สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า

บทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า

หลังจากเข้ามาในเมือง สองสามีภรรยาก็แยกจากกัน

ลู่อี้มองมู่ซืออวี่บังคับรถม้าค่อย ๆ ห่างออกไป

ปึก…

มีคนคนหนึ่งตบไหล่ของเขา

“สองสามีภรรยาคู่นี้จะหวานกันเกินไปแล้วหรือไม่?” นักการเกายิ้มกริ่ม

ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “ทำให้พี่เกาต้องขบขันแล้ว”

“ไม่หรอก ตอนนี้ชายที่รู้จักรักถนอมภรรยาของตนมีไม่มากแล้ว ข้ามีน้องสาวหนึ่งคน ตอนนี้นางกำลังพูดคุยเรื่องแต่งงาน ข้าหวังแค่นางจะได้พบบุรุษที่รักใคร่เอาใจใส่นาง” นักการเกาทอดถอนใจ

“จะต้องพบแน่นอน”

“จริงสิ…” นักการเกามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอียงเข้ามาใกล้ ๆ ชายหนุ่ม “เมื่อคืนนี้ มีคนปีนเข้าไปในห้องตำราของใต้เท้า ตอนนี้ใต้เท้ากำลังโมโหยกใหญ่เชียวล่ะ ท่านต้องระวังตัวล่ะ”

“ขอบคุณพี่เกา” ลู่อี้กล่าวขอบคุณจากใจ “มิตรภาพที่ท่านให้ จะสลักลึกลงในใจข้าอย่างแน่นอน”

นักการเกาตบไหล่ของลู่อี้ “พวกเราเหล่าพี่น้องไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน”

ลู่อี้เข้ามาในห้องของนายอำเภอฉินก็เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตรงข้ามกันนั้นมีเจ้าหน้าที่ทางการหลายคนนั่งคุกเข่าอยู่

“ใต้เท้า” ลู่อี้คำนับ

เมื่อนายอำเภอฉินเห็นว่าเป็นใครก็เอ่ยว่า “เจ้ามาพอดี เมื่อคืนนี้มีโจรลอบย่องเข้ามาในห้องตำรา ถุงสุรากับกระสอบข้าว*[1] เหล่านี้กลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย”

“ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดหายไปหรือไม่ขอรับ?” ลู่อี้เอ่ยถาม

นายอำเภอเอ่ยกับเจ้าหน้าที่ทางการที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ทุกคนไปรับโทษ โบยคนละยี่สิบไม้”

“ขอรับ” เจ้าหน้าที่ทางการจึงออกไป

ลู่อี้ปิดประตู มองนายอำเภอฉินด้วยความกังวล “ใต้เท้า คงไม่ใช่…”

นายอำเภอฉินจิตใจร้อนรนกระสับกระส่าย “ตราประทับทางการหายไป”

“ตราประทับทางการหายไปแล้ว หากเป็นสถานเบาก็เท่ากับโยนหมวกวูซา*[2] ทิ้งไป แต่หากเป็นสถานหนัก…” ลู่อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หัวขโมยผู้นั้นขโมยตราประทับทางการไปทำอะไร? ตราประทับทางการก็ไม่ได้สำคัญอะไร ถือไว้ก็แค่นั้น นอกเสียจาก…”

“มีคนคิดจะทำร้ายข้า” นายอำเภอฉินตบโต๊ะดังโครม “อุบายเช่นนี้ ช่างน่ารังเกียจ ไร้ยางอายจริง ๆ”

“ใต้เท้า ไม่รู้ว่าจะมีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่” ลู่อี้มองไปรอบ ๆ “เอกสารราชการมากมายต้องใช้ตราประทับทางการ หากไม่มีตราประทับ เมืองฮู่เป่ยแห่งนี้เกรงว่าจะสูญเสียการควบคุม เราจะต้องหามันกลับมาโดยเร็ว”

“นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามา ลู่อี้ เจ้าหลักแหลมมาโดยตลอด ตอนนี้ข้าได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว สิบวัน ข้ายื้อได้มากสุดสิบวัน เจ้าจะต้องช่วยข้าหาตราประทับให้เจอ”

มู่ซืออวี่ซื้อของใช้ที่จำเป็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นึกถึงร้านของเจิ้งซูอวี้ขึ้นมา นางจึงบังคับรถม้าไปที่นั่น

เพียงแค่เลี้ยวโค้งมาเท่านั้น จู่ ๆ ก็มีคนออกมาจากตรอกข้าง ๆ

“หลบไป! หลบไป!” มู่ซืออวี่เห็นเช่นนี้ก็ตะโกนดังลั่น

สตรีผู้นั้นมองมาทางนางด้วยสายตาว่างเปล่า

ตุบ!

ร่างของสตรีผู้นั้นเซถลา ก่อนจะล้มลงไปข้างหลัง

มู่ซืออวี่รั้งสายบังเหียนม้าไว้ได้ทันเวลา หลังจากหยุดรถม้าได้แล้วก็รีบร้อนเข้าไปตรวจดู “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

คนผู้นั้นคลำไปรอบ ๆ “ไม้เท้าของข้า…”

ในตอนนั้นเองที่มู่ซืออวี่สังเกตเห็นว่าสายตาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ

ที่แท้ก็ตาบอดนี่เอง

“อยู่นี่” มู่ซืออวี่ยัดไม้เท้าใส่มือของอีกฝ่าย

ในตอนนั้นเองที่อารมณ์ของหญิงตาบอดค่อย ๆ สงบลง ราวกับได้รับสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้คืนมา

“ขอบคุณ” หญิงสาวแปลกหน้าเอ่ยเบา ๆ “ข้าไม่เป็นไร ข้าขอโทษ ดูเหมือนข้าจะทำให้ท่านตกใจแล้ว”

มู่ซืออวี่ช่วยพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “คนที่ควรขอโทษควรเป็นข้า ข้าควรจะสังเกตเห็นท่าน บ้านท่านอยู่ที่ใดหรือ? ข้าจะไปส่งท่าน”

“ไม่จำเป็นล่ะ” อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเกรงใจ “บ้านข้าอยู่ไม่ไกล ไม่กล้ารบกวนท่านหรอก”

มู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายค่อย ๆ เดินจากไป นางลังเลใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะบังคับรถม้าค่อย ๆ ตามหลังไปห่าง ๆ

ถึงแม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่เห็นแม่นางน้อยผู้นั้นเดินไปตามลำพังอย่างยากลำบากเช่นนี้ นางก็อยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับไปอย่างปลอดภัย

“ถึงบ้านข้าแล้ว ขอบคุณพี่สาวที่มาส่ง” หญิงสาวหยุดเดิน จากนั้นก็ส่งยิ้มไร้เดียงสามาทางมู่ซืออวี่

รอยยิ้มเช่นนั้นช่างสดใสเปล่งประกาย ปัดเป่าม่านเมฆที่มืดครึ้มให้ลอยออกไปในบัดดล

“ไม่เป็นไร” มู่ซืออวี่ยิ้ม

‘ยวลกลิ่นอิสตรี’ เป็นชื่อร้านใหม่ของเจิ้งซูอวี้

พอมู่ซืออวี่หยุดรถม้า ชายคนหนึ่งก็ตรงดิ่งเข้ามา ช่วยรับสายบังเหียนไปจากนางทันที

“ท่านลูกค้า ร้านของพวกเราอยู่ตรงข้าม ให้ข้านำท่านไปเถอะ”

“ไม่ต้องล่ะ ข้าไปเอง” มู่ซืออวี่กล่าว

“ได้เลยขอรับ เช่นนั้นผู้น้อยจะอยู่ตรงนี้เพื่อคอยเฝ้ารถม้าของท่าน เชิญท่านลูกค้าตามสบาย” เด็กรับใช้นำป้ายไม้ออกมาส่งให้มู่ซืออวี่ “นี่เป็นหมายเลขรถม้าของท่าน รอให้ท่านลูกค้ามารับกลับไป ไม่จำต้องเป็นกังวลว่าม้าจะหิว พวกเราจะรับผิดชอบให้น้ำให้หญ้าม้าของลูกค้าเองขอรับ”

