สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 546 ร้องขอความเมตตา

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 546 ร้องขอความเมตตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 546 ร้องขอความเมตตา

บทที่ 546 ร้องขอความเมตตา

ลู่จื่ออวิ๋นขึ้นรถม้า แล้วเอ่ยกับคนขับ “รบกวนเร่งหน่อยเถิด”

“ได้เลยขอรับ คุณหนูนั่งให้ดี ๆ นะขอรับ” คนขับรถม้าเก็บที่เหยียบขึ้นไปตรงที่ว่างด้านหน้า สะบัดแส้แล้วร้องตะโกน “ไป!”

ลู่จื่ออวิ๋นเกาะขอบหน้าต่างรถม้า ปล่อยให้รถม้าโยกไหวโอนเอนไปมา นางจับขอบนั้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ ไม่นานนักรถม้าก็มาถึงหอซือเป่าอย่างราบรื่น

เมื่อนางเห็นประตูหน้าหอซือเป่า หินหนักอึ้งภายในใจก็ถูกยกออกไปแล้ว คนทั้งคนพลันรู้สึกผ่อนคลาย

เมื่อครู่นี้นางกังวลว่าเจ้าคนเสเพลผู้นั้นจะยังไม่ไป หากเขาทำอะไรนอกจวนอู่อันโหวขึ้นมาจริง ๆ นางไม่แน่ใจว่าตนเองจะรับมือได้

ทว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นระหว่างทาง บางทีนางอาจคิดมากไป กับเจ้าคนเสเพลเช่นนั้น นางคงเป็นเพียงของเล่น ไม่นานอีกฝ่ายก็คงลืมเลือนไปแล้ว

ในตรอกแห่งหนึ่ง ชายหลายคนหน้าตาฟกช้ำดำเขียวนอนระเนระนาดอยู่บนพื้น เบื้องหน้าพวกเขามีบุรุษร่างกายใหญ่โตเรียงราย คนเหล่านี้ล้วนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้

หนึ่งในนั้นถีบเข้าที่หร่วนซือเต๋อผู้เป็นหัวหน้า เมื่อเห็นว่าไร้ซึ่งการตอบสนอง จึงเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”

หลังออกมาจากตรอกแห่งนั้นแล้ว ชายผู้นั้นก็เดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลนักและรายงานกับคนในนั้น “นายท่าน เรียบร้อยขอรับ”

“ยังมีอีกเรื่อง” ม่านไม่ได้ถูกเปิดออก ทว่าคนข้างในไม่ได้จงใจดัดเสียงตนเอง “โยนคนพวกนั้นลงไปในนาเกลือและให้พวกมันกินสิ่งนี้…”

ยาห่อหนึ่งถูกโยนออกมาจากรถม้า

ชายคนนั้นเก็บห่อยาขึ้นมา เอ่ยกับคนในรถม้าอีกครั้ง “มีคนผู้หนึ่งดูเหมือนจะจัดการได้ยาก หากมีใครรู้เข้า หัวของพวกผู้น้อยคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้”

“ห้าพันตำลึงเงิน”

“ผู้น้อยเต็มใจทำเป็นอย่างยิ่งขอรับ”

หากมีเงินนี้แล้ว เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จพวกเขาก็สามารถไปจากเมืองหลวงได้ทันที ไปอยู่ที่อื่น ใช้ชีวิตทำมาหากินแบบอื่น ไม่จำเป็นต้องทำงานที่ต้องเสียเลือดให้คมดาบทุกวันเช่นนี้

ชายแข็งแรงกำยำผู้นั้นพาผู้ติดตามของเขาออกไปแล้ว

ภายใต้พระบาทโอรสสวรรค์ คุณชายเจ้าสำราญชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่งหายตัวไป โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแม้แต่น้อย

“เจ้านาย ท่านลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก” ผู้ติดตามควบม้าเข้ามา “คุณชายหร่วนเพียงแค่คิดจะทำร้ายแม่นางลู่ อันที่จริงท่านเพียงแค่หาคนมาทุบตีเขาก็เพียงพอแล้ว แต่บัดนี้ท่านกลับจะส่งเขาไปยังสถานที่เช่นนั้น อีกทั้งยังทำร้ายเขาจนเจ็บหนัก หากภายหน้าพวกเราถูกจับได้ เช่นนั้นจะไม่เท่ากับการกินไม่ได้ เดินไปเดินมา*[1] หรือ?”

“หร่วนซือเต๋อทำเรื่องราวผิดมนุษยธรรมมาไม่น้อย สกุลหร่วนเองก็ไม่พอใจท่านพ่อของข้ามาโดยตลอด ข้าไม่อาจปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายได้”

“ขอรับ ท่านซื่อจื่อทำทุกอย่างไปตามสถานการณ์โดยรวม ข้าน้อยเข้าใจ”

ณ หอซือเป่า ลู่จื่ออวิ๋นไปหาผู้ดูแลเมิ่งเป็นอันดับแรก เล่าเรื่องที่นางไปอธิบายให้ฮูหยินอู่อันโหวฟัง

“จริงหรือ?” ผู้ดูแลเมิ่งประหลาดใจ “ฮูหยินอู่อันโหวยินยอมรับปากแล้วหรือ?”

