูดอาจจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้

ลู่ฉาวอวี่เห็นสิ่งที่อยู่ในพงหญ้าแล้ว จู่ ๆ มันก็พุ่งออกมาจากหลังของมู่ซืออวี่ เขารีบเอาพลั่วแทงมันทันที

ฉึก! ฉึก! เด็กชายแทงมันไปตรง ๆ ถึงเจ็ดครั้ง

มู่ซืออวี่รู้สึกราวกับว่าพลั่วแทงมาที่ตนเองอย่างไรอย่างนั้น

เด็กคนนี้ทั้งมือทั้งร่างกายช่างปราดเปรียว ตรงไหนกันที่เหมือนกับเด็กอายุเพียงไม่กี่หนาว

เมื่อดึงพลั่วออกมา ของเหลวสีแดงก็พรั่งพรูออกมาด้วย

ลู่ฉาวอวี่เช็ดเลือดที่ใบหญ้าด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังขุดผักคาวทองต่อไป

ครั้นเห็นเขาขุดด้วยพลั่วที่เปื้อนเลือดงู นางก็คว้าข้อมือเขาขึ้นมาทันที “พอแล้ว ไปหาท่านพ่อของเจ้ากันเถอะ!”

ลู่ฉาวอวี่ถือตะกร้าไว้บนหลังของเขาอย่างใจเย็น จากนั้นก็คว้างูขึ้นแล้วโยนเข้าไปในตะกร้า

“เจ้าจะเอามันไปด้วยรึ?”

“ไว้กิน”

“งูมีพิษ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ

“เนื้องูกินได้” ลู่ฉาวอวี่หันกลับมามองนางแล้วถามว่า “ท่านกลัวรึ?”

“ไร้สาระ” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม “งูตายแล้ว เอาอะไรมาน่ากลัว”

“ถ้าอย่างนั้นมื้อกลางวัน ข้าอยากกินเนื้องู อีกพักใหญ่ข้าจะยกให้ท่านก็แล้วกัน” ลู่ฉาวอวี่พูดจบแล้วก็ไม่รอมู่ซืออวี่ปฏิเสธ เข้าก้าวยาว ๆ ไปหาลู่อี้ที่อยู่ไม่ไกล

มู่ซืออวี่รู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อนึกถึงงูที่ตัวเย็นเฉียบและอ่อนนุ่ม แต่นางก็อวดดีจนไม่สามารถผิดคำสัญญาได้ เป็นเรื่องยากที่ลู่ฉาวอวี่จะขอร้องนาง เช่นนั้นจะปล่อยให้เด็กคนนี้ไม่พอใจไม่ได้ใช่หรือไม่

นางตัดสินใจหลับตาแล้วนึกวิธีจัดการกับงู สิ่งที่แย่ที่สุดก็คงเป็นการตัดหัวงูออก แล้วค่อยให้ลู่อี้รีดพิษออกให้ นางสามารถคิดว่ามันเป็นปลาไหล… แม้ว่านั่นจะเป็นการหลอกตัวเอง แต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

ลู่อี้กำลังซ่อมกับดัก

มู่เจิ้งหานเห็นพวกนางตามมาจึงอธิบายว่า “กับดักพังแล้ว เมื่อคืนน่าจะได้สัตว์ใหญ่ มันทำกับดักพัง”

“ยังคงมีคราบเลือดอยู่บนพื้น เหยื่อตัวใหญ่คงบาดเจ็บสาหัส เจ้าตามคราบเลือดไปดูสิ ไม่แน่ว่าอาจจะเหลือซากอยู่บ้าง” มู่ซืออวี่เสนอ

ลู่อี้ที่ซ่อมกับดักเสร็จก็ลุกขึ้นมาแล้ววางลงบนกองใบไม้แห้ง

“ข้าจะไปหาดู พวกเจ้าไม่ต้องตามข้ามา ข้าดูแลพวกเจ้าหลายคนไม่ไหวหรอก” ลู่อี้กล่าวพลางมองไปทางมู่ซืออวี่ “เจ้าดูแลพวกเขาให้รอข้าอยู่ที่นี่”

