สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว

บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว

มู่ซืออวี่ลูบท้องตัวเอง กล้ำกลืนความอับอายทั้งหมดลงคอไป

นางจัดการกับผักป่าเหล่านั้นต่อไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยนิ้วมือกลมกลึงเงอะงะอย่างไม่ชำนาญ เห็นได้ชัดว่าร่างกายนี้อยู่อย่างเกียจคร้านมานานหลายปี แม้จะผ่านการฝึกฝนมาบ้าง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับมือของร่างเดิม

เมื่อผักป่าทั้งหมดถูกเก็บเรียบร้อยพร้อมที่จะนำไปล้าง ไก่ตัวหนึ่งที่เชือดแล้วก็ถูกส่งมาให้นาง

หัวเล็ก ๆ ของมันหันมาทางนาง เลือดไหลอาบออกมาจากคอ หญิงสาวเห็นเข้าก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ดูตกใจอย่างปิดไม่มิด

นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่ยื่นไก่มาให้แล้วถามเสียงอ่อน “นี่คือ…”

“อยากได้อะไรก็บอกข้า ไม่ต้องไปใช้เด็ก ๆ” น้ำเสียงลู่อี้ฟังดูเย็นเยียบ “ข้าให้เจ้าได้ ถ้ามันไม่เกินไปนัก ข้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น”

หญิงสาวกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งแล้วหยิบไก่ตัวนั้นมาอย่างระมัดระวัง “เจ้าได้ยินด้วยหรือ?”

เขารู้ว่านางให้เด็กไปพูดแทนความต้องการของตัวเอง น่าอายเหลือเกิน อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจากตรงนี้

ลู่อี้ไม่ได้ตอบอะไร เขาออกไปจากตรงนั้นทันที

มู่ซืออวี่มองตามแผ่นหลังของเขา สายตาทอดมองไปหยุดอยู่ที่ขายาว ๆ ของชายหนุ่ม

ทั้งยาวเรียวและบาง แต่กลับดูมีพลังบางอย่าง

“โอ๊ย… บ้าไปแล้ว” นางรีบส่ายหัวไล่ความรู้สึกแปลก ๆ ทิ้งไป “เราคิดบ้าอะไรอยู่”

หญิงสาวต้มน้ำให้เดือดเพื่อกำจัดขนไก่ ระหว่างที่กำลังจะจัดการกับขนพวกนั้น นิ้วมือของนางก็เผลอถูกน้ำร้อนลวกจนแดงเถือกดูราวกับไส้กรอก นางหอบหายใจ พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ระหว่างถอนขน การเคลื่อนไหวทั้งหมดช่างเชื่องช้าต่างจากร่างกายเดิมของนางอย่างยิ่ง

ลู่จื่ออวิ๋นหย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นสะท้อนความอยากรู้อยากเห็นออกมา

มู่ซืออวี่ไม่มีเวลามาพูดคุยกับเด็กหญิง นางเอาแต่ง่วนอยู่กับงานที่ทำ การถอนขนต้องทำอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นไก่จะเหนียวเพราะลวกน้ำร้อนนานจนเกินไป

ลู่เซวียนเองก็เข็นรถเข็นเข้ามามองอยู่ไม่ไกล พลางพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “ตอนกินออกจะคล่องปาก เหตุใดตอนทำถึงได้เงอะงะอย่างนั้นเล่า”

ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวจึงพูดกับไก่ที่นอนตายในมือ “เมื่อก่อนขันเสียงดั๊งดัง แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว”

ลู่เซวียนจ้องมองมู่ซืออวี่เขม็ง “เจ้าว่าข้างั้นรึ?”

“เปล่า ข้าพูดกับไก่ เจ้าเป็นไก่หรือเปล่าล่ะ?” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นสงสัย นางจ้องกลับไปแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ถ้าเบื่อนักก็ไปหาหนังสืออ่าน เจ้ารู้หนังสือไม่ใช่หรือ ข้าเห็นว่ามีหนังสือมากมายในห้อง น่าจะช่วยแก้เบื่อได้ไม่น้อย”

ลู่เซวียนหงุดหงิดจนพูดไม่ออก ชายหนุ่มได้แต่เข็นรถเข็นกลับไปที่ห้องนอน

เสียงใสของเด็กน้อยลู่จื่ออวิ๋นดังขึ้น “ท่านอาเป็นคนดี ท่านแม่อย่ารังแกเขาเลย ตอนนี้ท่านอาป่วย น่าสงสารจะตายไป เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลท่านอานะเจ้าคะ”

เด็กหญิงมีท่าทีเป็นกังวล นางเองก็กลัวว่าท่านแม่จะไม่พอใจที่ตนพูดแบบนั้นเช่นกัน พูดจบก็กระวนกระวายขึ้นมา

ถ้ามือของมู่ซืออวี่ไม่ได้เปื้อนรอยไก่ นางคงยกมือขึ้นมาบีบแก้มใสนั้นอย่างอดใจไม่อยู่แล้ว จึงได้แต่พูดเสียงเบาว่า “แม่แค่แกล้งเขาเล่นเท่านั้นเอง ดูท่าทางกระฉับกระเฉงตอนที่เขาโกรธสิ ไม่ได้ดูแข็งแรงกว่าปกติหรือ?”

ลู่อี้มองสองแม่ลูกกำลังคุยกัน จากนั้นก็เหลือบมองลู่ฉาวอวี่ เด็กชายกำลังทำความสะอาดเครื่องในไก่อย่างเงียบ ๆ ในตอนนั้นเองที่ลู่อี้พบว่าบรรยากาศในบ้านแตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่มาก มันไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยสีสันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

กลิ่นหอมของไก่ที่โชยมาจากบ้านตระกูลลู่ทำเอาเด็กหลายคนในบ้านข้างเคียงถึงกับร้องไห้ ทำได้เพียงเคี้ยวหมั่นโถว ดมกลิ่นเนื้อไก่ และแอบด่าตระกูลลู่อยู่ในใจ

มู่ซืออวี่พบว่ามีผักกาดดองอยู่ในไหเล็กน้อยจึงเอามาทำเครื่องในไก่ผัดผักกาดดอง ไก่ครึ่งหนึ่งเอาไปตุ๋นแป็นน้ำแกง ที่เหลือเก็บไว้สำหรับพรุ่งนี้

ภายในครัวมีส่วนผสมไม่มากที่จะทำอาหารให้อร่อย แม้ว่าจะเก่งเรื่องการปรุงอาหาร แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรที่ซับซ้อนออกมาได้โดยปราศจากเครื่องปรุง นอกเสียจากใช้เปลือกส้มเติมลงไปในน้ำแกงไก่เพื่อเพิ่มรสชาติเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้นางมีน้ำแกงไก่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีข้าว หญิงสาวเอาข้าวขาวที่เหลืออยู่ออกมาทำเป็นข้าวต้ม ให้น้ำช่วยเพิ่มปริมาณให้พวกมันได้อีกหน่อย จากนั้นก็เอาผักป่าไปทำเป็นปิ่ง*[1] เพื่อไม่ให้มีแต่รสชาติจืด ๆ และยังอิ่มท้อง

น้ำมันสำหรับทอดปิ่งเป็นไขมันที่ได้จากไก่ กลิ่นของปิ่งจึงหอมมันไก่ไปด้วย หลังจากทอดกรอบ ๆ จนผิวด้านนอกเป็นสีเหลืองทองก็ดูน่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก

ตะกร้าปิ่งจากผักป่าวางอยู่กลางโต๊ะ มีเครื่องในไก่ผัดผักกาดดองและน้ำแกงไก่ห้าชามวางอยู่ตามตำแหน่งของสามชิกในบ้าน เท่านี้ก็เป็นมื้อค่ำที่ไม่เลวแล้ว

“เสี่ยวอวิ๋น ไปเรียกท่านอาของเจ้ามากินข้าว” มู่ซืออวี่พูดพลางจัดวางตะเกียบบนโต๊ะ

ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งไปที่ห้องของลู่เซวียน ร้องเรียกให้เขามากินข้าว แต่กลับมีเสียงไม่พอใจของเขาดังออกมา “ข้าไม่กินอาหารที่ผู้หญิงคนนั้นทำ ไม่รู้ว่าวางยาพิษหรือเปล่า”

มู่ซืออวี่ตะโกนเสียงดังกลับไป “เสี่ยวอวิ๋น! ท่านอาของเจ้าคงยังไม่หิว เพราะกินโจ๊กที่แม่ทำไปแล้ว ปล่อยเขาเถิด ไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร แม่หิวแล้ว เดี๋ยวจะกินส่วนของเขาเอง มาเร็วเข้า มากินข้าวกันดีกว่า!”

“เหตุใดข้าต้องให้เจ้ากินส่วนของข้าด้วย” ร่างของลู่เซวียนปรากฏขึ้นที่หน้าประตู “ต่อให้ข้าไม่กินมัน เจ้าก็ต้องเอาให้เสี่ยวอวี่กับเสี่ยวอวิ๋นสิ ของเจ้าซะที่ไหน!”

นางมองเขาแล้วลองยั่วยุ “ตราบใดที่ข้าอยากกิน เด็ก ๆ ก็ต้องยกมันให้ข้าอยู่แล้ว เสี่ยวอวี่ เสี่ยวอวิ๋น ข้าขอกินได้หรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่นั่งตัวตรง “ตามสบาย”

ส่วนลู่จื่ออวิ๋นพูดอย่างว่าง่าย “ข้ากินนิดเดียวก็อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”

“น่ารักมาก” มู่ซืออวี่กล่าวชมเด็กทั้งสอง

ท่าทางว่าการทำงานอย่างหนักของนางจะไม่เปล่าประโยชน์ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้างนางแล้วอย่างแน่นอน ลู่ฉาวอวี่ที่แสนเฉยเมยก็เป็นคนตรงไปตรงมา ด้วยการสนับสนุนจากเด็กทั้งสองนี้ นางก็จะสามารถต่อกรกับลู่เซวียนได้โดยง่าย

“มานั่งตรงนี้แล้วกินสักที” ทันทีที่ลู่อี้เปิดปากพูด คนสองคนที่เถียงกันอยู่ก็เป็นอันต้องสงบลง

ลู่เซวียนจำต้องเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้อย่างไม่เต็มใจ มู่ซืออวี่ก็นั่งลงอีกข้างของลู่อี้เช่นกัน

เด็กทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน คนหนึ่งก็เป็นเด็กดีน่ารัก ส่วนอีกคนนิ่งเฉยไม่แยแสสิ่งใด บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี มู่ซืออวี่พออกพอใจ ไม่สนสายตาจ้องจะกินเลือดกินเนื้อของลู่เซวียน

“กินเถอะ” ครั้นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น คนอื่น ๆ จึงเริ่มขยับตะเกียบ

ในตอนนั้นเองที่มู่ซืออวี่สังเกตว่าครอบครัวลู่ไม่ได้กินข้าวดังเช่นครอบครัวชาวไร่ชาวนาทั่วไป ไม่ใช่ว่าชาวไร่ชาวนากินข้าวอย่างไร้อารยะ แต่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ใช่ขุนนาง พวกเขาจะกินข้าวแบบสบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตองหรือท่าทีเรียบร้อย ทว่าคนในบ้านนี้ แม้แต่เด็กสองคนก็กินอาหารอย่างเงียบ ๆ ดูเป็นการเคลื่อนไหวแบบชนชั้นสูง ไม่ส่งเสียงดังจนเกินไป

กร๊อบ…

ลู่เซวียนกัดปิ่งเข้าไปหนึ่งคำ ความประหลาดใจก็ฉายวาบในแววตา จากนั้นก็เริ่มหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย

มู่ซืออวี่พออกพอใจกับฝีมือของตัวเองอย่างมาก แม้จะปรุงรสแทบไม่ได้เลย แต่ก็พยายามอย่างยิ่งในการจัดการกับวัตถุดิบและควบคุมไฟ ทำให้อาหารที่แทบไร้การปรุงรสมีรสชาติอร่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้จะมีเครื่องในไก่เป็นส่วนผสม แต่กลิ่นของผักกาดดองทำให้มันไม่เหม็นคาว ปิ่งก็ถูกทอดจนเหลืองกรอบ ไม่ต้องพูดถึงว่ากลิ่นของมันหอมน่ากินมากแค่ไหน

แม้ว่าลู่อี้จะยังคงนิ่งเงียบ แต่เขาก็กินเครื่องในไก่ไปไม่น้อย เด็ก ๆ ทั้งสองก็กินอย่างอร่อยจนมีคราบน้ำมันติดปาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพลิดเพลินกับมื้อค่ำนี้มากแค่ไหน

[1] ปิ่ง คือ อาหารจีนที่ทำจากแป้ง ผสมผักหรือส่วนผสมอื่น ๆ แล้วทอดบนกระทะ หน้าตาออกมาคล้ายแพนเค้กผัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว

บทที่ 17 ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว

มู่ซืออวี่ลูบท้องตัวเอง กล้ำกลืนความอับอายทั้งหมดลงคอไป

นางจัดการกับผักป่าเหล่านั้นต่อไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยนิ้วมือกลมกลึงเงอะงะอย่างไม่ชำนาญ เห็นได้ชัดว่าร่างกายนี้อยู่อย่างเกียจคร้านมานานหลายปี แม้จะผ่านการฝึกฝนมาบ้าง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับมือของร่างเดิม

เมื่อผักป่าทั้งหมดถูกเก็บเรียบร้อยพร้อมที่จะนำไปล้าง ไก่ตัวหนึ่งที่เชือดแล้วก็ถูกส่งมาให้นาง

หัวเล็ก ๆ ของมันหันมาทางนาง เลือดไหลอาบออกมาจากคอ หญิงสาวเห็นเข้าก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ดูตกใจอย่างปิดไม่มิด

นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่ยื่นไก่มาให้แล้วถามเสียงอ่อน “นี่คือ…”

“อยากได้อะไรก็บอกข้า ไม่ต้องไปใช้เด็ก ๆ” น้ำเสียงลู่อี้ฟังดูเย็นเยียบ “ข้าให้เจ้าได้ ถ้ามันไม่เกินไปนัก ข้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น”

หญิงสาวกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งแล้วหยิบไก่ตัวนั้นมาอย่างระมัดระวัง “เจ้าได้ยินด้วยหรือ?”

เขารู้ว่านางให้เด็กไปพูดแทนความต้องการของตัวเอง น่าอายเหลือเกิน อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจากตรงนี้

ลู่อี้ไม่ได้ตอบอะไร เขาออกไปจากตรงนั้นทันที

มู่ซืออวี่มองตามแผ่นหลังของเขา สายตาทอดมองไปหยุดอยู่ที่ขายาว ๆ ของชายหนุ่ม

ทั้งยาวเรียวและบาง แต่กลับดูมีพลังบางอย่าง

“โอ๊ย… บ้าไปแล้ว” นางรีบส่ายหัวไล่ความรู้สึกแปลก ๆ ทิ้งไป “เราคิดบ้าอะไรอยู่”

หญิงสาวต้มน้ำให้เดือดเพื่อกำจัดขนไก่ ระหว่างที่กำลังจะจัดการกับขนพวกนั้น นิ้วมือของนางก็เผลอถูกน้ำร้อนลวกจนแดงเถือกดูราวกับไส้กรอก นางหอบหายใจ พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ระหว่างถอนขน การเคลื่อนไหวทั้งหมดช่างเชื่องช้าต่างจากร่างกายเดิมของนางอย่างยิ่ง

ลู่จื่ออวิ๋นหย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นสะท้อนความอยากรู้อยากเห็นออกมา

มู่ซืออวี่ไม่มีเวลามาพูดคุยกับเด็กหญิง นางเอาแต่ง่วนอยู่กับงานที่ทำ การถอนขนต้องทำอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นไก่จะเหนียวเพราะลวกน้ำร้อนนานจนเกินไป

ลู่เซวียนเองก็เข็นรถเข็นเข้ามามองอยู่ไม่ไกล พลางพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “ตอนกินออกจะคล่องปาก เหตุใดตอนทำถึงได้เงอะงะอย่างนั้นเล่า”

ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวจึงพูดกับไก่ที่นอนตายในมือ “เมื่อก่อนขันเสียงดั๊งดัง แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ถูกถอนขนก็ขันไม่ออกเสียแล้ว”

ลู่เซวียนจ้องมองมู่ซืออวี่เขม็ง “เจ้าว่าข้างั้นรึ?”

“เปล่า ข้าพูดกับไก่ เจ้าเป็นไก่หรือเปล่าล่ะ?” มู่ซืออวี่แสร้งทำเป็นสงสัย นางจ้องกลับไปแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ถ้าเบื่อนักก็ไปหาหนังสืออ่าน เจ้ารู้หนังสือไม่ใช่หรือ ข้าเห็นว่ามีหนังสือมากมายในห้อง น่าจะช่วยแก้เบื่อได้ไม่น้อย”

ลู่เซวียนหงุดหงิดจนพูดไม่ออก ชายหนุ่มได้แต่เข็นรถเข็นกลับไปที่ห้องนอน

เสียงใสของเด็กน้อยลู่จื่ออวิ๋นดังขึ้น “ท่านอาเป็นคนดี ท่านแม่อย่ารังแกเขาเลย ตอนนี้ท่านอาป่วย น่าสงสารจะตายไป เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลท่านอานะเจ้าคะ”

เด็กหญิงมีท่าทีเป็นกังวล นางเองก็กลัวว่าท่านแม่จะไม่พอใจที่ตนพูดแบบนั้นเช่นกัน พูดจบก็กระวนกระวายขึ้นมา

ถ้ามือของมู่ซืออวี่ไม่ได้เปื้อนรอยไก่ นางคงยกมือขึ้นมาบีบแก้มใสนั้นอย่างอดใจไม่อยู่แล้ว จึงได้แต่พูดเสียงเบาว่า “แม่แค่แกล้งเขาเล่นเท่านั้นเอง ดูท่าทางกระฉับกระเฉงตอนที่เขาโกรธสิ ไม่ได้ดูแข็งแรงกว่าปกติหรือ?”

ลู่อี้มองสองแม่ลูกกำลังคุยกัน จากนั้นก็เหลือบมองลู่ฉาวอวี่ เด็กชายกำลังทำความสะอาดเครื่องในไก่อย่างเงียบ ๆ ในตอนนั้นเองที่ลู่อี้พบว่าบรรยากาศในบ้านแตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่มาก มันไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยสีสันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

กลิ่นหอมของไก่ที่โชยมาจากบ้านตระกูลลู่ทำเอาเด็กหลายคนในบ้านข้างเคียงถึงกับร้องไห้ ทำได้เพียงเคี้ยวหมั่นโถว ดมกลิ่นเนื้อไก่ และแอบด่าตระกูลลู่อยู่ในใจ

มู่ซืออวี่พบว่ามีผักกาดดองอยู่ในไหเล็กน้อยจึงเอามาทำเครื่องในไก่ผัดผักกาดดอง ไก่ครึ่งหนึ่งเอาไปตุ๋นแป็นน้ำแกง ที่เหลือเก็บไว้สำหรับพรุ่งนี้

ภายในครัวมีส่วนผสมไม่มากที่จะทำอาหารให้อร่อย แม้ว่าจะเก่งเรื่องการปรุงอาหาร แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรที่ซับซ้อนออกมาได้โดยปราศจากเครื่องปรุง นอกเสียจากใช้เปลือกส้มเติมลงไปในน้ำแกงไก่เพื่อเพิ่มรสชาติเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้นางมีน้ำแกงไก่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีข้าว หญิงสาวเอาข้าวขาวที่เหลืออยู่ออกมาทำเป็นข้าวต้ม ให้น้ำช่วยเพิ่มปริมาณให้พวกมันได้อีกหน่อย จากนั้นก็เอาผักป่าไปทำเป็นปิ่ง*[1] เพื่อไม่ให้มีแต่รสชาติจืด ๆ และยังอิ่มท้อง

น้ำมันสำหรับทอดปิ่งเป็นไขมันที่ได้จากไก่ กลิ่นของปิ่งจึงหอมมันไก่ไปด้วย หลังจากทอดกรอบ ๆ จนผิวด้านนอกเป็นสีเหลืองทองก็ดูน่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก

ตะกร้าปิ่งจากผักป่าวางอยู่กลางโต๊ะ มีเครื่องในไก่ผัดผักกาดดองและน้ำแกงไก่ห้าชามวางอยู่ตามตำแหน่งของสามชิกในบ้าน เท่านี้ก็เป็นมื้อค่ำที่ไม่เลวแล้ว

“เสี่ยวอวิ๋น ไปเรียกท่านอาของเจ้ามากินข้าว” มู่ซืออวี่พูดพลางจัดวางตะเกียบบนโต๊ะ

ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งไปที่ห้องของลู่เซวียน ร้องเรียกให้เขามากินข้าว แต่กลับมีเสียงไม่พอใจของเขาดังออกมา “ข้าไม่กินอาหารที่ผู้หญิงคนนั้นทำ ไม่รู้ว่าวางยาพิษหรือเปล่า”

มู่ซืออวี่ตะโกนเสียงดังกลับไป “เสี่ยวอวิ๋น! ท่านอาของเจ้าคงยังไม่หิว เพราะกินโจ๊กที่แม่ทำไปแล้ว ปล่อยเขาเถิด ไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร แม่หิวแล้ว เดี๋ยวจะกินส่วนของเขาเอง มาเร็วเข้า มากินข้าวกันดีกว่า!”

“เหตุใดข้าต้องให้เจ้ากินส่วนของข้าด้วย” ร่างของลู่เซวียนปรากฏขึ้นที่หน้าประตู “ต่อให้ข้าไม่กินมัน เจ้าก็ต้องเอาให้เสี่ยวอวี่กับเสี่ยวอวิ๋นสิ ของเจ้าซะที่ไหน!”

นางมองเขาแล้วลองยั่วยุ “ตราบใดที่ข้าอยากกิน เด็ก ๆ ก็ต้องยกมันให้ข้าอยู่แล้ว เสี่ยวอวี่ เสี่ยวอวิ๋น ข้าขอกินได้หรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่นั่งตัวตรง “ตามสบาย”

ส่วนลู่จื่ออวิ๋นพูดอย่างว่าง่าย “ข้ากินนิดเดียวก็อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”

“น่ารักมาก” มู่ซืออวี่กล่าวชมเด็กทั้งสอง

ท่าทางว่าการทำงานอย่างหนักของนางจะไม่เปล่าประโยชน์ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้างนางแล้วอย่างแน่นอน ลู่ฉาวอวี่ที่แสนเฉยเมยก็เป็นคนตรงไปตรงมา ด้วยการสนับสนุนจากเด็กทั้งสองนี้ นางก็จะสามารถต่อกรกับลู่เซวียนได้โดยง่าย

“มานั่งตรงนี้แล้วกินสักที” ทันทีที่ลู่อี้เปิดปากพูด คนสองคนที่เถียงกันอยู่ก็เป็นอันต้องสงบลง

ลู่เซวียนจำต้องเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้อย่างไม่เต็มใจ มู่ซืออวี่ก็นั่งลงอีกข้างของลู่อี้เช่นกัน

เด็กทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน คนหนึ่งก็เป็นเด็กดีน่ารัก ส่วนอีกคนนิ่งเฉยไม่แยแสสิ่งใด บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี มู่ซืออวี่พออกพอใจ ไม่สนสายตาจ้องจะกินเลือดกินเนื้อของลู่เซวียน

“กินเถอะ” ครั้นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้น คนอื่น ๆ จึงเริ่มขยับตะเกียบ

ในตอนนั้นเองที่มู่ซืออวี่สังเกตว่าครอบครัวลู่ไม่ได้กินข้าวดังเช่นครอบครัวชาวไร่ชาวนาทั่วไป ไม่ใช่ว่าชาวไร่ชาวนากินข้าวอย่างไร้อารยะ แต่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ใช่ขุนนาง พวกเขาจะกินข้าวแบบสบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตองหรือท่าทีเรียบร้อย ทว่าคนในบ้านนี้ แม้แต่เด็กสองคนก็กินอาหารอย่างเงียบ ๆ ดูเป็นการเคลื่อนไหวแบบชนชั้นสูง ไม่ส่งเสียงดังจนเกินไป

กร๊อบ…

ลู่เซวียนกัดปิ่งเข้าไปหนึ่งคำ ความประหลาดใจก็ฉายวาบในแววตา จากนั้นก็เริ่มหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย

มู่ซืออวี่พออกพอใจกับฝีมือของตัวเองอย่างมาก แม้จะปรุงรสแทบไม่ได้เลย แต่ก็พยายามอย่างยิ่งในการจัดการกับวัตถุดิบและควบคุมไฟ ทำให้อาหารที่แทบไร้การปรุงรสมีรสชาติอร่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้จะมีเครื่องในไก่เป็นส่วนผสม แต่กลิ่นของผักกาดดองทำให้มันไม่เหม็นคาว ปิ่งก็ถูกทอดจนเหลืองกรอบ ไม่ต้องพูดถึงว่ากลิ่นของมันหอมน่ากินมากแค่ไหน

แม้ว่าลู่อี้จะยังคงนิ่งเงียบ แต่เขาก็กินเครื่องในไก่ไปไม่น้อย เด็ก ๆ ทั้งสองก็กินอย่างอร่อยจนมีคราบน้ำมันติดปาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพลิดเพลินกับมื้อค่ำนี้มากแค่ไหน

[1] ปิ่ง คือ อาหารจีนที่ทำจากแป้ง ผสมผักหรือส่วนผสมอื่น ๆ แล้วทอดบนกระทะ หน้าตาออกมาคล้ายแพนเค้กผัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+