สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา

บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา

ลู่อี้ยัดรูปภาพรูปหนึ่งใส่มือนักการเกา “ชายผู้นี้ทะเลาะวิวาทกับพ่อของเขาเรื่องการพนัน สุดท้ายก็ฆ่าพ่อตัวเอง ขโมยเงินแล้วหลบหนีไปเมื่อคืนนี้ คงต้องรบกวนพี่ใหญ่เกานำคนไปจับเขามารับโทษแล้ว”

นักการเการับมา สีหน้าหยอกล้อพลันจางหายไป เขาจ้องมองดวงตาที่เหมือนกับกระดิ่งทองแดงของคนตรงหน้าแล้วก่นด่าฆาตกร “ไอ้คนเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานนั่น ข้าจะจับเขากลับมาทันที”

หลังจากที่นักการเกาออกไปแล้ว ลู่อี้ก็มองไปรอบ ๆ อย่างเย็นชา คนอื่น ๆ ถูกเขามองเช่นนั้นก็รู้สึกละอาย จึงหันไปทำงานของตัวเองต่อไปอย่างจริงจัง

“เจ้าหน้าที่ลู่” จู่ปู้เดินเข้ามา “เมื่อวานนี้ท่านช่วยข้าขวางไว้ ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง? ข้ามียาแก้ฟกช้ำ ท่านถอดเสื้อผ้าออก ข้าจะทาให้ท่าน”

“ไม่จำเป็นแล้ว ท่านจู่ปู้ ภรรยาข้าทายาให้ข้าแล้วเมื่อเช้านี้” ลู่อี้ประสานมือขอบคุณ

“ภรรยาเจ้าทาให้เจ้างั้นหรือ? เช่นนั้นรอยบนหน้าเจ้า… เพราะเจ้าบาดเจ็บกลับมา ภรรยาถึงได้กัดเจ้างั้นรึ?” จู่ปู้ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ไม่ขอรับ ภรรยาข้าเพียงแค่ชอบล้อเล่น”

“ฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ คนหนุ่มคนสาวโกรธง่ายเป็นธรรมดา” จู่ปู้ขยิบตาให้ ราวกับเรื่องนี้เข้าใจตรงกันอย่างไรอย่างนั้น

“ท่านจู่ปู้ มีคดีหนึ่งที่อยากจะขอคำแนะนำ ไม่รู้ว่าจะสะดวกขยับสักก้าวไปพูดคุยสักครู่ได้หรือไม่?”

จู่ปู้เห็นคนตรงหน้าก็เจริญหูเจริญตาขึ้นร้อยเท่า ไม่ได้สนใจว่าสีหน้าเย็นเยียบนั้นจะทำให้คนกลัวหรือไม่ เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ที่ของข้าไม่มีคน ไปคุยกับข้าที่นั่นเถอะ”

เรื่องที่ลู่อี้อยากถามคือเรื่องของภัตตาคารเจียงซื่อ

จู่ปู้ได้ยินเช่นนี้แล้วสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา

“เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับภัตตาคารเจียงซื่อหรือ?”

“คนเฝ้าร้านของที่นั่นพอจะมีความสัมพันธ์อันดีกับข้าอยู่บ้าง ในตอนที่ข้าตกต่ำที่สุด สหายผู้นั้นช่วยเหลือข้าเสมอ”

“หากแค่อยากช่วยคนเฝ้าร้านคนหนึ่ง เรื่องนั้นไม่ยาก แต่ถ้าอยากช่วยคนภัตตาคารเจียงซื่อทั้งหมด เกรงว่าจะไม่ได้”

“เท่าที่ข้ารู้มา เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากของปลอมที่คนในร้านคนหนึ่งนำมา หากจะกล่าวโทษ ย่อมเป็นความผิดของคนที่นำมา คนอื่นย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์”

“หากไม่มีคนตาย คดีนี้ย่อมไม่มีการลงโทษสถานหนัก แต่ในเมื่อมีคนตายนี่ก็ยุ่งยากแล้ว หวังซานหนีไปแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นคำข้างเดียวของคนอื่น เป็นหลักฐานไม่ได้ เถ้าแก่ภัตตาคารเจียงซื่อยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ต้องได้รับโทษสถานหนักอย่างแน่นอน เถ้าแก่จัดการร้านหละหลวม ก็ต้องได้รับโทษสถานหนักเช่นกัน คนเฝ้าร้านคนอื่น ๆ ได้รับการผ่อนปรนให้ไปเข้ากองทัพได้ หากจ่ายค่าปรับก็สามารถให้คนกลับมาได้”

ลู่อี้สอบถามอีกครั้ง พยายามยกเหตุผลทุกอย่างเพื่อหาวิธีพิสูจน์ให้ทุกคนในภัตตาคารเจียงซื่อพ้นโทษ แต่ด้วยกฎหมายเวลานี้ หากเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนตาย ย่อมต้องได้การตัดสินโทษสถานหนัก

ขณะที่ลู่อี้พยายามหาหนทางเพื่อช่วยทุกคนในภัตตาคารเจียงซื่อ มู่ซืออวี่ก็พบถังเหยียนจื้อที่มาโดยไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง

“น้องซืออวี่…” เขาผลักประตูเอาไว้ไม่ให้มู่ซืออวี่ปิดได้ น้ำลายไหลราวกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

“ใครเป็นน้องของเจ้า? น้องของเจ้าทำงานเป็นสาวรับใช้อยู่ที่จวนหลี่ อย่าได้เข้าใจผิด” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างเย็นชา “หากยังไม่ไปอีก อย่าได้ตำหนิที่ข้าไม่เกรงใจ”

“น้องซืออวี่ ฟังข้าสักคำ ภัตตาคารเจียงซื่อถูกปิดแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่มีคู่ค้าอีกแล้ว เหตุใดไม่ร่วมมือกับเราล่ะ”

“เรื่องภัตตาคารเจียงซื่อคงไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้าหรอกนะ”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ข้าก็ไม่ร่วมมือกับพวกเจ้า”

“น้องซืออวี่ ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งจริงใจมากพอ เจ้าจะต้องได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีกมากแน่นอนหากร่วมมือกับพวกเรา นี่เป็นการค้าที่ไม่มีวันขาดทุนนะ ก่อนหน้านี้เจ้ากังวลว่าภัตตาคารเจียงซื่อจะก่อความวุ่นวายใช่หรือไม่ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว”

“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ตกลง เจ้าไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก”

“น้องซืออวี่ โอ๊ย เหตุใดเจ้าถึงตีคนเล่า เจ้าทำตัวราวกับหญิงปากร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?”

มู่ซืออวี่ตีเขาด้วยไม้กวาด ถังเหยียนจื้อจึงวิ่งออกไปอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ

ลู่เซวียนออกมาจากข้างใน “ทำเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออก ตอนนี้พี่ชายของข้าทำงานที่ศาลาว่าการแล้ว คัดลอกหนังสือก็เป็นหนทางหนึ่ง เจ้าเองก็ทำหีบได้ เช่นนั้นมิสู้ล้มเลิกกิจการหมูตุ๋นเสียเลยเล่า?”

“เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว ตอนนี้ข้าก็ไม่มีกำลังมากถึงเพียงนั้น ทุกวันนี้จดจ่ออยู่กับการประดิษฐ์แบบเครื่องเรือนเหล่านั้นก็ยุ่งไม่หวาดไม่ไหวแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยต่อไปว่า “แต่ว่าข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาย่ามใจเช่นกัน”

มู่ซืออวี่ง่วนอยู่ในครัวสักพัก จากนั้นถือผ้าห่อของทั้งเล็กและใหญ่ไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

ไม่นานนัก นางก็กลับมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านด้วยมือเปล่า แต่ในอ้อมอกกลับมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินเพิ่มเข้ามา

ในวันนั้นหัวหน้าหมู่บ้านเรียกชาวบ้านทั้งหมดมาหา จากนั้นแจ้งข่าวหนึ่งให้ทราบว่าหมู่บ้านจะเปิดสถานที่ฝึกสอนทำหมูตุ๋น ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสามารถสนับสนุนเป็นเงินได้ หรือจะใช้แรงงานแทนก็ได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นจะแบ่งเงินให้ตามจำนวนคน

ไม่ผิด มู่ซืออวี่ขายสูตรหมูตุ๋นให้หัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับเงินถึงร้อยตำลึงเงิน

สำหรับช่วนช่วนเสียบไม้ นางถามความเห็นของเฉินซื่อและลู่เจินเจิน ถ้าพวกนางยินดี นางจะยังปรุงช่วนช่วนหม้อหนึ่งให้เช่นเดิม และยังเป็นราคาเดิมตามที่ตกลงกันไว้ อีกทางคือขายขั้นตอนการทำให้พวกเขาในราคาแค่เพียง 12 ตำลึงเงิน ส่วนนางจะไม่มีส่วนในเงินทั้งหมดที่ได้มาหลังจากนั้น

เฉินซื่อและลู่เจินเจินเลือกทางเลือกที่สอง เพียงแต่ยังไม่มีเงินให้นางในขณะนั้น จึงติดหนี้ไว้ก่อน

มู่ซืออวี่ให้ลู่เซวียนเขียนสัญญากู้ยืมขึ้นมา จากนั้นให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นพยานตอนเฉินซื่อประทับลายนิ้วมือ

เดิมทีทุกคนในหมู่บ้านอิจฉามู่ซืออวี่ที่มีเงิน แต่ตอนนี้นางกลับช่วยพวกเขาหาเงิน อคติที่มีต่อมู่ซืออวี่จึงลดน้อยลง แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ยังคงเห็นนางขัดหูขัดตาอยู่

“ท่านแม่ ท่านถอนหายใจเช่นนี้ เป็นเพราะปวดใจที่ข้าส่งต่อกิจการให้คนอื่นใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามถงซื่อที่ดูเศร้าใจ

ถงซื่อมองหน้าบุตรสาวด้วยความเจ็บปวด “นั่นเป็นเงินก้อนหนึ่งเชียวนะ”

“ใช่แล้ว ข้าเลยขายไป 112 ตำลึงอย่างไรล่ะ”

“แต่ว่า เงิน 112 ตำลึงอย่างไรก็มีวันหมด แต่ถ้าเจ้าเก็บกิจการนี้ไว้ นั่นเป็นรายได้ในระยะยาวเชียวนะ”

“ท่านแม่ วันนี้ลูกพี่ลูกน้องของมู่ซือเจียวคนนั้นมาอีกแล้ว ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งยังไม่ยอมแพ้ ยังต้องการสั่งซื้อหมูตุ๋นจากข้า ท่านคิดหรือว่าพวกเขายังไม่เคยลองทำของตัวเอง? ข้าได้ยินว่าพวกเขาพยายามลองมาทุกสูตรแล้ว เพียงแต่รสชาติไม่ยอดเยี่ยมเหมือนของข้า พวกเขาจึงมาหาข้าอย่างไรล่ะ ถึงแม้ว่าภัตตาคารเจียงซื่อจะกำลังมีปัญหาและภัตตาคารหมายเลขหนึ่งมีอำนาจใหญ่โต ข้าก็ไม่ยินดีร่วมมือกับภัตตาคารหมายเลขหนึ่ง”

“ด้วยเหตุนี้จึงส่งต่อมันให้กับหมู่บ้าน เพราะคนมากก็มีกำลังมาก ในหมู่บ้านมีคนมากขนาดนี้ ย่อมมีสายสัมพันธ์จากที่อื่นอีกมากมาย ในเมื่อพวกเขามีหนทางขายหมูตุ๋นออกไป เหตุใดข้าจะไม่แบ่งปันน้ำใจนี้เล่า? เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในหมู่บ้านก็จะจดจำน้ำใจของข้าได้ หัวหน้าหมู่บ้านก็จะจดจำความหวังดีของข้าได้ ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งเห็นสิ่งที่ตนอยากได้มาตลอดหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะโมโหมากขนาดไหน ส่วนข้า ท่านก็เห็น ข้ามีกิจการอื่นที่ต้องทำ เดิมทีก็ทำแทบไม่ไหวแล้ว”

ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความกังวลบนใบหน้าของถงซื่อจึงเลือนหายไปเล็กน้อย

มู่ซืออวี่ดึงถงซื่อเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ข้าอยากขอคำแนะนำเรื่องหนึ่งจากท่าน”

“อะไรหรือ?” ถงซื่อยังคงหดหู่ใจ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยแรง

“ข้าอยากให้ฉาวอวี่และหานเอ๋อร์ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา หานเอ๋อร์ยังเล็ก ช่วงอายุดี ๆ เช่นนี้ ข้าไม่อาจให้น้องข้าทำไร่ทำนาอยู่แต่ที่บ้านหรอก อย่างไรเสียเขาก็อาจทำอะไรไม่ได้มากมายนี่เจ้าคะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา

บทที่ 108 ร่องรอยของภรรยา

ลู่อี้ยัดรูปภาพรูปหนึ่งใส่มือนักการเกา “ชายผู้นี้ทะเลาะวิวาทกับพ่อของเขาเรื่องการพนัน สุดท้ายก็ฆ่าพ่อตัวเอง ขโมยเงินแล้วหลบหนีไปเมื่อคืนนี้ คงต้องรบกวนพี่ใหญ่เกานำคนไปจับเขามารับโทษแล้ว”

นักการเการับมา สีหน้าหยอกล้อพลันจางหายไป เขาจ้องมองดวงตาที่เหมือนกับกระดิ่งทองแดงของคนตรงหน้าแล้วก่นด่าฆาตกร “ไอ้คนเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานนั่น ข้าจะจับเขากลับมาทันที”

หลังจากที่นักการเกาออกไปแล้ว ลู่อี้ก็มองไปรอบ ๆ อย่างเย็นชา คนอื่น ๆ ถูกเขามองเช่นนั้นก็รู้สึกละอาย จึงหันไปทำงานของตัวเองต่อไปอย่างจริงจัง

“เจ้าหน้าที่ลู่” จู่ปู้เดินเข้ามา “เมื่อวานนี้ท่านช่วยข้าขวางไว้ ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง? ข้ามียาแก้ฟกช้ำ ท่านถอดเสื้อผ้าออก ข้าจะทาให้ท่าน”

“ไม่จำเป็นแล้ว ท่านจู่ปู้ ภรรยาข้าทายาให้ข้าแล้วเมื่อเช้านี้” ลู่อี้ประสานมือขอบคุณ

“ภรรยาเจ้าทาให้เจ้างั้นหรือ? เช่นนั้นรอยบนหน้าเจ้า… เพราะเจ้าบาดเจ็บกลับมา ภรรยาถึงได้กัดเจ้างั้นรึ?” จู่ปู้ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ไม่ขอรับ ภรรยาข้าเพียงแค่ชอบล้อเล่น”

“ฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ คนหนุ่มคนสาวโกรธง่ายเป็นธรรมดา” จู่ปู้ขยิบตาให้ ราวกับเรื่องนี้เข้าใจตรงกันอย่างไรอย่างนั้น

“ท่านจู่ปู้ มีคดีหนึ่งที่อยากจะขอคำแนะนำ ไม่รู้ว่าจะสะดวกขยับสักก้าวไปพูดคุยสักครู่ได้หรือไม่?”

จู่ปู้เห็นคนตรงหน้าก็เจริญหูเจริญตาขึ้นร้อยเท่า ไม่ได้สนใจว่าสีหน้าเย็นเยียบนั้นจะทำให้คนกลัวหรือไม่ เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ที่ของข้าไม่มีคน ไปคุยกับข้าที่นั่นเถอะ”

เรื่องที่ลู่อี้อยากถามคือเรื่องของภัตตาคารเจียงซื่อ

จู่ปู้ได้ยินเช่นนี้แล้วสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา

“เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับภัตตาคารเจียงซื่อหรือ?”

“คนเฝ้าร้านของที่นั่นพอจะมีความสัมพันธ์อันดีกับข้าอยู่บ้าง ในตอนที่ข้าตกต่ำที่สุด สหายผู้นั้นช่วยเหลือข้าเสมอ”

“หากแค่อยากช่วยคนเฝ้าร้านคนหนึ่ง เรื่องนั้นไม่ยาก แต่ถ้าอยากช่วยคนภัตตาคารเจียงซื่อทั้งหมด เกรงว่าจะไม่ได้”

“เท่าที่ข้ารู้มา เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากของปลอมที่คนในร้านคนหนึ่งนำมา หากจะกล่าวโทษ ย่อมเป็นความผิดของคนที่นำมา คนอื่นย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์”

“หากไม่มีคนตาย คดีนี้ย่อมไม่มีการลงโทษสถานหนัก แต่ในเมื่อมีคนตายนี่ก็ยุ่งยากแล้ว หวังซานหนีไปแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นคำข้างเดียวของคนอื่น เป็นหลักฐานไม่ได้ เถ้าแก่ภัตตาคารเจียงซื่อยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ต้องได้รับโทษสถานหนักอย่างแน่นอน เถ้าแก่จัดการร้านหละหลวม ก็ต้องได้รับโทษสถานหนักเช่นกัน คนเฝ้าร้านคนอื่น ๆ ได้รับการผ่อนปรนให้ไปเข้ากองทัพได้ หากจ่ายค่าปรับก็สามารถให้คนกลับมาได้”

ลู่อี้สอบถามอีกครั้ง พยายามยกเหตุผลทุกอย่างเพื่อหาวิธีพิสูจน์ให้ทุกคนในภัตตาคารเจียงซื่อพ้นโทษ แต่ด้วยกฎหมายเวลานี้ หากเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนตาย ย่อมต้องได้การตัดสินโทษสถานหนัก

ขณะที่ลู่อี้พยายามหาหนทางเพื่อช่วยทุกคนในภัตตาคารเจียงซื่อ มู่ซืออวี่ก็พบถังเหยียนจื้อที่มาโดยไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง

“น้องซืออวี่…” เขาผลักประตูเอาไว้ไม่ให้มู่ซืออวี่ปิดได้ น้ำลายไหลราวกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

“ใครเป็นน้องของเจ้า? น้องของเจ้าทำงานเป็นสาวรับใช้อยู่ที่จวนหลี่ อย่าได้เข้าใจผิด” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างเย็นชา “หากยังไม่ไปอีก อย่าได้ตำหนิที่ข้าไม่เกรงใจ”

“น้องซืออวี่ ฟังข้าสักคำ ภัตตาคารเจียงซื่อถูกปิดแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่มีคู่ค้าอีกแล้ว เหตุใดไม่ร่วมมือกับเราล่ะ”

“เรื่องภัตตาคารเจียงซื่อคงไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้าหรอกนะ”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ข้าก็ไม่ร่วมมือกับพวกเจ้า”

“น้องซืออวี่ ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งจริงใจมากพอ เจ้าจะต้องได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีกมากแน่นอนหากร่วมมือกับพวกเรา นี่เป็นการค้าที่ไม่มีวันขาดทุนนะ ก่อนหน้านี้เจ้ากังวลว่าภัตตาคารเจียงซื่อจะก่อความวุ่นวายใช่หรือไม่ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว”

“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ตกลง เจ้าไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก”

“น้องซืออวี่ โอ๊ย เหตุใดเจ้าถึงตีคนเล่า เจ้าทำตัวราวกับหญิงปากร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?”

มู่ซืออวี่ตีเขาด้วยไม้กวาด ถังเหยียนจื้อจึงวิ่งออกไปอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ

ลู่เซวียนออกมาจากข้างใน “ทำเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออก ตอนนี้พี่ชายของข้าทำงานที่ศาลาว่าการแล้ว คัดลอกหนังสือก็เป็นหนทางหนึ่ง เจ้าเองก็ทำหีบได้ เช่นนั้นมิสู้ล้มเลิกกิจการหมูตุ๋นเสียเลยเล่า?”

“เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว ตอนนี้ข้าก็ไม่มีกำลังมากถึงเพียงนั้น ทุกวันนี้จดจ่ออยู่กับการประดิษฐ์แบบเครื่องเรือนเหล่านั้นก็ยุ่งไม่หวาดไม่ไหวแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยต่อไปว่า “แต่ว่าข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาย่ามใจเช่นกัน”

มู่ซืออวี่ง่วนอยู่ในครัวสักพัก จากนั้นถือผ้าห่อของทั้งเล็กและใหญ่ไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

ไม่นานนัก นางก็กลับมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านด้วยมือเปล่า แต่ในอ้อมอกกลับมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินเพิ่มเข้ามา

ในวันนั้นหัวหน้าหมู่บ้านเรียกชาวบ้านทั้งหมดมาหา จากนั้นแจ้งข่าวหนึ่งให้ทราบว่าหมู่บ้านจะเปิดสถานที่ฝึกสอนทำหมูตุ๋น ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสามารถสนับสนุนเป็นเงินได้ หรือจะใช้แรงงานแทนก็ได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นจะแบ่งเงินให้ตามจำนวนคน

ไม่ผิด มู่ซืออวี่ขายสูตรหมูตุ๋นให้หัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับเงินถึงร้อยตำลึงเงิน

สำหรับช่วนช่วนเสียบไม้ นางถามความเห็นของเฉินซื่อและลู่เจินเจิน ถ้าพวกนางยินดี นางจะยังปรุงช่วนช่วนหม้อหนึ่งให้เช่นเดิม และยังเป็นราคาเดิมตามที่ตกลงกันไว้ อีกทางคือขายขั้นตอนการทำให้พวกเขาในราคาแค่เพียง 12 ตำลึงเงิน ส่วนนางจะไม่มีส่วนในเงินทั้งหมดที่ได้มาหลังจากนั้น

เฉินซื่อและลู่เจินเจินเลือกทางเลือกที่สอง เพียงแต่ยังไม่มีเงินให้นางในขณะนั้น จึงติดหนี้ไว้ก่อน

มู่ซืออวี่ให้ลู่เซวียนเขียนสัญญากู้ยืมขึ้นมา จากนั้นให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นพยานตอนเฉินซื่อประทับลายนิ้วมือ

เดิมทีทุกคนในหมู่บ้านอิจฉามู่ซืออวี่ที่มีเงิน แต่ตอนนี้นางกลับช่วยพวกเขาหาเงิน อคติที่มีต่อมู่ซืออวี่จึงลดน้อยลง แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ยังคงเห็นนางขัดหูขัดตาอยู่

“ท่านแม่ ท่านถอนหายใจเช่นนี้ เป็นเพราะปวดใจที่ข้าส่งต่อกิจการให้คนอื่นใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามถงซื่อที่ดูเศร้าใจ

ถงซื่อมองหน้าบุตรสาวด้วยความเจ็บปวด “นั่นเป็นเงินก้อนหนึ่งเชียวนะ”

“ใช่แล้ว ข้าเลยขายไป 112 ตำลึงอย่างไรล่ะ”

“แต่ว่า เงิน 112 ตำลึงอย่างไรก็มีวันหมด แต่ถ้าเจ้าเก็บกิจการนี้ไว้ นั่นเป็นรายได้ในระยะยาวเชียวนะ”

“ท่านแม่ วันนี้ลูกพี่ลูกน้องของมู่ซือเจียวคนนั้นมาอีกแล้ว ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งยังไม่ยอมแพ้ ยังต้องการสั่งซื้อหมูตุ๋นจากข้า ท่านคิดหรือว่าพวกเขายังไม่เคยลองทำของตัวเอง? ข้าได้ยินว่าพวกเขาพยายามลองมาทุกสูตรแล้ว เพียงแต่รสชาติไม่ยอดเยี่ยมเหมือนของข้า พวกเขาจึงมาหาข้าอย่างไรล่ะ ถึงแม้ว่าภัตตาคารเจียงซื่อจะกำลังมีปัญหาและภัตตาคารหมายเลขหนึ่งมีอำนาจใหญ่โต ข้าก็ไม่ยินดีร่วมมือกับภัตตาคารหมายเลขหนึ่ง”

“ด้วยเหตุนี้จึงส่งต่อมันให้กับหมู่บ้าน เพราะคนมากก็มีกำลังมาก ในหมู่บ้านมีคนมากขนาดนี้ ย่อมมีสายสัมพันธ์จากที่อื่นอีกมากมาย ในเมื่อพวกเขามีหนทางขายหมูตุ๋นออกไป เหตุใดข้าจะไม่แบ่งปันน้ำใจนี้เล่า? เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในหมู่บ้านก็จะจดจำน้ำใจของข้าได้ หัวหน้าหมู่บ้านก็จะจดจำความหวังดีของข้าได้ ภัตตาคารหมายเลขหนึ่งเห็นสิ่งที่ตนอยากได้มาตลอดหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะโมโหมากขนาดไหน ส่วนข้า ท่านก็เห็น ข้ามีกิจการอื่นที่ต้องทำ เดิมทีก็ทำแทบไม่ไหวแล้ว”

ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความกังวลบนใบหน้าของถงซื่อจึงเลือนหายไปเล็กน้อย

มู่ซืออวี่ดึงถงซื่อเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ข้าอยากขอคำแนะนำเรื่องหนึ่งจากท่าน”

“อะไรหรือ?” ถงซื่อยังคงหดหู่ใจ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยแรง

“ข้าอยากให้ฉาวอวี่และหานเอ๋อร์ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา หานเอ๋อร์ยังเล็ก ช่วงอายุดี ๆ เช่นนี้ ข้าไม่อาจให้น้องข้าทำไร่ทำนาอยู่แต่ที่บ้านหรอก อย่างไรเสียเขาก็อาจทำอะไรไม่ได้มากมายนี่เจ้าคะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+