“ได้” มู่ซืออวี่คล้อยตาม “ท่านรีบไปเถิด”

ลู่อี้เพิ่งจะเดินออกไป มู่ซืออวี่ก็ทำท่าทางให้ทุกคนเงียบ ๆ ”ชู่ว…”

“ท่านไม่ได้… ” มู่เจิ้งหานเห็นก็รู้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดี

แน่นอนว่ามู่ซืออวี่เดินตามหลังลู่อี้ไปอย่างเงียบ ๆ

ลู่ฉาวอวี่หัวเราะออกมาก่อนจะก้าวตามไป

ลู่จื่ออวิ๋นเชื่อฟังคำพูดนั้น เมื่อเห็นว่าท่านแม่และพี่ชายกำลังตามท่านพ่อไป นางก็พยายามตามทั้งสองให้ทัน

มู่เจิ้งหานพึมพำขึ้นมา “ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ”

มู่ซืออวี่ตามลู่อี้มาจากทางด้านหลัง แต่ลู่อี้เคลื่อนตัวเร็วเกินไป เร็วจนมองไม่เห็นเงาคน นางไม่คิดจะซ่อนตัว เพียงแค่ก้าวยาว ๆ ตามไปแค่นั้น

“หายไปแล้ว” มู่ซืออวี่พูดออกมา “ช่างเถอะ ไม่ตามแล้ว ดูซิว่ารอบ ๆ นี้จะมีสัตว์ป่าบ้างหรือไม่”

“อย่าขยับ…” ลู่ฉาวอวี่มองไปยังด้านหลังของนาง

มู่ซืออวี่เพิ่งก้าวขาออกมาหนึ่งข้าง พอเห็นสายตาของเขาเช่นนี้ก็ประหม่าทันที “เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านแม่ ด้านหลังของท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นตัวสั่นเทาขึ้นมา

มู่เจิ้งหานปิดตาของลู่จื่ออวิ๋นไว้

ในมือของมู่ซืออวี่ไม่มีอะไรที่สามารถปกป้องตนเองได้ ฟังจากเสียงหายใจที่อยู่ด้านหลังแล้ว นางก็รู้ได้ว่ามันต้องตัวไม่เล็กอย่างแน่นอน

หญิงสาวไม่กล้าหันกลับไปแต่อย่างใด

ทำอย่างไรดี?

จะตายที่นี่หรือ?

ลู่ฉาวอวี่คว้าพลั่วขึ้นมาแล้วพุ่งไปทางมู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่เบิกตาโพลง “นี่เจ้าจะทำอะไร! กลับไป!”

เสียงคำรามดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงขยับตัว

ลู่ฉาวอวี่เข้ามาใกล้พร้อมพลั่วในมือ

มู่ซืออวี่ไม่สนใจสิ่งใด นางรีบวิ่งไปทางลู่ฉาวอวี่แล้วออกแรงผลักเขาอย่างแรง

ความตั้งใจเดิมของนางคือการผลักเขาออกไปเพื่อไม่ให้ถูกทำร้ายจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง

แต่แล้วร่างที่อยู่ด้านหลังก็กระแทกนางเข้าอย่างจัง

พลั่ก!

มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนร่างกายของตนกำลังแหลกละเอียด

เจ็บ!

เจ็บมาก!

ตอนนี้นางสามารถมองเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจนแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นหมูป่า!

ขาของมันมีเลือดหยดออกมา ดูเหมือนว่าสัตว์ใหญ่ตัวเมื่อคืนนี้จะเป็นมันสินะ

หมูป่าธรรมดาไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่พวกมันดุร้ายเพราะได้รับบาดเจ็บ

“ท่านแม่!…” ลู่จื่ออวิ๋นตกใจกลัวจนตัวสั่น “ท่านน้า! ท่านแม่…”

มู่เจิ้งหานก็เป็นเพียงเด็กชายไม่กี่หนาว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร

ลู่ฉาวอวี่ถูกมู่ซืออวี่ผลักออกไป แม้ว่าเขาจะล้มลงไปแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาคว้าพลั่วที่ตกลงบนพื้น ในขณะที่กำลังจะแทงหมูป่า มันก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ลู่ฉาวอวี่เห็นว่าหมูป่าวิ่งเข้ามาหามู่ซืออวี่แล้วจึงรีบปิดตาทันที

ตึง! เสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้น

“ท่านพ่อ…” ลู่จื่ออวิ๋นร้องเรียกขึ้นมาด้วยความตระหนก “ท่านพ่อมาแล้ว”

ลู่ฉาวอวี่ค่อย ๆ เปิดตามอง ลู่อี้ใช้แรงของร่างกายตนเองทั้งหมดกดทับร่างของหมูป่าเอาไว้ จากนั้นจึงต่อยมันซ้ำ ๆ

หมูป่าร้องโหยหวนได้ไม่นาน แล้วเสียงนั้นก็ค่อย ๆ เบาลงก่อนจะเงียบลงในที่สุด

ลู่อี้ผละออกมา

ในกำปั้นของเขาเต็มไปด้วยเลือด

เขาเดินเข้ามาหามู่ซืออวี่แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

มู่ซืออวี่ถูกหมูป่ากระแทกสองครั้ง รู้สึกเหมือนร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว จะไม่เป็นไรได้อย่างไร

“ข้ารู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะใช้การไม่ได้”

“ข้าจะแบกเจ้าลงเขาเอง” ลู่อี้พูดจบก็มองไปทางคนอื่น ๆ “ตามข้ามา”

“แล้วหมูป่าเล่า?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามขึ้นมา “มิเช่นนั้นข้าจะเฝ้ามันได้อย่างไร”

“ในป่ามีอันตรายมากเกินไป หากสัตว์ร้ายตัวอื่นมาที่นี่ล่ะ ” ลู่อี้กล่าวว่า “ข้าจะซ่อนมันไว้ก่อน ชั่วครู่ค่อยลงเขาไป”

“กลับก่อนเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยขัดขึ้น “ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”

ลู่อี้จึงแบกมู่ซืออวี่ขึ้นขี่หลัง แล้วนำทางทุกคนลงเขาไป

ลู่ฉาวอวี่มองไปยังสีหน้าของมู่ซืออวี่เป็นครั้งคราว

ใบนางหน้าขาวซีด ดวงตาอ่อนล้า เมื่อนึกภาพหมูป่าเมื่อครู่ก็กลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นมา

หลังจากที่ลงจากภูเขาแล้ว ลู่ฉาวอวี่ก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปเชิญท่านหมอจู”

“อืม” ลู่อี้ตอบรับเพียงหนึ่งเสียง

ครั้นกลับมาถึงบ้านแล้ว ลู่เซวียนก็เห็นลู่อี้แบกมู่ซืออวี่ขึ้นหลังกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“นางเสแสร้งอะไรอีกล่ะ?”

ลู่อี้พานางเข้าไปในห้อง

ถงซื่อที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าอยู่บนเตียงเห็นเข้าก็ถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวลว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“เจอหมูป่าขอรับ” ลู่อี้กล่าวว่า “ฉาวอวี่ออกไปตามท่านหมอแล้ว ท่านหมอกำลังมาดูอาการนาง”

ท่านหมอมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพของมู่ซืออวี่แล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความสนุกปากว่า “ผู้ชายในหมู่บ้านนี้กล้าแค่เดินรอบ ๆ ภูเขาเท่านั้น มีเพียงแค่ผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นลู่อี้ที่กล้าเดินเข้าไปในป่าลึก แต่เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวยังกล้าเข้าไป ไม่ตายก็โชคดีมากเท่าไหร่แล้ว”

“ท่านหมอ อย่าเพิ่งพูดประชดประชันเลย เรื่องมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว ท่านไม่คิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างรึ ” มู่ซืออวี่ที่อ่อนแรงเต็มทนกล่าวขึ้นมา “ข้าอึดอัดที่หน้าอก เวียนหัวด้วย”

“ช้ำในสิท่า” ท่านหมอจูเอ่ยขึ้น “กินยาไม่กี่ชุดก็ดีขึ้นล้ว ยังโชคดีที่ไม่บาดเจ็บไปถึงเอ็นกับกระดูก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทนไม่ไหวเอา”

“ครั้งนี้พวกข้าจับหมูป่าได้ตัวหนึ่ง รอข้าเอามันไปขายแล้วจะมาจ่ายค่ารักษาให้ท่าน” ลู่อี้กล่าว

“ไม่ต้องเร่งรีบ พวกเจ้าวิ่งมาตามข้าทุกรอบไม่ไหวหรอก บ้านของพวกเจ้าคึกคักดีนะ มีเรื่องบ่อยจริง ๆ”

“ท่านหมอ ท่านดูสักหน่อยว่าฉาวอวี่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ข้าผลักเขาตอนหมูป่าพุ่งตัวมา”

“ข้าไม่เป็นไร” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครให้ท่านมายุ่งด้วยเล่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม

บทที่ 33 โดนหมูป่าเข้าจู่โจม

ทางบนภูเขานั้นไม่ง่ายที่จะเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรูปร่างแบบมู่ซืออวี่ เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้ว

ลู่อี้มองกลับไปไม่เห็นนางจึงนั่งลง จากนั้นก็เรียกนางให้ขึ้นมาบนหลังของเขา “ขึ้นมา!”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ มู่ซืออวี่ก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้ นางเดินผ่านเขาพร้อมแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ “ข้ามีขา เดินเองได้”

ลู่อี้ได้เห็นฝีปากของนางเช่นนั้นก็ช่วยได้เพียงแขนข้างเดียว เขาช่วยดึงนางขึ้นเขาไปทีละก้าว

“อวิ๋นเอ๋อร์ระวังหน่อย ตรงนี้มีตะไคร่น้ำ…” ลู่ฉาวอวี่เพิ่งจะพูดจบก็เห็นมู่ซืออวี่ไปเหยียบที่ตรงนั้นพอดี

พูดยังไม่ทันขาดคำ

เสียง “โอ๊ย” ก็ร้องขึ้นมา ร่างทั้งร่างของมู่ซืออวี่ล้มกลิ้งลงไปทางด้านหลัง

ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่หน้าลู่จื่ออวิ๋น มองลู่อี้ที่อุ้มร่างกายของมู่ซืออวี่ให้กลับมายืนอย่างมั่นคง

มู่เจิ้งหานถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ขี่หลังพี่เขยขึ้นเขาไปเถิด” เขาเอ่ยขึ้น “เช่นนี้… จะเร็วกว่า”

พวกเขาเองก็จะได้ปลอดภัยเช่นกัน

มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจเลยว่าเด็กพวกนี้กำลังร้องเรียนเรื่องอะไรกันอยู่

นางจ้องทุกคนเพียงชั่วครู่ “ข้าเดินได้”

มู่เจิ้งหานเดินขึ้นไปพลางชำเลืองมองนางอย่างระมัดระวัง “ท่านไม่ได้ขึ้นเขาบ่อย ก่อนหน้านี้ฝนตก จึงลื่นล้มได้ง่ายเป็นธรรมดา”

“ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก” มูซืออวี่ยู่ปาก “รอดูเถอะ ต้องมีสักวันที่ข้าสามารถลดเนื้อหนังนี่ไปได้ ถึงตอนนั้นคงจะปราดเปรียวกว่าพวกเจ้าแล้ว”

มู่เจิ้งหานได้ยินแล้วก็ถึงกับประหลาดใจขึ้นมา

เมื่อก่อนนี้หากใครกล้าพูดว่ามู่ซืออวี่ ‘อ้วน’ หรือพูดอะไรที่เกี่ยวกับความอ้วนแม้แต่คำเดียว ยกตัวอย่างเช่นเนื้อหนังเยอะ หรือไขมันหมู นางก็จะบ้าคลั่งขึ้นมา ดูท่าว่านางจะเปลี่ยนไปมากจริง ๆ และไม่อายที่จะมองข้ามข้อบกพร่องของตนเองอีกด้วย

อารมณ์ของมู่ซืออวี่กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว นางนั่งยอง ๆ แล้วขุดเอากุยช่ายป่าออกไป

“อะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นถามขึ้นมา

“ผักป่า” มู่ซืออวี่ตอบ “กินได้นะ”

“ได้ยินจากคนแก่ในหมู่บ้านมาว่าเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ คนในหมู่บ้านกินผักป่าแล้วตายหลายคน ตั้งแต่นั้นมาก็มีคนกินผักป่าน้อยลง หากจะกินก็กินเพียงแค่ชนิดที่รู้จักเท่านั้น” มู่เจิ้งหานกล่าว

“อย่างนั้นเจ้าก็วางใจเถิด ตอนที่ข้าหิวก็กินผักไปแล้วไม่ใช่น้อย นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ด้านนั้นยังมีผักคาวทอง ไปถอนออกมาให้ข้าซิ” มู่ซืออวี่เห็นผักคาวทองแล้วแววตาก็เปล่งประกาย

“ผักชนิดนี้ไม่มีพิษ แต่ไม่อร่อย ถึงแม้ว่าจะหิวมากเพียงใด คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครอยากกินมันหรอก” ลู่ฉาวอวี่กล่าว

มู่ซืออวี่ไม่สนใจพวกเขา นางขุดสมบัติจากธรรมชาติเหล่านี้ต่อไป

“เจ้าขุดช้า ๆ นะ ข้าจะไปดูกับดัก”

มู่ซืออวี่รับปากลู่อี้ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา “ได้ ท่านไปเถิด สักพักข้าจะไปหา”

“เจ้าอยู่ดูแลแม่เจ้าซะ” ลู่อี้กำชับลู่ฉาวอวี่ “อวิ๋นเอ๋อร์กับน้องหาน เดินตามข้ามา”

ลู่ฉาวอวี่ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่พอใจที่ได้อยู่ที่นี่

ถ้าให้เปรียบเทียบ การเฝ้าคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างมู่ซืออวี่แล้ว แน่นอนว่าการติดตามลู่อี้เพื่อไปดูกับดักย่อมน่าสนใจกว่า

มู่ซืออวี่เห็นลู่ฉาวอวี่ไม่พอใจจึงยัดพลั่วเล็ก ๆ ใส่มือเขา “มานี่! พ่อหนุ่ม ข้าจะให้เจ้าทำงาน ในฐานะผู้ชาย เจ้าควรขุดได้มากกว่าข้า เพราะอย่างไรข้าก็เป็นสาวน้อยผู้อ่อนแอคนหนึ่ง!”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

สาวน้อยผู้อ่อนแอหรือ?

นางเอาหน้าที่ไหนมาพูดอย่างนี้กัน

ใบหน้าของลู่ฉาวอวี่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาหยิบพลั่วเล็ก ๆ ที่นางมอบให้อย่างไม่พอใจแล้วนั่งยอง ๆ เพื่อขุดผักคาวทองเหล่านั้น

ทันใดนั้น เสียงกร๊อบแกร๊บก็ดังขึ้น

มู่ซืออวี่กำลังมองไปรอบ ๆ แต่ก็ได้ยินเสียงน่าขนลุกขึ้นเสียก่อน เมื่อมองไปเห็นร่างของงูสีแดงฉาน นางก็ร้องออกมาเสียงดัง

ลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นเทา เผลอทำพลั่วทิ่มมือของตน

มู่ซืออวี่ที่เห็นลู่ฉาวอวี่ตัวสั่นเทาอยู่ต่อหน้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า… เจ้ารีบไป… ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

หากขานางไม่สั่นเทา สีหน้าดีกว่านี้อีกนิด สิ่งที่นางพูดอาจจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้

ลู่ฉาวอวี่เห็นสิ่งที่อยู่ในพงหญ้าแล้ว จู่ ๆ มันก็พุ่งออกมาจากหลังของมู่ซืออวี่ เขารีบเอาพลั่วแทงมันทันที

ฉึก! ฉึก! เด็กชายแทงมันไปตรง ๆ ถึงเจ็ดครั้ง

มู่ซืออวี่รู้สึกราวกับว่าพลั่วแทงมาที่ตนเองอย่างไรอย่างนั้น

เด็กคนนี้ทั้งมือทั้งร่างกายช่างปราดเปรียว ตรงไหนกันที่เหมือนกับเด็กอายุเพียงไม่กี่หนาว

เมื่อดึงพลั่วออกมา ของเหลวสีแดงก็พรั่งพรูออกมาด้วย

ลู่ฉาวอวี่เช็ดเลือดที่ใบหญ้าด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังขุดผักคาวทองต่อไป

ครั้นเห็นเขาขุดด้วยพลั่วที่เปื้อนเลือดงู นางก็คว้าข้อมือเขาขึ้นมาทันที “พอแล้ว ไปหาท่านพ่อของเจ้ากันเถอะ!”

ลู่ฉาวอวี่ถือตะกร้าไว้บนหลังของเขาอย่างใจเย็น จากนั้นก็คว้างูขึ้นแล้วโยนเข้าไปในตะกร้า

“เจ้าจะเอามันไปด้วยรึ?”

“ไว้กิน”

“งูมีพิษ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ

“เนื้องูกินได้” ลู่ฉาวอวี่หันกลับมามองนางแล้วถามว่า “ท่านกลัวรึ?”

“ไร้สาระ” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม “งูตายแล้ว เอาอะไรมาน่ากลัว”

“ถ้าอย่างนั้นมื้อกลางวัน ข้าอยากกินเนื้องู อีกพักใหญ่ข้าจะยกให้ท่านก็แล้วกัน” ลู่ฉาวอวี่พูดจบแล้วก็ไม่รอมู่ซืออวี่ปฏิเสธ เข้าก้าวยาว ๆ ไปหาลู่อี้ที่อยู่ไม่ไกล

มู่ซืออวี่รู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อนึกถึงงูที่ตัวเย็นเฉียบและอ่อนนุ่ม แต่นางก็อวดดีจนไม่สามารถผิดคำสัญญาได้ เป็นเรื่องยากที่ลู่ฉาวอวี่จะขอร้องนาง เช่นนั้นจะปล่อยให้เด็กคนนี้ไม่พอใจไม่ได้ใช่หรือไม่

นางตัดสินใจหลับตาแล้วนึกวิธีจัดการกับงู สิ่งที่แย่ที่สุดก็คงเป็นการตัดหัวงูออก แล้วค่อยให้ลู่อี้รีดพิษออกให้ นางสามารถคิดว่ามันเป็นปลาไหล… แม้ว่านั่นจะเป็นการหลอกตัวเอง แต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

ลู่อี้กำลังซ่อมกับดัก

มู่เจิ้งหานเห็นพวกนางตามมาจึงอธิบายว่า “กับดักพังแล้ว เมื่อคืนน่าจะได้สัตว์ใหญ่ มันทำกับดักพัง”

“ยังคงมีคราบเลือดอยู่บนพื้น เหยื่อตัวใหญ่คงบาดเจ็บสาหัส เจ้าตามคราบเลือดไปดูสิ ไม่แน่ว่าอาจจะเหลือซากอยู่บ้าง” มู่ซืออวี่เสนอ

ลู่อี้ที่ซ่อมกับดักเสร็จก็ลุกขึ้นมาแล้ววางลงบนกองใบไม้แห้ง

“ข้าจะไปหาดู พวกเจ้าไม่ต้องตามข้ามา ข้าดูแลพวกเจ้าหลายคนไม่ไหวหรอก” ลู่อี้กล่าวพลางมองไปทางมู่ซืออวี่ “เจ้าดูแลพวกเขาให้รอข้าอยู่ที่นี่”

“ได้” มู่ซืออวี่คล้อยตาม “ท่านรีบไปเถิด”

ลู่อี้เพิ่งจะเดินออกไป มู่ซืออวี่ก็ทำท่าทางให้ทุกคนเงียบ ๆ ”ชู่ว…”

“ท่านไม่ได้… ” มู่เจิ้งหานเห็นก็รู้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดี

แน่นอนว่ามู่ซืออวี่เดินตามหลังลู่อี้ไปอย่างเงียบ ๆ

ลู่ฉาวอวี่หัวเราะออกมาก่อนจะก้าวตามไป

ลู่จื่ออวิ๋นเชื่อฟังคำพูดนั้น เมื่อเห็นว่าท่านแม่และพี่ชายกำลังตามท่านพ่อไป นางก็พยายามตามทั้งสองให้ทัน

มู่เจิ้งหานพึมพำขึ้นมา “ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ”

มู่ซืออวี่ตามลู่อี้มาจากทางด้านหลัง แต่ลู่อี้เคลื่อนตัวเร็วเกินไป เร็วจนมองไม่เห็นเงาคน นางไม่คิดจะซ่อนตัว เพียงแค่ก้าวยาว ๆ ตามไปแค่นั้น

“หายไปแล้ว” มู่ซืออวี่พูดออกมา “ช่างเถอะ ไม่ตามแล้ว ดูซิว่ารอบ ๆ นี้จะมีสัตว์ป่าบ้างหรือไม่”

“อย่าขยับ…” ลู่ฉาวอวี่มองไปยังด้านหลังของนาง

มู่ซืออวี่เพิ่งก้าวขาออกมาหนึ่งข้าง พอเห็นสายตาของเขาเช่นนี้ก็ประหม่าทันที “เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านแม่ ด้านหลังของท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นตัวสั่นเทาขึ้นมา

มู่เจิ้งหานปิดตาของลู่จื่ออวิ๋นไว้

ในมือของมู่ซืออวี่ไม่มีอะไรที่สามารถปกป้องตนเองได้ ฟังจากเสียงหายใจที่อยู่ด้านหลังแล้ว นางก็รู้ได้ว่ามันต้องตัวไม่เล็กอย่างแน่นอน

หญิงสาวไม่กล้าหันกลับไปแต่อย่างใด

ทำอย่างไรดี?

จะตายที่นี่หรือ?

ลู่ฉาวอวี่คว้าพลั่วขึ้นมาแล้วพุ่งไปทางมู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่เบิกตาโพลง “นี่เจ้าจะทำอะไร! กลับไป!”

เสียงคำรามดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงขยับตัว

ลู่ฉาวอวี่เข้ามาใกล้พร้อมพลั่วในมือ

มู่ซืออวี่ไม่สนใจสิ่งใด นางรีบวิ่งไปทางลู่ฉาวอวี่แล้วออกแรงผลักเขาอย่างแรง

ความตั้งใจเดิมของนางคือการผลักเขาออกไปเพื่อไม่ให้ถูกทำร้ายจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง

แต่แล้วร่างที่อยู่ด้านหลังก็กระแทกนางเข้าอย่างจัง

พลั่ก!

มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนร่างกายของตนกำลังแหลกละเอียด

เจ็บ!

เจ็บมาก!

ตอนนี้นางสามารถมองเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจนแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นหมูป่า!

ขาของมันมีเลือดหยดออกมา ดูเหมือนว่าสัตว์ใหญ่ตัวเมื่อคืนนี้จะเป็นมันสินะ

หมูป่าธรรมดาไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่พวกมันดุร้ายเพราะได้รับบาดเจ็บ

“ท่านแม่!…” ลู่จื่ออวิ๋นตกใจกลัวจนตัวสั่น “ท่านน้า! ท่านแม่…”

มู่เจิ้งหานก็เป็นเพียงเด็กชายไม่กี่หนาว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร

ลู่ฉาวอวี่ถูกมู่ซืออวี่ผลักออกไป แม้ว่าเขาจะล้มลงไปแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาคว้าพลั่วที่ตกลงบนพื้น ในขณะที่กำลังจะแทงหมูป่า มันก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ลู่ฉาวอวี่เห็นว่าหมูป่าวิ่งเข้ามาหามู่ซืออวี่แล้วจึงรีบปิดตาทันที

ตึง! เสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้น

“ท่านพ่อ…” ลู่จื่ออวิ๋นร้องเรียกขึ้นมาด้วยความตระหนก “ท่านพ่อมาแล้ว”

ลู่ฉาวอวี่ค่อย ๆ เปิดตามอง ลู่อี้ใช้แรงของร่างกายตนเองทั้งหมดกดทับร่างของหมูป่าเอาไว้ จากนั้นจึงต่อยมันซ้ำ ๆ

หมูป่าร้องโหยหวนได้ไม่นาน แล้วเสียงนั้นก็ค่อย ๆ เบาลงก่อนจะเงียบลงในที่สุด

ลู่อี้ผละออกมา

ในกำปั้นของเขาเต็มไปด้วยเลือด

เขาเดินเข้ามาหามู่ซืออวี่แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

มู่ซืออวี่ถูกหมูป่ากระแทกสองครั้ง รู้สึกเหมือนร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว จะไม่เป็นไรได้อย่างไร

“ข้ารู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะใช้การไม่ได้”

“ข้าจะแบกเจ้าลงเขาเอง” ลู่อี้พูดจบก็มองไปทางคนอื่น ๆ “ตามข้ามา”

“แล้วหมูป่าเล่า?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามขึ้นมา “มิเช่นนั้นข้าจะเฝ้ามันได้อย่างไร”

“ในป่ามีอันตรายมากเกินไป หากสัตว์ร้ายตัวอื่นมาที่นี่ล่ะ ” ลู่อี้กล่าวว่า “ข้าจะซ่อนมันไว้ก่อน ชั่วครู่ค่อยลงเขาไป”

“กลับก่อนเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ยขัดขึ้น “ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”

ลู่อี้จึงแบกมู่ซืออวี่ขึ้นขี่หลัง แล้วนำทางทุกคนลงเขาไป

ลู่ฉาวอวี่มองไปยังสีหน้าของมู่ซืออวี่เป็นครั้งคราว

ใบนางหน้าขาวซีด ดวงตาอ่อนล้า เมื่อนึกภาพหมูป่าเมื่อครู่ก็กลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นมา

หลังจากที่ลงจากภูเขาแล้ว ลู่ฉาวอวี่ก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปเชิญท่านหมอจู”

“อืม” ลู่อี้ตอบรับเพียงหนึ่งเสียง

ครั้นกลับมาถึงบ้านแล้ว ลู่เซวียนก็เห็นลู่อี้แบกมู่ซืออวี่ขึ้นหลังกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“นางเสแสร้งอะไรอีกล่ะ?”

ลู่อี้พานางเข้าไปในห้อง

ถงซื่อที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าอยู่บนเตียงเห็นเข้าก็ถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวลว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“เจอหมูป่าขอรับ” ลู่อี้กล่าวว่า “ฉาวอวี่ออกไปตามท่านหมอแล้ว ท่านหมอกำลังมาดูอาการนาง”

ท่านหมอมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพของมู่ซืออวี่แล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความสนุกปากว่า “ผู้ชายในหมู่บ้านนี้กล้าแค่เดินรอบ ๆ ภูเขาเท่านั้น มีเพียงแค่ผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นลู่อี้ที่กล้าเดินเข้าไปในป่าลึก แต่เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวยังกล้าเข้าไป ไม่ตายก็โชคดีมากเท่าไหร่แล้ว”

“ท่านหมอ อย่าเพิ่งพูดประชดประชันเลย เรื่องมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว ท่านไม่คิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างรึ ” มู่ซืออวี่ที่อ่อนแรงเต็มทนกล่าวขึ้นมา “ข้าอึดอัดที่หน้าอก เวียนหัวด้วย”

“ช้ำในสิท่า” ท่านหมอจูเอ่ยขึ้น “กินยาไม่กี่ชุดก็ดีขึ้นล้ว ยังโชคดีที่ไม่บาดเจ็บไปถึงเอ็นกับกระดูก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทนไม่ไหวเอา”

“ครั้งนี้พวกข้าจับหมูป่าได้ตัวหนึ่ง รอข้าเอามันไปขายแล้วจะมาจ่ายค่ารักษาให้ท่าน” ลู่อี้กล่าว

“ไม่ต้องเร่งรีบ พวกเจ้าวิ่งมาตามข้าทุกรอบไม่ไหวหรอก บ้านของพวกเจ้าคึกคักดีนะ มีเรื่องบ่อยจริง ๆ”

“ท่านหมอ ท่านดูสักหน่อยว่าฉาวอวี่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ข้าผลักเขาตอนหมูป่าพุ่งตัวมา”

“ข้าไม่เป็นไร” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครให้ท่านมายุ่งด้วยเล่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+