“รับปากแล้วเจ้าค่ะ”

“ลู่จื่ออวิ๋น เจ้าสร้างคุณงามความชอบครั้งใหญ่แล้ว” ผู้ดูแลเมิ่งเอ่ย “ข้าจะไปบอกท่านเจ้าหอเดี๋ยวนี้”

เมื่อออกมาจากห้องผู้ดูแลเมิ่งแล้ว นางก็เห็นเงาร่างหนึ่งแวบผ่านไป

ลู่จื่ออวิ๋นมองชายเสื้อผ้าที่โผล่ออกมาบริเวณมุมหนึ่ง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปอีกทาง

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ได้ยินว่ามีขนดึงขนจิ้งจอกหลุดออกจากกระโปรงฮูหยินอู่อันโหวหรือ เจ้าพบวิธีแก้แล้วหรือยัง?” หยางเจิงเอ่ยถาม

“ยังไม่พบ ข้าเพียงแค่รอให้คนผู้นั้นแก้ปัญหาด้วยตนเอง” ลู่จื่อออวิ๋นเอ่ย “นางต้องรับผิดชอบผลจากการกระทำของนาง”

“จื่ออวิ๋น” สวีมู่เวยเข้ามาหาพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีมีลับลมคมใน “เจ้ารู้หรือไม่? มือของอวี๋เสี่ยวหลานทั้งแดงทั้งบวม นางกล่าวว่าถูกงูกัดจึงถูกพิษเข้า เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไป?”

“หรือว่าเมื่อวานที่เจ้ากล่าวจะเป็นความจริง เสื้อผ้าชุดนั้นมียาพิษหรือ?” อู๋ชุนหลานเอ่ยถามออกมา

“แน่นอนว่าเป็นความจริง เพียงแต่จะบวมแดงในระยะแรกเท่านั้น ไม่นานก็จะเน่าเปื่อย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทันทีที่มันเริ่มเน่าเปื่อย จะต้องระวังให้ดี เพราะหากพิษเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่นานก็จะถูกพิษเล่นงานถึงตาย”

สีหน้าของถังซานซานแปรเปลี่ยนฉับพลัน นางรีบไปหาอวี๋เสี่ยวหลานแล้วบอกข่าวคราวนี้ให้อีกฝ่ายฟังทันที

“จะทำอย่างไรดี?” อวี๋เสี่ยวหลานหลบอยู่ในมุมหนึ่งไม่กล้าออกมา นางแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อเมื่อได้ยินสิ่งที่ถังซานซานเอ่ย

“ข้ามีวิธีหนึ่ง” ถังซานซานกล่าว “เราค่อยไปค้นตู้ของลู่จื่ออวิ๋นทีหลัง ดูว่ามียาอันใดหรือไม่ หากนางใส่ยาไว้ในตู้ เช่นนั้นเจ้าก็โชคดี แต่หากไม่ก็มีเพียงวิธีเดียวคือไปขอยากับนางด้วยตนเอง เพียงแค่แสร้งทำตัวให้น่าสงสาร ร้องไห้ให้ดูน่าเวทนาสักหน่อย นางยังเด็ก อย่างไรก็จะต้องใจอ่อนแน่นอน”

“คงมีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว” อวี๋เสี่ยวหลานเอ่ย “พี่หญิงฟางเหยาเล่า? ปกตินางกระตือรือร้นที่สุด เจ้าให้นางมาช่วยข้าเถอะ!”

“พี่หญิงฟางเหยามาที่นี่ตั้งแต่เช้า บอกว่าวันนี้นางต้องออกไปทำงานข้างนอก พรุ่งนี้จึงจะกลับมา”

“ยามวิกฤตเช่นนี้นางกลับไม่อยู่”

ยามบ่าย ทุกคนในหอซือเป่าไปพักทานอาหาร ทั่วทั้งห้องปักผ้าว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่มีใครอยู่

ร่างลับ ๆ ล่อ ๆ ร่างหนึ่งโผล่มาจากหลังประตู หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ ก็รีบร้อนไปยังที่เก็บของของลู่จื่ออวิ๋น เปิดลิ้นชักออกแล้วค้นหาไปทั่ว

“เจ้าหาอันใดหรือ?” เสียงหวานใสดังขึ้น “ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”

อวี๋เสี่ยวหลานเงยหน้าขึ้นตัวแข็งทื่อ มองรอยยิ้มของแม่นางน้อยตรงหน้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“ข้า… ข้า…”

“เจ้าหากรรไกรหรือว่าด้าย?”

