สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 155 ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 155 ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เอ้อร์โก่วร้องไห้โฮ ผู้เป็นย่าอย่างจงซื่อเห็นแล้วปวดใจ แต่นางไม่กล้าอาละวาดอีก

หัวหน้าหมู่บ้านมองนางด้วยสายตาคมกริบ

ตอนนี้ลู่อี้เป็นจู่ปู้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะกล้าล่วงเกินเขา ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาต่างหาก

“เอาล่ะ ๆ รีบขอโทษเด็กเหล่านี้เถอะ!” หัวหน้าหมู่บ้านเร่ง

“ลูกชายข้าบอกแล้วว่าจะไม่รับคำขอโทษ ให้พวกเขาออกไปจากบ้านของพวกเราก็พอแล้ว อย่าทำให้บ้านของเราต้องแปดเปื้อน” มู่ซืออวี่พูดอย่างรังเกียจ

“รีบไปเร็ว ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านดึงเอ้อร์โก่วออกไปข้างนอก

จงซื่อต้องปกป้องเอ้อร์โก่วจึงเดินตามเขาออกไป

ถึงตอนนี้ สายตาที่ชาวบ้านใช้มองมู่ซืออวี่เปลี่ยนไปแล้ว

ลู่อี้เป็นจู่ปู้เชียวนะ! เช่นนั้นมู่ซืออวี่ผู้นี้ก็นับว่าเป็นฮูหยินของเจ้าหน้าที่ทางการแล้วใช่หรือไม่?

มู่ซืออวี่ปิดประตูบ้าน ปิดกั้นสายตาสอดรู้สอดเห็นจากข้างนอก

หลังจากประตูปิดลง นางก็ลูบอกตัวเองเบา ๆ แล้วยกนิ้วให้ลู่ฉาวอวี่ “ไอ้หนู แสดงเก่งใช่ย่อย”

นางเดินเข้าไปหาเขา “เจ้าทำอะไรกับหน้าของเจ้า? ไหนให้ข้าดูซิ”

ลู่ฉาวอวี่เห็นนางใกล้เข้ามาก็หลบไปด้านข้าง

ยิ่งเขาหลบ นางยิ่งอยากเห็นมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้แม่และลูกชายจึงวิ่งไล่จับกันอยู่ที่ลานบ้าน

โฮ่ง ๆ!

เสี่ยวเฮยกระดิกหางไปมา วิ่งไล่ตามหลังมู่ซืออวี่ กลายเป็นภาพสนุกสนานครึกครื้นขึ้นมาทันที

ลู่จื่ออวิ๋นคอยหัวเราะคิกคักอยู่ด้านข้าง

สุดท้ายลู่ฉาวอวี่ก็ตกอยู่ในมือของมู่ซืออวี่ เด็กชายยอมจำนนต่อโชคชะตา หลับตาลงรอฟังเสียงหัวเราะของมู่ซืออวี่ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อ่อนนุ่มกำลังสัมผัสแก้มของเขา

ลู่ฉาวอวี่ลืมตาขึ้นมา เห็นเพียงสตรีที่อยู่ตรงหน้าส่งยิ้มให้ พลางเช็ดแป้งฝุ่นออกจากใบหน้าของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า

ไม่ผิด เขาใช้แป้งและผงชาดของมู่ซืออวี่สร้างบาดแผลขึ้นมา ทำให้สภาพของตนดูย่ำแย่กว่าเดิม

“เจ้าคอยฟังคำพูดของข้าอยู่ข้างใน ตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้เพื่อร่วมมือกับข้าใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นมา

“บาดแผลของพวกเราไม่ร้ายแรง อีกทั้งพวกเรายังมีถึงสามคน ถึงแม้เอ้อร์โก่วจะเป็นคนเริ่มก่อน แต่เจ้านั่นก็อาจกล่าวหาว่าพวกข้ารุมกลั่นแกล้งเขา หากเปลี่ยนเรื่องให้เป็นฝ่ายเราที่อ่อนแอถูกรังแก อีกฝ่ายที่ชื่อเสียงไม่ดีมาตั้งแต่แรกก็จะไม่มีใครเข้าข้าง”

“ถึงเจ้าไม่ทำอย่างนี้…”

“ไม่ทำเช่นนี้คงหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ เดี๋ยวก็ยุ่งยากเสียเปล่า ๆ เหตุใดต้องเสียเวลาในเมื่อมีหนทางที่ง่ายกว่า?” ลู่ฉาวอวี่พูดเรียบ ๆ

“เช่นนั้นบอกข้ามา เหตุใดถึงไม่ยอมรับว่าพวกเราทำจริง ๆ อย่างไรเสียเอ้อร์โก่วก็เป็นคนเริ่มก่อน พวกเรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเอง”

“ท่านพ่อได้เลื่อนขั้นแล้ว มีคนอิจฉาไม่น้อย หากพวกเราเหิมเกริม ชาวบ้านก็จะรังเกียจเรา แสดงความอ่อนแอแล้วก็ต้องแสดงความเข้มแข็งด้วย แสดงความอ่อนแอเพื่อทำให้พวกเขาได้เข้าใจ พวกเราไม่ใช่คนก่อเรื่องก่อน แสดงความเข้มแข็งก็เพื่อทำให้คนพวกนั้นได้รู้ซึ้งว่า หากไม่วุ่นวายกับพวกเราก็คุยกันง่าย แต่ถ้ายังมาล่วงเกินพวกเรา เช่นนั้นเราก็จะตัดกรงเล็บให้เหี้ยน”

มู่ซืออวี่ลูบหัวของลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่ตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงปัดมือนางออก “อย่ามาลูบ ข้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย”

“แน่นอนเจ้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยไม่คิดมากมายเช่นเจ้าหรอก” มู่ซืออวี่กล่าว “อายุน้อยแค่นี้จะกังวลมากมายไปไย เดี๋ยวก็แก่ก่อนวัยพอดี จริงสิ น้าของเจ้าเป็นลมไปแล้วจริง ๆ หรือ?”

“ท่านพี่…” มู่เจิ้งหานพิงอยู่กับหน้าต่าง “แหะ ๆ”

มู่ซืออวี่เห็นเด็ก ๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“เด็กหัวหมอพวกนี้ ภายหน้าใครเป็นศัตรูของพวกเจ้าคงโชคร้ายแล้ว”

ยามบ่าย ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนความรู้ของเหล่าพี่ป้าน้าอาก็เริ่มขึ้น หัวข้อในวันนี้เป็น ‘ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว’ ทุกคนจึงพูดคุยกันในหัวข้อจู่ปู้คือตำแหน่งทางการอะไร มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนไหน

หลังจากกระจ่างแล้ว ทุกคนล้วนตะลึงงัน ตำแหน่งจู่ปู้นี้สำหรับพวกเขาแล้วเป็นตำแหน่งทางการที่ ‘ใหญ่โต’ รับผิดชอบมากมายหลายสิ่ง

“ลู่เซวียน เจ้าว่าชุ่ยของบ้านเราเป็นอย่างไร?”

“หรงเอ๋อร์บ้านพวกเราก็ไม่เลว! หลานสาวข้าคนนี้งดงามราวกับดอกไม้เชียวนะ”

“เจ้าลองเอาหลานสาวของข้าไปพิจารณาดู…”

ในตอนที่มู่ซืออวี่กลับมาจากแปลงผัก ก็เห็นลู่เซวียนถูกสตรีหลายนางกักตัวไว้ สีหน้าดูเบื่อหน่ายอย่างสุดจะกลั้น

“ท่านอา พวกท่านกำลังทำอะไรหรือ?”

“ภรรยาลู่อี้กลับมาแล้ว” หญิงหลายนางเห็นมู่ซืออวี่ก็ทักทายนางอย่างเอาอกเอาใจ “เราอยากจะมาสานสัมพันธ์น่ะ”

“ใช่แล้ว หลานสาวของข้าคนนั้นไม่เลวจริง ๆ สมกันกับน้องสามีของเจ้าราวกับกิ่งทองใบหยก”

“หลานสาวของข้าก็หน้าตาสะสวยงดงามเหมือนกัน!”

ลู่เซวียนเห็นมู่ซืออวี่กลับมาแล้วจึงผละออกไป

เมื่อเดินมาถึงประตู ลู่เซวียนก็เอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวดอง”

กล่าวจบเขาก็กลับเข้าไปในห้อง

มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ “ทุกท่านก็เห็นแล้ว อารมณ์ของน้องชายสามีข้ามักจะเป็นเช่นนี้ เขาบอกว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องเกี่ยวดอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องดองกัน พวกเราซาบซึ้งใจต่อความปรารถนาดีของทุกท่าน”

“น้องสามีบ้านเจ้าอายุอานามก็ถึงวัยพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว เหตุใดถึงไม่คุยเรื่องเกี่ยวดอง? ภรรยาลู่อี้ เจ้าเป็นพี่สะใภ้ก็ต้องช่วยจัดการให้เขา เขายังจะกล้าพูดว่าไม่ได้อีกหรือ?”

“นั่นสิ พี่สะใภ้ใหญ่ก็เหมือนแม่นั่นแหละ!”

“น้องสามีของข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ไม่รีบร้อน ไม่สิ อีกไม่นานเขาก็จะไปสอนที่สำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ เขาจะต้องยุ่งทั้งวันเป็นแน่ ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเหล่านี้หรอก” มู่ซืออวี่เอ่ยนิ่ง ๆ

“ลู่เซวียนจะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ รึ?” สตรีหลายนางประหลาดใจ

“อืม”

“ร่างกายเขาดีขึ้นแล้วหรือ?”

“ดีขึ้นนานแล้ว” มู่ซืออวี่ตอบ “น้องสามีข้าไม่อยากพูดจริง ๆ เขาไม่อยากแต่งงาน ข้าในฐานะพี่สะใภ้ก็บังคับเขาไม่ได้”

“เจ้าลองคิดดูอีกที”

เทียบกับเมื่อครู่นี้ หญิงเหล่านี้กลับกระตือรือร้นขึ้นมากกว่าเดิม

เดิมทีพวกเขามาเป็นแม่สื่อแม่ชักเพราะลู่อี้ได้เลื่อนขั้น อันที่จริงยังคงดูแคลนลู่เซวียนอยู่บ้าง

ไม่ว่าลู่เซวียนจะหน้าตาดีขนาดไหน เขาก็เป็นแค่คนมีการศึกษาอ่อนแอคนหนึ่ง ทั้งยังต้องทานยาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งที่มีการศึกษา แต่ครอบครัวกลับยากจน ตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงแล้ว และยังสามารถหาเงินให้ครอบครัวได้ จึงน่ายินดีขึ้นมาบ้าง

มู่ซืออวี่พูดจาหว่านล้อมส่งหญิงเหล่านั้นกลับไป

“ยุ่งยากจริง ๆ” มู่ซืออวี่บ่น “คนพวกนี้ความกระตือรือร้นลุกโชนยิ่งกว่าไฟ”

สองสามวันต่อมา ก่อนที่บ้านของครอบครัวลู่จะเสร็จดี มู่ซืออวี่ก็ทำร้านของเจิ้งซูอวี้เสร็จสิ้นแล้ว

เจิ้งซูอวี้มองร้านที่อยู่ตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมา “เป็นดังคาด สายตาข้ามองไม่ผิดจริง ๆ”

หลี่หงซูเอ่ยอยู่ข้าง ๆ “ข้าควรตีสาวใช้สมควรตายคนนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ปล่อยนางไปง่าย ๆ เช่นนี้”

“คุณหนูหลี่ สาวใช้คนนั้นที่ท่านเอ่ยถึงชื่อซือเจียวใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามขึ้น

“ท่านรู้จักนางรึ?” หลี่หงซูกล่าว “ใช่สิ ต้องรู้จักนางแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่จงใจก่อกวนกิจการของท่าน”

“นางเป็นญาติผู้พี่ของข้า” มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นความแค้นของพวกเราพี่น้อง ไม่นึกว่าจะดึงคุณหนูหลี่เข้ามาเกี่ยวข้อง”

“แม้แต่น้องสาวแท้ ๆ ของตนเองก็ออกอุบายทำร้ายได้ จวนสกุลหลี่ของเรายิ่งไม่อยากเอาไว้” หลี่หงซูถามต่อไปว่า “เมื่อไหร่ท่านจะมีเวลา? ห้องของข้ายังไม่ได้ทำเลย ท่านช่วยข้าทำให้เสร็จเถิด”

“อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ บ้านของข้าใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว มีหลายอย่างที่ยังน่าเป็นห่วง ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้อาจจะยังทำไม่ได้”

หลี่หงซูไม่พอใจมากกว่าเดิม

เจิ้งซูอวี้มองชุดที่สวมอยู่บนหุ่นไม้ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกชอบ นางขอให้มู่ซืออวี่ทำหุ่นไม้แบบนี้ให้นางอีกมากมาย ถึงตอนนั้นจะได้ใส่ให้มากหน่อย

“แต่ว่าทำเลของเจ้าห่างไกล เสื้อผ้าที่ขายก็ราคาแพง มีเพียงเหล่าฮูหยินและแม่นางจากครอบครัวมีฐานะถึงจะซื้อได้ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” หลี่หงซูหันมาถามเจิ้งซูอวี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 155 ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 155 ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เอ้อร์โก่วร้องไห้โฮ ผู้เป็นย่าอย่างจงซื่อเห็นแล้วปวดใจ แต่นางไม่กล้าอาละวาดอีก

หัวหน้าหมู่บ้านมองนางด้วยสายตาคมกริบ

ตอนนี้ลู่อี้เป็นจู่ปู้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะกล้าล่วงเกินเขา ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาต่างหาก

“เอาล่ะ ๆ รีบขอโทษเด็กเหล่านี้เถอะ!” หัวหน้าหมู่บ้านเร่ง

“ลูกชายข้าบอกแล้วว่าจะไม่รับคำขอโทษ ให้พวกเขาออกไปจากบ้านของพวกเราก็พอแล้ว อย่าทำให้บ้านของเราต้องแปดเปื้อน” มู่ซืออวี่พูดอย่างรังเกียจ

“รีบไปเร็ว ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านดึงเอ้อร์โก่วออกไปข้างนอก

จงซื่อต้องปกป้องเอ้อร์โก่วจึงเดินตามเขาออกไป

ถึงตอนนี้ สายตาที่ชาวบ้านใช้มองมู่ซืออวี่เปลี่ยนไปแล้ว

ลู่อี้เป็นจู่ปู้เชียวนะ! เช่นนั้นมู่ซืออวี่ผู้นี้ก็นับว่าเป็นฮูหยินของเจ้าหน้าที่ทางการแล้วใช่หรือไม่?

มู่ซืออวี่ปิดประตูบ้าน ปิดกั้นสายตาสอดรู้สอดเห็นจากข้างนอก

หลังจากประตูปิดลง นางก็ลูบอกตัวเองเบา ๆ แล้วยกนิ้วให้ลู่ฉาวอวี่ “ไอ้หนู แสดงเก่งใช่ย่อย”

นางเดินเข้าไปหาเขา “เจ้าทำอะไรกับหน้าของเจ้า? ไหนให้ข้าดูซิ”

ลู่ฉาวอวี่เห็นนางใกล้เข้ามาก็หลบไปด้านข้าง

ยิ่งเขาหลบ นางยิ่งอยากเห็นมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้แม่และลูกชายจึงวิ่งไล่จับกันอยู่ที่ลานบ้าน

โฮ่ง ๆ!

เสี่ยวเฮยกระดิกหางไปมา วิ่งไล่ตามหลังมู่ซืออวี่ กลายเป็นภาพสนุกสนานครึกครื้นขึ้นมาทันที

ลู่จื่ออวิ๋นคอยหัวเราะคิกคักอยู่ด้านข้าง

สุดท้ายลู่ฉาวอวี่ก็ตกอยู่ในมือของมู่ซืออวี่ เด็กชายยอมจำนนต่อโชคชะตา หลับตาลงรอฟังเสียงหัวเราะของมู่ซืออวี่ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อ่อนนุ่มกำลังสัมผัสแก้มของเขา

ลู่ฉาวอวี่ลืมตาขึ้นมา เห็นเพียงสตรีที่อยู่ตรงหน้าส่งยิ้มให้ พลางเช็ดแป้งฝุ่นออกจากใบหน้าของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า

ไม่ผิด เขาใช้แป้งและผงชาดของมู่ซืออวี่สร้างบาดแผลขึ้นมา ทำให้สภาพของตนดูย่ำแย่กว่าเดิม

“เจ้าคอยฟังคำพูดของข้าอยู่ข้างใน ตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้เพื่อร่วมมือกับข้าใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นมา

“บาดแผลของพวกเราไม่ร้ายแรง อีกทั้งพวกเรายังมีถึงสามคน ถึงแม้เอ้อร์โก่วจะเป็นคนเริ่มก่อน แต่เจ้านั่นก็อาจกล่าวหาว่าพวกข้ารุมกลั่นแกล้งเขา หากเปลี่ยนเรื่องให้เป็นฝ่ายเราที่อ่อนแอถูกรังแก อีกฝ่ายที่ชื่อเสียงไม่ดีมาตั้งแต่แรกก็จะไม่มีใครเข้าข้าง”

“ถึงเจ้าไม่ทำอย่างนี้…”

“ไม่ทำเช่นนี้คงหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ เดี๋ยวก็ยุ่งยากเสียเปล่า ๆ เหตุใดต้องเสียเวลาในเมื่อมีหนทางที่ง่ายกว่า?” ลู่ฉาวอวี่พูดเรียบ ๆ

“เช่นนั้นบอกข้ามา เหตุใดถึงไม่ยอมรับว่าพวกเราทำจริง ๆ อย่างไรเสียเอ้อร์โก่วก็เป็นคนเริ่มก่อน พวกเรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเอง”

“ท่านพ่อได้เลื่อนขั้นแล้ว มีคนอิจฉาไม่น้อย หากพวกเราเหิมเกริม ชาวบ้านก็จะรังเกียจเรา แสดงความอ่อนแอแล้วก็ต้องแสดงความเข้มแข็งด้วย แสดงความอ่อนแอเพื่อทำให้พวกเขาได้เข้าใจ พวกเราไม่ใช่คนก่อเรื่องก่อน แสดงความเข้มแข็งก็เพื่อทำให้คนพวกนั้นได้รู้ซึ้งว่า หากไม่วุ่นวายกับพวกเราก็คุยกันง่าย แต่ถ้ายังมาล่วงเกินพวกเรา เช่นนั้นเราก็จะตัดกรงเล็บให้เหี้ยน”

มู่ซืออวี่ลูบหัวของลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่ตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงปัดมือนางออก “อย่ามาลูบ ข้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย”

“แน่นอนเจ้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยไม่คิดมากมายเช่นเจ้าหรอก” มู่ซืออวี่กล่าว “อายุน้อยแค่นี้จะกังวลมากมายไปไย เดี๋ยวก็แก่ก่อนวัยพอดี จริงสิ น้าของเจ้าเป็นลมไปแล้วจริง ๆ หรือ?”

“ท่านพี่…” มู่เจิ้งหานพิงอยู่กับหน้าต่าง “แหะ ๆ”

มู่ซืออวี่เห็นเด็ก ๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“เด็กหัวหมอพวกนี้ ภายหน้าใครเป็นศัตรูของพวกเจ้าคงโชคร้ายแล้ว”

ยามบ่าย ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนความรู้ของเหล่าพี่ป้าน้าอาก็เริ่มขึ้น หัวข้อในวันนี้เป็น ‘ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว’ ทุกคนจึงพูดคุยกันในหัวข้อจู่ปู้คือตำแหน่งทางการอะไร มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนไหน

หลังจากกระจ่างแล้ว ทุกคนล้วนตะลึงงัน ตำแหน่งจู่ปู้นี้สำหรับพวกเขาแล้วเป็นตำแหน่งทางการที่ ‘ใหญ่โต’ รับผิดชอบมากมายหลายสิ่ง

“ลู่เซวียน เจ้าว่าชุ่ยของบ้านเราเป็นอย่างไร?”

“หรงเอ๋อร์บ้านพวกเราก็ไม่เลว! หลานสาวข้าคนนี้งดงามราวกับดอกไม้เชียวนะ”

“เจ้าลองเอาหลานสาวของข้าไปพิจารณาดู…”

ในตอนที่มู่ซืออวี่กลับมาจากแปลงผัก ก็เห็นลู่เซวียนถูกสตรีหลายนางกักตัวไว้ สีหน้าดูเบื่อหน่ายอย่างสุดจะกลั้น

“ท่านอา พวกท่านกำลังทำอะไรหรือ?”

“ภรรยาลู่อี้กลับมาแล้ว” หญิงหลายนางเห็นมู่ซืออวี่ก็ทักทายนางอย่างเอาอกเอาใจ “เราอยากจะมาสานสัมพันธ์น่ะ”

“ใช่แล้ว หลานสาวของข้าคนนั้นไม่เลวจริง ๆ สมกันกับน้องสามีของเจ้าราวกับกิ่งทองใบหยก”

“หลานสาวของข้าก็หน้าตาสะสวยงดงามเหมือนกัน!”

ลู่เซวียนเห็นมู่ซืออวี่กลับมาแล้วจึงผละออกไป

เมื่อเดินมาถึงประตู ลู่เซวียนก็เอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวดอง”

กล่าวจบเขาก็กลับเข้าไปในห้อง

มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ “ทุกท่านก็เห็นแล้ว อารมณ์ของน้องชายสามีข้ามักจะเป็นเช่นนี้ เขาบอกว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องเกี่ยวดอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องดองกัน พวกเราซาบซึ้งใจต่อความปรารถนาดีของทุกท่าน”

“น้องสามีบ้านเจ้าอายุอานามก็ถึงวัยพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว เหตุใดถึงไม่คุยเรื่องเกี่ยวดอง? ภรรยาลู่อี้ เจ้าเป็นพี่สะใภ้ก็ต้องช่วยจัดการให้เขา เขายังจะกล้าพูดว่าไม่ได้อีกหรือ?”

“นั่นสิ พี่สะใภ้ใหญ่ก็เหมือนแม่นั่นแหละ!”

“น้องสามีของข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ไม่รีบร้อน ไม่สิ อีกไม่นานเขาก็จะไปสอนที่สำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ เขาจะต้องยุ่งทั้งวันเป็นแน่ ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเหล่านี้หรอก” มู่ซืออวี่เอ่ยนิ่ง ๆ

“ลู่เซวียนจะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาหมู่บ้านข้าง ๆ รึ?” สตรีหลายนางประหลาดใจ

“อืม”

“ร่างกายเขาดีขึ้นแล้วหรือ?”

“ดีขึ้นนานแล้ว” มู่ซืออวี่ตอบ “น้องสามีข้าไม่อยากพูดจริง ๆ เขาไม่อยากแต่งงาน ข้าในฐานะพี่สะใภ้ก็บังคับเขาไม่ได้”

“เจ้าลองคิดดูอีกที”

เทียบกับเมื่อครู่นี้ หญิงเหล่านี้กลับกระตือรือร้นขึ้นมากกว่าเดิม

เดิมทีพวกเขามาเป็นแม่สื่อแม่ชักเพราะลู่อี้ได้เลื่อนขั้น อันที่จริงยังคงดูแคลนลู่เซวียนอยู่บ้าง

ไม่ว่าลู่เซวียนจะหน้าตาดีขนาดไหน เขาก็เป็นแค่คนมีการศึกษาอ่อนแอคนหนึ่ง ทั้งยังต้องทานยาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งที่มีการศึกษา แต่ครอบครัวกลับยากจน ตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงแล้ว และยังสามารถหาเงินให้ครอบครัวได้ จึงน่ายินดีขึ้นมาบ้าง

มู่ซืออวี่พูดจาหว่านล้อมส่งหญิงเหล่านั้นกลับไป

“ยุ่งยากจริง ๆ” มู่ซืออวี่บ่น “คนพวกนี้ความกระตือรือร้นลุกโชนยิ่งกว่าไฟ”

สองสามวันต่อมา ก่อนที่บ้านของครอบครัวลู่จะเสร็จดี มู่ซืออวี่ก็ทำร้านของเจิ้งซูอวี้เสร็จสิ้นแล้ว

เจิ้งซูอวี้มองร้านที่อยู่ตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมา “เป็นดังคาด สายตาข้ามองไม่ผิดจริง ๆ”

หลี่หงซูเอ่ยอยู่ข้าง ๆ “ข้าควรตีสาวใช้สมควรตายคนนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ปล่อยนางไปง่าย ๆ เช่นนี้”

“คุณหนูหลี่ สาวใช้คนนั้นที่ท่านเอ่ยถึงชื่อซือเจียวใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามขึ้น

“ท่านรู้จักนางรึ?” หลี่หงซูกล่าว “ใช่สิ ต้องรู้จักนางแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่จงใจก่อกวนกิจการของท่าน”

“นางเป็นญาติผู้พี่ของข้า” มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นความแค้นของพวกเราพี่น้อง ไม่นึกว่าจะดึงคุณหนูหลี่เข้ามาเกี่ยวข้อง”

“แม้แต่น้องสาวแท้ ๆ ของตนเองก็ออกอุบายทำร้ายได้ จวนสกุลหลี่ของเรายิ่งไม่อยากเอาไว้” หลี่หงซูถามต่อไปว่า “เมื่อไหร่ท่านจะมีเวลา? ห้องของข้ายังไม่ได้ทำเลย ท่านช่วยข้าทำให้เสร็จเถิด”

“อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ บ้านของข้าใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว มีหลายอย่างที่ยังน่าเป็นห่วง ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้อาจจะยังทำไม่ได้”

หลี่หงซูไม่พอใจมากกว่าเดิม

เจิ้งซูอวี้มองชุดที่สวมอยู่บนหุ่นไม้ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกชอบ นางขอให้มู่ซืออวี่ทำหุ่นไม้แบบนี้ให้นางอีกมากมาย ถึงตอนนั้นจะได้ใส่ให้มากหน่อย

“แต่ว่าทำเลของเจ้าห่างไกล เสื้อผ้าที่ขายก็ราคาแพง มีเพียงเหล่าฮูหยินและแม่นางจากครอบครัวมีฐานะถึงจะซื้อได้ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” หลี่หงซูหันมาถามเจิ้งซูอวี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+