“ขอบคุณนะ”

มู่ซืออวี่เดินถือป้ายไม้เข้าไปในร้าน

“ลูกค้า ต้องการซื้อสิ่งใดหรือ?” หญิงเฝ้าร้านเข้ามาทักทายนาง

“ข้ามาหาเจ้านายของพวกท่าน คุณหนูเจิ้งซูอวี้น่ะ” มู่ซืออวี่กล่าว “นางอยู่หรือไม่? หากนางอยู่ที่นี่ รบกวนท่านไปบอกว่า ฮูหยินลู่อยากพบ”

“ที่แท้ท่านก็คือฮูหยินลู่หรอกหรือ เจ้านายของเราบอกว่า หากฮูหยินลู่มาแล้วให้ขึ้นไปหานางได้เลย” หญิงเฝ้าร้านเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ข้าจะพาท่านไป”

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าอยากเยี่ยมชมร้านของนางอยู่พอดี”

หญิงเฝ้าร้านผู้นั้นจึงไปเชิญเจิ้งซูอวี้มา

มู่ซืออวี่เดินดูไปรอบ ๆ ร้าน

เสื้อผ้าเหล่านั้นงดงามน่ามองมาก แต่ราคานั้น…

ถือว่าน่าเดินชมแทน

ถึงแม้จะหาเงินมาได้ไม่น้อย แต่ก็ยังห่างไกลที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย

“เหตุใดจึงได้สะเพร่าเช่นนี้?” เสียงแหลมปรี๊ดของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น

เดิมทีที่นี่ก็มีลูกค้าอยู่หลายคน ทุกคนจึงหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน

หญิงสาวคนนั้นตำหนิชายหนุ่มในชุดขาวที่ดูคุ้นเคยอย่างไรชอบกล

อันอี้หางเอ่ยเบา ๆ ว่า “แม่นางได้โปรดระมัดระวัง ข้าเพียงแค่เดินผ่านตรงนี้ ไม่ได้ทำสิ่งใดสะเพร่าแม้แต่น้อย”

“ตรงนี้เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าเดินผ่านมาทางนี้ ยังจะบอกอีกหรือว่าไม่ได้สะเพร่า?” หญิงสาวคนนั้นแย้งกลับ “ยังมีอีก ที่นี่เป็นร้านเสื้อผ้าสตรี ถึงแม้จะมีบุรุษเข้ามา นั่นก็ต้องเป็นเพราะมากับสตรี เจ้าล่ะ เจ้ามาคนเดียวสินะ บุรุษเพียงคนเดียวจะเข้ามาทำอะไร? ยังจะบอกว่าไม่ใช่พวกฉวยโอกาสอีกหรือ?”

“ข้ามาเลือกเสื้อผ้าให้น้องสาวข้าสักชุด” สีหน้าของอันอี้หางเริ่มไม่น่ามอง

“มีเรื่องอะไร?” เจิ้งซูอวี้เดินลงมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ? คุณหนูเจี่ยง เหตุใดจึงโกรธเพียงนี้? มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือไม่?”

“ท่านมาพอดี” หญิงสาวคนนั้นคว้าตัวเจิ้งซูอวี้ไว้ แล้วสาธยายถึงความไม่พอใจของตัวเอง

เจิ้งซูอวี้ฟังแล้วก็เข้าใจ จึงเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ข้าเข้าใจสิ่งที่คุณหนูเจี่ยงเป็นกังวล แต่ท่านวางใจได้ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเรามีความเป็นส่วนตัวแน่นอน ท่านดูประตูนี่สิ รัดกุมมากไม่ใช่หรือ? ถึงแม้จะมีคนมองเข้าไปในตอนที่ท่านเปิดประตูออกมา ก็จะเห็นแค่เพียงรูปลักษณ์อันงดงามของคุณหนูเจี่ยงในชุดใหม่ ข้าคิดว่าคุณชายท่านนี้คงชื่นชมความงดงามของคุณหนูเจี่ยง จึงได้มองดูเสียหลาย ๆ รอบ”

คุณหนูเจี่ยงเขินอายขึ้นมา เมื่อนางมองอันอี้หางอีกครั้ง นางก็เพิ่งตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา ความไม่พอใจจึงเลือนหายไปในทันที

“ข้าเพียงแค่ผ่านมา ไม่ได้แอบมองดูนาง” อันอี้หางกลับไม่ชื่นชม “หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าคงไปได้แล้วกระมัง”

คุณหนูเจี่ยงมีสีหน้าไม่น่ามองทันที นางจ้องมองอันอี้หางอย่างโกรธเกรี้ยว

เจิ้งซูอวี้เอ่ยบางสิ่งกับคุณหนูเจี่ยงอีกครั้ง สีหน้าของอีกฝ่ายจึงดีขึ้น ไม่นานก็พูดคุยกับเจิ้งซูอวี้อย่างถูกปากถูกคอ

อันอี้หางมองดูเสื้อผ้าทั้งหมด จากนั้นก็ดูราคา ความผิดหวังแวบผ่านแววตาของเขา

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้ว มู่ซืออวี่จึงเดินเข้ามาถาม “คุณชาย ท่านอยากซื้อแบบไหนหรือ?”

[1] ถุงสุรากับกระสอบข้าว หมายถึงคนไร้ประโยชน์เอาแต่กิน ไม่ทำสิ่งใด

[2] หมวกวูซา หรือ หมวกแพรสีนิล เป็นหมวดยอดกลมที่ข้าราชการในสมัยโบราณสวม ทำจากผ้าแพรสีนิล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า

บทที่ 162 บัณฑิตผู้นี้ไม่ได้สะเพร่า

หลังจากเข้ามาในเมือง สองสามีภรรยาก็แยกจากกัน

ลู่อี้มองมู่ซืออวี่บังคับรถม้าค่อย ๆ ห่างออกไป

ปึก…

มีคนคนหนึ่งตบไหล่ของเขา

“สองสามีภรรยาคู่นี้จะหวานกันเกินไปแล้วหรือไม่?” นักการเกายิ้มกริ่ม

ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “ทำให้พี่เกาต้องขบขันแล้ว”

“ไม่หรอก ตอนนี้ชายที่รู้จักรักถนอมภรรยาของตนมีไม่มากแล้ว ข้ามีน้องสาวหนึ่งคน ตอนนี้นางกำลังพูดคุยเรื่องแต่งงาน ข้าหวังแค่นางจะได้พบบุรุษที่รักใคร่เอาใจใส่นาง” นักการเกาทอดถอนใจ

“จะต้องพบแน่นอน”

“จริงสิ…” นักการเกามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอียงเข้ามาใกล้ ๆ ชายหนุ่ม “เมื่อคืนนี้ มีคนปีนเข้าไปในห้องตำราของใต้เท้า ตอนนี้ใต้เท้ากำลังโมโหยกใหญ่เชียวล่ะ ท่านต้องระวังตัวล่ะ”

“ขอบคุณพี่เกา” ลู่อี้กล่าวขอบคุณจากใจ “มิตรภาพที่ท่านให้ จะสลักลึกลงในใจข้าอย่างแน่นอน”

นักการเกาตบไหล่ของลู่อี้ “พวกเราเหล่าพี่น้องไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน”

ลู่อี้เข้ามาในห้องของนายอำเภอฉินก็เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตรงข้ามกันนั้นมีเจ้าหน้าที่ทางการหลายคนนั่งคุกเข่าอยู่

“ใต้เท้า” ลู่อี้คำนับ

เมื่อนายอำเภอฉินเห็นว่าเป็นใครก็เอ่ยว่า “เจ้ามาพอดี เมื่อคืนนี้มีโจรลอบย่องเข้ามาในห้องตำรา ถุงสุรากับกระสอบข้าว*[1] เหล่านี้กลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย”

“ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดหายไปหรือไม่ขอรับ?” ลู่อี้เอ่ยถาม

นายอำเภอเอ่ยกับเจ้าหน้าที่ทางการที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ทุกคนไปรับโทษ โบยคนละยี่สิบไม้”

“ขอรับ” เจ้าหน้าที่ทางการจึงออกไป

ลู่อี้ปิดประตู มองนายอำเภอฉินด้วยความกังวล “ใต้เท้า คงไม่ใช่…”

นายอำเภอฉินจิตใจร้อนรนกระสับกระส่าย “ตราประทับทางการหายไป”

“ตราประทับทางการหายไปแล้ว หากเป็นสถานเบาก็เท่ากับโยนหมวกวูซา*[2] ทิ้งไป แต่หากเป็นสถานหนัก…” ลู่อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หัวขโมยผู้นั้นขโมยตราประทับทางการไปทำอะไร? ตราประทับทางการก็ไม่ได้สำคัญอะไร ถือไว้ก็แค่นั้น นอกเสียจาก…”

“มีคนคิดจะทำร้ายข้า” นายอำเภอฉินตบโต๊ะดังโครม “อุบายเช่นนี้ ช่างน่ารังเกียจ ไร้ยางอายจริง ๆ”

“ใต้เท้า ไม่รู้ว่าจะมีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่” ลู่อี้มองไปรอบ ๆ “เอกสารราชการมากมายต้องใช้ตราประทับทางการ หากไม่มีตราประทับ เมืองฮู่เป่ยแห่งนี้เกรงว่าจะสูญเสียการควบคุม เราจะต้องหามันกลับมาโดยเร็ว”

“นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามา ลู่อี้ เจ้าหลักแหลมมาโดยตลอด ตอนนี้ข้าได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว สิบวัน ข้ายื้อได้มากสุดสิบวัน เจ้าจะต้องช่วยข้าหาตราประทับให้เจอ”

มู่ซืออวี่ซื้อของใช้ที่จำเป็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นึกถึงร้านของเจิ้งซูอวี้ขึ้นมา นางจึงบังคับรถม้าไปที่นั่น

เพียงแค่เลี้ยวโค้งมาเท่านั้น จู่ ๆ ก็มีคนออกมาจากตรอกข้าง ๆ

“หลบไป! หลบไป!” มู่ซืออวี่เห็นเช่นนี้ก็ตะโกนดังลั่น

สตรีผู้นั้นมองมาทางนางด้วยสายตาว่างเปล่า

ตุบ!

ร่างของสตรีผู้นั้นเซถลา ก่อนจะล้มลงไปข้างหลัง

มู่ซืออวี่รั้งสายบังเหียนม้าไว้ได้ทันเวลา หลังจากหยุดรถม้าได้แล้วก็รีบร้อนเข้าไปตรวจดู “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

คนผู้นั้นคลำไปรอบ ๆ “ไม้เท้าของข้า…”

ในตอนนั้นเองที่มู่ซืออวี่สังเกตเห็นว่าสายตาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ

ที่แท้ก็ตาบอดนี่เอง

“อยู่นี่” มู่ซืออวี่ยัดไม้เท้าใส่มือของอีกฝ่าย

ในตอนนั้นเองที่อารมณ์ของหญิงตาบอดค่อย ๆ สงบลง ราวกับได้รับสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้คืนมา

“ขอบคุณ” หญิงสาวแปลกหน้าเอ่ยเบา ๆ “ข้าไม่เป็นไร ข้าขอโทษ ดูเหมือนข้าจะทำให้ท่านตกใจแล้ว”

มู่ซืออวี่ช่วยพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “คนที่ควรขอโทษควรเป็นข้า ข้าควรจะสังเกตเห็นท่าน บ้านท่านอยู่ที่ใดหรือ? ข้าจะไปส่งท่าน”

“ไม่จำเป็นล่ะ” อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเกรงใจ “บ้านข้าอยู่ไม่ไกล ไม่กล้ารบกวนท่านหรอก”

มู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายค่อย ๆ เดินจากไป นางลังเลใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะบังคับรถม้าค่อย ๆ ตามหลังไปห่าง ๆ

ถึงแม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่เห็นแม่นางน้อยผู้นั้นเดินไปตามลำพังอย่างยากลำบากเช่นนี้ นางก็อยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับไปอย่างปลอดภัย

“ถึงบ้านข้าแล้ว ขอบคุณพี่สาวที่มาส่ง” หญิงสาวหยุดเดิน จากนั้นก็ส่งยิ้มไร้เดียงสามาทางมู่ซืออวี่

รอยยิ้มเช่นนั้นช่างสดใสเปล่งประกาย ปัดเป่าม่านเมฆที่มืดครึ้มให้ลอยออกไปในบัดดล

“ไม่เป็นไร” มู่ซืออวี่ยิ้ม

‘ยวลกลิ่นอิสตรี’ เป็นชื่อร้านใหม่ของเจิ้งซูอวี้

พอมู่ซืออวี่หยุดรถม้า ชายคนหนึ่งก็ตรงดิ่งเข้ามา ช่วยรับสายบังเหียนไปจากนางทันที

“ท่านลูกค้า ร้านของพวกเราอยู่ตรงข้าม ให้ข้านำท่านไปเถอะ”

“ไม่ต้องล่ะ ข้าไปเอง” มู่ซืออวี่กล่าว

“ได้เลยขอรับ เช่นนั้นผู้น้อยจะอยู่ตรงนี้เพื่อคอยเฝ้ารถม้าของท่าน เชิญท่านลูกค้าตามสบาย” เด็กรับใช้นำป้ายไม้ออกมาส่งให้มู่ซืออวี่ “นี่เป็นหมายเลขรถม้าของท่าน รอให้ท่านลูกค้ามารับกลับไป ไม่จำต้องเป็นกังวลว่าม้าจะหิว พวกเราจะรับผิดชอบให้น้ำให้หญ้าม้าของลูกค้าเองขอรับ”

“ขอบคุณนะ”

มู่ซืออวี่เดินถือป้ายไม้เข้าไปในร้าน

“ลูกค้า ต้องการซื้อสิ่งใดหรือ?” หญิงเฝ้าร้านเข้ามาทักทายนาง

“ข้ามาหาเจ้านายของพวกท่าน คุณหนูเจิ้งซูอวี้น่ะ” มู่ซืออวี่กล่าว “นางอยู่หรือไม่? หากนางอยู่ที่นี่ รบกวนท่านไปบอกว่า ฮูหยินลู่อยากพบ”

“ที่แท้ท่านก็คือฮูหยินลู่หรอกหรือ เจ้านายของเราบอกว่า หากฮูหยินลู่มาแล้วให้ขึ้นไปหานางได้เลย” หญิงเฝ้าร้านเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ข้าจะพาท่านไป”

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าอยากเยี่ยมชมร้านของนางอยู่พอดี”

หญิงเฝ้าร้านผู้นั้นจึงไปเชิญเจิ้งซูอวี้มา

มู่ซืออวี่เดินดูไปรอบ ๆ ร้าน

เสื้อผ้าเหล่านั้นงดงามน่ามองมาก แต่ราคานั้น…

ถือว่าน่าเดินชมแทน

ถึงแม้จะหาเงินมาได้ไม่น้อย แต่ก็ยังห่างไกลที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย

“เหตุใดจึงได้สะเพร่าเช่นนี้?” เสียงแหลมปรี๊ดของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น

เดิมทีที่นี่ก็มีลูกค้าอยู่หลายคน ทุกคนจึงหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน

หญิงสาวคนนั้นตำหนิชายหนุ่มในชุดขาวที่ดูคุ้นเคยอย่างไรชอบกล

อันอี้หางเอ่ยเบา ๆ ว่า “แม่นางได้โปรดระมัดระวัง ข้าเพียงแค่เดินผ่านตรงนี้ ไม่ได้ทำสิ่งใดสะเพร่าแม้แต่น้อย”

“ตรงนี้เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าเดินผ่านมาทางนี้ ยังจะบอกอีกหรือว่าไม่ได้สะเพร่า?” หญิงสาวคนนั้นแย้งกลับ “ยังมีอีก ที่นี่เป็นร้านเสื้อผ้าสตรี ถึงแม้จะมีบุรุษเข้ามา นั่นก็ต้องเป็นเพราะมากับสตรี เจ้าล่ะ เจ้ามาคนเดียวสินะ บุรุษเพียงคนเดียวจะเข้ามาทำอะไร? ยังจะบอกว่าไม่ใช่พวกฉวยโอกาสอีกหรือ?”

“ข้ามาเลือกเสื้อผ้าให้น้องสาวข้าสักชุด” สีหน้าของอันอี้หางเริ่มไม่น่ามอง

“มีเรื่องอะไร?” เจิ้งซูอวี้เดินลงมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ? คุณหนูเจี่ยง เหตุใดจึงโกรธเพียงนี้? มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือไม่?”

“ท่านมาพอดี” หญิงสาวคนนั้นคว้าตัวเจิ้งซูอวี้ไว้ แล้วสาธยายถึงความไม่พอใจของตัวเอง

เจิ้งซูอวี้ฟังแล้วก็เข้าใจ จึงเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ข้าเข้าใจสิ่งที่คุณหนูเจี่ยงเป็นกังวล แต่ท่านวางใจได้ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเรามีความเป็นส่วนตัวแน่นอน ท่านดูประตูนี่สิ รัดกุมมากไม่ใช่หรือ? ถึงแม้จะมีคนมองเข้าไปในตอนที่ท่านเปิดประตูออกมา ก็จะเห็นแค่เพียงรูปลักษณ์อันงดงามของคุณหนูเจี่ยงในชุดใหม่ ข้าคิดว่าคุณชายท่านนี้คงชื่นชมความงดงามของคุณหนูเจี่ยง จึงได้มองดูเสียหลาย ๆ รอบ”

คุณหนูเจี่ยงเขินอายขึ้นมา เมื่อนางมองอันอี้หางอีกครั้ง นางก็เพิ่งตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา ความไม่พอใจจึงเลือนหายไปในทันที

“ข้าเพียงแค่ผ่านมา ไม่ได้แอบมองดูนาง” อันอี้หางกลับไม่ชื่นชม “หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าคงไปได้แล้วกระมัง”

คุณหนูเจี่ยงมีสีหน้าไม่น่ามองทันที นางจ้องมองอันอี้หางอย่างโกรธเกรี้ยว

เจิ้งซูอวี้เอ่ยบางสิ่งกับคุณหนูเจี่ยงอีกครั้ง สีหน้าของอีกฝ่ายจึงดีขึ้น ไม่นานก็พูดคุยกับเจิ้งซูอวี้อย่างถูกปากถูกคอ

อันอี้หางมองดูเสื้อผ้าทั้งหมด จากนั้นก็ดูราคา ความผิดหวังแวบผ่านแววตาของเขา

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้ว มู่ซืออวี่จึงเดินเข้ามาถาม “คุณชาย ท่านอยากซื้อแบบไหนหรือ?”

[1] ถุงสุรากับกระสอบข้าว หมายถึงคนไร้ประโยชน์เอาแต่กิน ไม่ทำสิ่งใด

[2] หมวกวูซา หรือ หมวกแพรสีนิล เป็นหมวดยอดกลมที่ข้าราชการในสมัยโบราณสวม ทำจากผ้าแพรสีนิล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+