“ใช่! ข้ากำลังหาด้าย” อวี๋เสี่ยวหลานเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

“ทั้งหมดนี้ให้เจ้า” ลู่จื่ออวิ๋นยัดตะกร้าใส่แขนอวี๋เสี่ยวหลาน “หากไม่พอ เจ้าไปขอที่ห้องด้ายเถิด”

อวี๋เสี่ยวหลานถือตะกร้านั้น ขอแค่เพียงนางจากไป ครั้งนี้ก็จะเหมือนทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น ลู่จื่ออวิ๋นจะไม่รู้ว่าผู้ที่ทำลายชุดของฮูหยินอู่อันโหวเป็นนาง

อย่างไรก็ตาม แขนที่บาดเจ็บของนางบอกว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะสารภาพ หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว นางอาจจะตายจริง ๆ ก็เป็นได้

ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป อวี๋เสี่ยวหลานวางอาหารกลางวันในมือลง ดึงลู่จื่ออวิ๋นมาใกล้ ๆ “ลู่จื่ออวิ๋น ข้าเป็นคนดึงขนจิ้งจอกเหล่านั้นเอง ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!”

“เจ้าทำหรือ?”

“ข้าทำเอง”

“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนั่น?”

“ข้า… ข้าโกรธมาก ข้ารู้สึกว่าเจ้าแย่งชิงโอกาสของทุกคนไป ท่านเจ้าหอชื่นชมแต่เจ้า แม้แต่ที่ของผู้ดูแลเมิ่งเจ้าก็เอาไป” อวี๋เสี่ยวหลานเอ่ย “ข้ารู้ว่าข้าผิด ให้อภัยข้าเถอะนะ!”

สิ่งสำคัญที่สุดคือลู่จื่ออวิ๋นมาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ หน้าตาก็งดงาม ทั้งยังมีพรสวรรค์ หญิงคนไหนจะไม่อิจฉาคนที่เพียบพร้อมเช่นนี้? อวี๋เสี่ยวหลานเพียงแค่… ริษยามากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น

“เป็นเจ้าจริง ๆ”

หยางเจิงเดินออกมาจากด้านหลังประตู

จากนั้นหญิงเย็บปักคนแล้วคนเล่าก็เดินออกมาจากหลังประตูเช่นกัน

เมื่อเห็นผู้ดูแลเมิ่งและซ่งกูกูเดินออกมาจากหลังประตูนั้น อวี๋เสี่ยวหลานก็รู้ได้ว่าตนจบสิ้นแล้ว

ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับทุก ๆ คน “บนเสื้อผ้าไม่มีพิษอันใด ข้าเพียงแต่จงใจพูดเช่นนั้น เพราะอยากให้นางกลัว”

“เป็นไปไม่ได้” อวี๋เสี่ยวหลานเอ่ย “หากไม่มีพิษจริง ๆ เหตุใดมือข้าจึงกลายเป็นเช่นนี้?”

“หลังจากข้ากลับแล้ว เจ้าล้างมือไม่ใช่หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าจงใจขอให้บ่าวรับใช้ถืออ่างน้ำเดินผ่านเจ้า เจ้าคงเรียกบ่าวรับใช้ผู้นั้นไว้แล้วล้างมือกระมัง?”

“น้ำนั่นมีปัญหาหรือ?”

“เมื่อได้ยินว่าเสื้อผ้ามีพิษ คนที่ดึงขนจิ้งจอกออกจะต้องกังวลเป็นแน่ วิธีที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือล้างมือ หลังจากล้างมือแล้วจะทำอย่างไรเล่า? เจ้ายังคงกังวลและจะต้องไปตรวจดูที่โรงหมอว่ามือเจ้าถูกพิษหรือไม่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยนิ่ง ๆ “น้ำนั่นไม่มีปัญหา แต่เมื่อเจ้าออกมาจากโรงหมอแล้วชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง…”

คนที่ชนเจ้านั่นแหละที่มีปัญหา

อันดับแรกใช้น้ำล้างมือ จากนั้นก็ไปโรงหมอ การกระทำเหล่านี้เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าผู้ใดคือคนดึงขนจิ้งจอก

ทันทีที่สร้างหลักฐานแล้วก็ถึงเวลาที่จะลงมือจับตัวคนร้าย

ส่วนลู่จื่ออวิ๋นเตรียมเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น…

ขอแค่เพียงนางเอ่ยปาก ย่อมมีคนช่วยเหลือ เหตุใดนางต้องกังวล?

[1] กินไม่ได้ เดินไปเดินมา เป็นคำอุปมาสำหรับคนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์โดยรวม ก่อปัญหาหรือผลเสียที่จะต้องยอมรับด้วยตัวเองตามมาภายหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด