สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 80 น่าเอ็นดู

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 80 น่าเอ็นดู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 80 น่าเอ็นดู

บทที่ 80 น่าเอ็นดู

“ท่านลาออกจากร้านอาหารนั่นแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“ใช่แล้ว! หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีก” เฟิงเจิงยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด “ที่ผ่านมา ข้าต้องขอบคุณเจ้าของร้านอาหาร แต่เขาใจร้ายกับลู่อี้มาก”

“พี่เฟิงเจิงเป็นคนรักใครรักจริง แต่เกลียดผู้ใดก็เกลียดมากสินะ” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ท่านทำงานให้กับภัตตาคารเจียงซื่อหรือ?”

“ใช่แล้ว! นับจากนี้ข้าจะรับหน้าที่ติดต่อท่าน น้องสะใภ้ ท่านนี่ช่างมีความสามารถ ข้าไม่คิดเลยว่าหมูตุ๋นของท่านจะมีรสเลิศจนได้รับคำชื่นชมจากผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม เรามาชั่งน้ำหนักกันก่อนเถิด!”

มู่ซืออวี่ชั่งน้ำหนักสินค้าให้กับเฟิงเจิง จากนั้นจึงคำนวนและแยกบัญชีแต่ละประเภท

เฟิงเจิงจ่ายเงินก่อนจะกล่าวว่า “ช่วงนี้กิจการภัตตาคารเจียงซื่อดีขึ้นมาก ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องยอดขาย นำเงินนี้ไปใช้จุนเจือครอบครัวก่อนเถิด”

“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านมาก” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่มืดจนเกินไป เชิญท่านดื่มชาสักถ้วยก่อนเดินทางกลับเถอะ”

“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเดินทางกลับ เจ้าของร้านแจ้งว่ามีเรื่องด่วน ข้าไม่อาจอยู่นานได้ ต้องขอตัวก่อน” เฟิงเจิงเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา นี่ถือเป็นข้อดีของเขา

ครั้นเห็นว่าตระกูลลู่ที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านมีรถม้าของเศรษฐีมากมายแวะเวียนมา ชาวบ้านก็พากันเริ่มสงสัย เป็นผลให้ฝูงชนเริ่มออกมามุงดูหน้าประตูบ้าน คราวนี้ไม่ใช่เพียงสตรีเท่านั้นที่ซุบซิบนินทา แม้แต่บุรุษเองก็ตามมาด้วย

“พวกเจ้ามาทำสิ่งใดกันที่นี่?”

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น

ชาวบ้านมากมายหันมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความตกตะลึง

พวกเขาหันกลับไปก็เห็นลู่อี้ผู้สูงใหญ่ร่างกายกำยำยืนอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยลู่เซวียนผู้ผอมบาง

“ลู่อี้กลับมาแล้ว!” เสียงปริศนาดังขึ้น “คราวนี้รวดเร็วมาก! อาการของลู่เซวียนเป็นอย่างไรบ้าง?”

ลู่เซวียนเผยสีหน้าเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

ลู่เซวียนมีร่างกายอ่อนแอ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงอาการป่วยต่อหน้าเขา เพราะจะทำให้เขาไม่พอใจ

“อารมณ์ของเด็กคนนี้ช่างแปลกประหลาด” ชายผู้หนึ่งพึมพำด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

“พวกเจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่ามาทำสิ่งใดหน้าบ้านข้า” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “มีสิ่งใดให้ดูอย่างนั้นหรือ?”

“ลู่อี้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าออกจากบ้านไปเมื่อใด แต่ภรรยาของเจ้าแปลกมาก ทุกวันนี้รถม้าของเศรษฐีวิ่งมาที่บ้านของเจ้าเป็นประจำ” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เจ้าต้องดูแลลูกสาวและลูกชายของเจ้าให้ดี ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจถูกขายและพรากไป”

“มีอีกนะ ตอนนี้ภรรยาของเจ้ายังเรียกแม่และน้องชายมาทานอาหารเย็นที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าหามาได้ก็ย่อมต้องแบ่งไปจุนเจือครอบครัวนางอีก เจ้าต้องคอยช่วยเหลือครอบครัวนางตลอดเลยหรือ? หากเป็นเช่นนั้น แม้จะคว้าภูเขาทองมาได้ก็ไม่เพียงพอสำหรับหญิงสุรุ่ยสุร่ายเช่นนางหรอก”

“ใช่แล้ว ลู่อี้ ครอบครัวของเจ้ากินเนื้ออยู่เป็นประจำ หาเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ภรรยาของเจ้าใช้จ่ายเช่นนี้ได้อย่างไร? ในหมู่บ้านของเรามีครอบครัวใดบ้างที่กินเนื้อเป็นประจำทุกวันเช่นครอบครัวเจ้า?”

“วันก่อนข้าเห็นภรรยาของเจ้าน้ำเนื้อตุ๋นไปฝากป้าเฉินซึ่งอยู่ข้างบ้าน หญิงที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ สมควรต้องจัดการสั่งสอน นางจะได้ไม่ฟุ่มเฟือยอีก”

ทุกคนต่างใช้คำพูดเพื่อวิพากษ์วิจารณ์มู่ซืออวี่ แต่สิ่งที่เหล่าบุรุษอยากจะทราบมีเพียงสิ่งเดียวคือ ‘รถม้าเป็นของผู้ใด?’

ลู่เซวียนกระวนกระวายพลางกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านไม่มีสิ่งใดจะทำแล้วหรือ? เหตุใดจึงดูสนใจเรื่องครอบครัวข้านัก?”

“เราเป็นห่วงพวกเจ้าไม่ได้หรือ?”

“เพราะพวกเราห่วงใยเจ้า! คิดว่าเราอยากให้เจ้าทำงานหนักหรือ?”

มุมปากของลู่อี้ยกยิ้ม “พวกเจ้าเป็นห่วงข้ามากสินะ เช่นนั้นพวกเจ้าคงให้ข้าหยิบยืมเงินไปซื้อยาให้ลู่เซวียนได้ …”

“เอ่อ ได้เวลาให้อาหารสุนัขที่บ้านข้าแล้ว”

“ข้าเองก็ต้องออกล่าหมูป่าแล้ว”

“ข้าลืมไปว่ายังไม่ได้เติมน้ำในโอ่ง! ข้าต้องไปแล้ว ต้องไปเติมน้ำก่อน”

ฝูงชนต่างแยกย้ายกันไป

ลู่เซวียนยืนพิงประตูพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เสียงดังจริง คนพวกนี้ไม่ทำงานทำการกันหรืออย่างไร?”

“ไปพักผ่อนก่อนเถิด” ลู่อี้ดูเหน็ดเหนื่อย

ลู่เซวียนลดกิริยาแข็งกระด้างลง เขาจ้องมองพี่ชายอย่างเป็นทุกข์ “คราวหน้าข้าจะไปรับยาด้วยตนเอง ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องตามมา”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายของเขาไม่เคยมีช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาก็ไม่อยากเป็นภาระของลู่อี้อีก

“เจ้าจะไปคนเดียวหรือ ต้องการเงินหรือไม่?” ลู่อี้อ่านแผนการและความคิดของลู่เซวียนได้อย่างรวดเร็ว “เราเป็นพี่น้องกัน อย่าเอ่ยคำใดที่ทำให้สถานการณ์ดูผิดแปลกไปเลย”

เมื่อเปิดประตูเข้ามา พวกเขาก็พลันมองเห็นมู่ซืออวี่กำลังถือเลื่อย

ครืด ครืด!

ขี้เลื่อยปลิวว่อนไปทุกที่ ลานบ้านที่เดิมทีสะอาดสะอ้าน ตอนนี้เต็มไปด้วยเศษขี้เลื่อยและเครื่องมือช่างไม้ทุกชนิด

มู่ซืออวี่ที่เหน็ดเหนื่อยจากงานช่างไม้หยุดลงชั่วคราวเพื่อพักหายใจ นางวางอุปกรณ์ในมือลง ปาดเหงื่อพลางพึมพำกับตนเอง “ต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้ หมดเรี่ยวหมดแรงอีกแล้ว”

ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมาจากบ้านพลางขยี้ตาด้วยท่าทีง่วงงุน “ท่านแม่…”

มู่ซืออวี่วิ่งเข้ามาหาลูกสาวก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงลุกจากเตียง ไหนจะออกมาด้านนอกเท้าเปล่าอีก? มีเศษหินมากมายอยู่บนพื้น เดี๋ยวก็บาดเท้าเจ้าซะหรอก”

“ข้าต้องการท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นกอดผู้เป็นแม่ไว้แน่นด้วยความรัก “ข้าฝันว่าท่านแม่จากข้าไป ท่านแม่อย่าจากไปไหนเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่ไปแน่” มู่ซืออวี่อุ้มลูกสาวเข้าไปในบ้าน “ใส่รองเท้าของเจ้าก่อน ข้าจะอุ่นอาหารเช้าให้”

แววตาของลู่อี้สว่างวาบขึ้น

นี่มันดีจริง ๆ

ในกระท่อมหลังนี้ไม่มีเด็กที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอีกต่อไป ไม่ใช่สถานที่อันน่าเบื่อหน่ายและอึดอัดใจอีกต่อไปเช่นกัน ราวกับดวงอาทิตย์แห่งวันใหม่สาดส่องมาที่นี่ ทุกอย่างดูสดใสและสบายใจขึ้นมาก

“ท่านพี่ มัวทำสิ่งใดอยู่? เหตุใดจึงไม่เข้าไปด้านใน?” เมื่อเห็นลู่อี้หยุดกะทันหัน ลู่เซวียนก็เอ่ยถามด้วยความงุนงง

“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ถามด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของลู่เซวียน นางเดินออกมาพร้อมอุ้มลู่จื่ออวิ๋นที่กำลังสวมรองเท้า

“มีอะไรให้กินหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

“มี เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ยังไม่ได้เตรียมอาหารให้พร้อม งั้นพวกเจ้ากินข้าวกันก่อนเถิด แล้วข้าจะนำบะหมี่มาให้”

ลู่อี้ไม่ปฏิเสธ

ลู่เซวียนหวนนึกถึงคำพูดของท่านหมอ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเคอะเขิน “ขอบคุณเจ้ามาก”

หมอกล่าวว่าอาการที่ดีขึ้นของเขาเพราะได้กินดีอยู่ดีในช่วงที่ผ่านมา ย่อมแสดงว่าอาหารที่นางปรุงนั้นได้ช่วยปรับสมดุลในร่างกายของเขา สิ่งนี้ลบล้างความเกลียดชังและความคับข้องใจชายหนุ่มไปบ้างแล้ว เขาจึงอยากที่จะกล่าวขอบคุณ

มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าลู่เซวียนกำลังคิดอะไร แต่นางรู้สึกได้ว่าชายคนนี้สุภาพยิ่งขึ้นหลังจากที่เดินทางกลับมา

“ท่านพ่อ” เสียงของลู่ฉาวอวี่ดังขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่ลู่อี้และลู่เซวียนเคยอาศัยอยู่

ลู่ฉาวอวี่ถือหนังสือไว้ในมือ

“อยากอ่านหรือ?” ลู่อี้ชำเลืองมอง

“อื้อ” ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย

“มีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

เด็กชายตัวน้อยค่อย ๆ เดินเข้าไปหาลู่อี้ จากนั้นจึงเปิดหน้าหนังสือขึ้นมา

ดวงอาทิตย์สาดส่องบนใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของคนทั้งคู่ พวกเขามีรอยยิ้มแบบเดียวกัน ลักษณะท่าทางและคำพูดก็คล้ายกัน การพูดคุยและปรึกษากันของทั้งสองจึงดูเป็นภาพที่น่าชื่นชมเกินกว่าจะรบกวนได้

“บ้าผู้ชาย จ้องมองมากพอแล้วหรือยัง?” ลู่เซวียนกล่าวด้วยความโกรธเคือง “หากเจ้าจ้องมองชายอื่นด้วยแววตาคลั่งไคล้เช่นนั้นก็คงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เหตุใดถึงต้องจ้องมองลูกของตนเองด้วย?”

มู่ซืออวี่หันไปมองอย่างเย็นชา “เขาเป็นลูกชายของข้า ข้ามองลูกตัวเองไม่ได้หรือ?”

“หม้อน้ำจะแห้งแล้ว ถ้าไหม้แล้วเจ้ามีเงินซื้อใหม่หรือ?” ลู่เซวียนเตือน

“จริงสิ!” มู่ซืออวี่รีบเทน้ำลงในหม้อทันที

ลู่อี้ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามอง เมื่อเห็นมู่ซืออวี่กำลังลุกลี้ลุกลน เขาก็รู้สึกว่าหญิงผู้นี้… ดูบื้ออยู่บ้าง

แต่ก็น่าเอ็นดูมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 80 น่าเอ็นดู

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 80 น่าเอ็นดู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 80 น่าเอ็นดู

บทที่ 80 น่าเอ็นดู

“ท่านลาออกจากร้านอาหารนั่นแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“ใช่แล้ว! หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีก” เฟิงเจิงยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด “ที่ผ่านมา ข้าต้องขอบคุณเจ้าของร้านอาหาร แต่เขาใจร้ายกับลู่อี้มาก”

“พี่เฟิงเจิงเป็นคนรักใครรักจริง แต่เกลียดผู้ใดก็เกลียดมากสินะ” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ท่านทำงานให้กับภัตตาคารเจียงซื่อหรือ?”

“ใช่แล้ว! นับจากนี้ข้าจะรับหน้าที่ติดต่อท่าน น้องสะใภ้ ท่านนี่ช่างมีความสามารถ ข้าไม่คิดเลยว่าหมูตุ๋นของท่านจะมีรสเลิศจนได้รับคำชื่นชมจากผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม เรามาชั่งน้ำหนักกันก่อนเถิด!”

มู่ซืออวี่ชั่งน้ำหนักสินค้าให้กับเฟิงเจิง จากนั้นจึงคำนวนและแยกบัญชีแต่ละประเภท

เฟิงเจิงจ่ายเงินก่อนจะกล่าวว่า “ช่วงนี้กิจการภัตตาคารเจียงซื่อดีขึ้นมาก ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องยอดขาย นำเงินนี้ไปใช้จุนเจือครอบครัวก่อนเถิด”

“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านมาก” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่มืดจนเกินไป เชิญท่านดื่มชาสักถ้วยก่อนเดินทางกลับเถอะ”

“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเดินทางกลับ เจ้าของร้านแจ้งว่ามีเรื่องด่วน ข้าไม่อาจอยู่นานได้ ต้องขอตัวก่อน” เฟิงเจิงเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา นี่ถือเป็นข้อดีของเขา

ครั้นเห็นว่าตระกูลลู่ที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านมีรถม้าของเศรษฐีมากมายแวะเวียนมา ชาวบ้านก็พากันเริ่มสงสัย เป็นผลให้ฝูงชนเริ่มออกมามุงดูหน้าประตูบ้าน คราวนี้ไม่ใช่เพียงสตรีเท่านั้นที่ซุบซิบนินทา แม้แต่บุรุษเองก็ตามมาด้วย

“พวกเจ้ามาทำสิ่งใดกันที่นี่?”

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น

ชาวบ้านมากมายหันมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความตกตะลึง

พวกเขาหันกลับไปก็เห็นลู่อี้ผู้สูงใหญ่ร่างกายกำยำยืนอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยลู่เซวียนผู้ผอมบาง

“ลู่อี้กลับมาแล้ว!” เสียงปริศนาดังขึ้น “คราวนี้รวดเร็วมาก! อาการของลู่เซวียนเป็นอย่างไรบ้าง?”

ลู่เซวียนเผยสีหน้าเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

ลู่เซวียนมีร่างกายอ่อนแอ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงอาการป่วยต่อหน้าเขา เพราะจะทำให้เขาไม่พอใจ

“อารมณ์ของเด็กคนนี้ช่างแปลกประหลาด” ชายผู้หนึ่งพึมพำด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

“พวกเจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่ามาทำสิ่งใดหน้าบ้านข้า” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “มีสิ่งใดให้ดูอย่างนั้นหรือ?”

“ลู่อี้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าออกจากบ้านไปเมื่อใด แต่ภรรยาของเจ้าแปลกมาก ทุกวันนี้รถม้าของเศรษฐีวิ่งมาที่บ้านของเจ้าเป็นประจำ” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เจ้าต้องดูแลลูกสาวและลูกชายของเจ้าให้ดี ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจถูกขายและพรากไป”

“มีอีกนะ ตอนนี้ภรรยาของเจ้ายังเรียกแม่และน้องชายมาทานอาหารเย็นที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าหามาได้ก็ย่อมต้องแบ่งไปจุนเจือครอบครัวนางอีก เจ้าต้องคอยช่วยเหลือครอบครัวนางตลอดเลยหรือ? หากเป็นเช่นนั้น แม้จะคว้าภูเขาทองมาได้ก็ไม่เพียงพอสำหรับหญิงสุรุ่ยสุร่ายเช่นนางหรอก”

“ใช่แล้ว ลู่อี้ ครอบครัวของเจ้ากินเนื้ออยู่เป็นประจำ หาเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ภรรยาของเจ้าใช้จ่ายเช่นนี้ได้อย่างไร? ในหมู่บ้านของเรามีครอบครัวใดบ้างที่กินเนื้อเป็นประจำทุกวันเช่นครอบครัวเจ้า?”

“วันก่อนข้าเห็นภรรยาของเจ้าน้ำเนื้อตุ๋นไปฝากป้าเฉินซึ่งอยู่ข้างบ้าน หญิงที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ สมควรต้องจัดการสั่งสอน นางจะได้ไม่ฟุ่มเฟือยอีก”

ทุกคนต่างใช้คำพูดเพื่อวิพากษ์วิจารณ์มู่ซืออวี่ แต่สิ่งที่เหล่าบุรุษอยากจะทราบมีเพียงสิ่งเดียวคือ ‘รถม้าเป็นของผู้ใด?’

ลู่เซวียนกระวนกระวายพลางกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านไม่มีสิ่งใดจะทำแล้วหรือ? เหตุใดจึงดูสนใจเรื่องครอบครัวข้านัก?”

“เราเป็นห่วงพวกเจ้าไม่ได้หรือ?”

“เพราะพวกเราห่วงใยเจ้า! คิดว่าเราอยากให้เจ้าทำงานหนักหรือ?”

มุมปากของลู่อี้ยกยิ้ม “พวกเจ้าเป็นห่วงข้ามากสินะ เช่นนั้นพวกเจ้าคงให้ข้าหยิบยืมเงินไปซื้อยาให้ลู่เซวียนได้ …”

“เอ่อ ได้เวลาให้อาหารสุนัขที่บ้านข้าแล้ว”

“ข้าเองก็ต้องออกล่าหมูป่าแล้ว”

“ข้าลืมไปว่ายังไม่ได้เติมน้ำในโอ่ง! ข้าต้องไปแล้ว ต้องไปเติมน้ำก่อน”

ฝูงชนต่างแยกย้ายกันไป

ลู่เซวียนยืนพิงประตูพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เสียงดังจริง คนพวกนี้ไม่ทำงานทำการกันหรืออย่างไร?”

“ไปพักผ่อนก่อนเถิด” ลู่อี้ดูเหน็ดเหนื่อย

ลู่เซวียนลดกิริยาแข็งกระด้างลง เขาจ้องมองพี่ชายอย่างเป็นทุกข์ “คราวหน้าข้าจะไปรับยาด้วยตนเอง ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องตามมา”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายของเขาไม่เคยมีช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาก็ไม่อยากเป็นภาระของลู่อี้อีก

“เจ้าจะไปคนเดียวหรือ ต้องการเงินหรือไม่?” ลู่อี้อ่านแผนการและความคิดของลู่เซวียนได้อย่างรวดเร็ว “เราเป็นพี่น้องกัน อย่าเอ่ยคำใดที่ทำให้สถานการณ์ดูผิดแปลกไปเลย”

เมื่อเปิดประตูเข้ามา พวกเขาก็พลันมองเห็นมู่ซืออวี่กำลังถือเลื่อย

ครืด ครืด!

ขี้เลื่อยปลิวว่อนไปทุกที่ ลานบ้านที่เดิมทีสะอาดสะอ้าน ตอนนี้เต็มไปด้วยเศษขี้เลื่อยและเครื่องมือช่างไม้ทุกชนิด

มู่ซืออวี่ที่เหน็ดเหนื่อยจากงานช่างไม้หยุดลงชั่วคราวเพื่อพักหายใจ นางวางอุปกรณ์ในมือลง ปาดเหงื่อพลางพึมพำกับตนเอง “ต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้ หมดเรี่ยวหมดแรงอีกแล้ว”

ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมาจากบ้านพลางขยี้ตาด้วยท่าทีง่วงงุน “ท่านแม่…”

มู่ซืออวี่วิ่งเข้ามาหาลูกสาวก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงลุกจากเตียง ไหนจะออกมาด้านนอกเท้าเปล่าอีก? มีเศษหินมากมายอยู่บนพื้น เดี๋ยวก็บาดเท้าเจ้าซะหรอก”

“ข้าต้องการท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นกอดผู้เป็นแม่ไว้แน่นด้วยความรัก “ข้าฝันว่าท่านแม่จากข้าไป ท่านแม่อย่าจากไปไหนเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่ไปแน่” มู่ซืออวี่อุ้มลูกสาวเข้าไปในบ้าน “ใส่รองเท้าของเจ้าก่อน ข้าจะอุ่นอาหารเช้าให้”

แววตาของลู่อี้สว่างวาบขึ้น

นี่มันดีจริง ๆ

ในกระท่อมหลังนี้ไม่มีเด็กที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอีกต่อไป ไม่ใช่สถานที่อันน่าเบื่อหน่ายและอึดอัดใจอีกต่อไปเช่นกัน ราวกับดวงอาทิตย์แห่งวันใหม่สาดส่องมาที่นี่ ทุกอย่างดูสดใสและสบายใจขึ้นมาก

“ท่านพี่ มัวทำสิ่งใดอยู่? เหตุใดจึงไม่เข้าไปด้านใน?” เมื่อเห็นลู่อี้หยุดกะทันหัน ลู่เซวียนก็เอ่ยถามด้วยความงุนงง

“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ถามด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของลู่เซวียน นางเดินออกมาพร้อมอุ้มลู่จื่ออวิ๋นที่กำลังสวมรองเท้า

“มีอะไรให้กินหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

“มี เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ยังไม่ได้เตรียมอาหารให้พร้อม งั้นพวกเจ้ากินข้าวกันก่อนเถิด แล้วข้าจะนำบะหมี่มาให้”

ลู่อี้ไม่ปฏิเสธ

ลู่เซวียนหวนนึกถึงคำพูดของท่านหมอ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเคอะเขิน “ขอบคุณเจ้ามาก”

หมอกล่าวว่าอาการที่ดีขึ้นของเขาเพราะได้กินดีอยู่ดีในช่วงที่ผ่านมา ย่อมแสดงว่าอาหารที่นางปรุงนั้นได้ช่วยปรับสมดุลในร่างกายของเขา สิ่งนี้ลบล้างความเกลียดชังและความคับข้องใจชายหนุ่มไปบ้างแล้ว เขาจึงอยากที่จะกล่าวขอบคุณ

มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าลู่เซวียนกำลังคิดอะไร แต่นางรู้สึกได้ว่าชายคนนี้สุภาพยิ่งขึ้นหลังจากที่เดินทางกลับมา

“ท่านพ่อ” เสียงของลู่ฉาวอวี่ดังขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่ลู่อี้และลู่เซวียนเคยอาศัยอยู่

ลู่ฉาวอวี่ถือหนังสือไว้ในมือ

“อยากอ่านหรือ?” ลู่อี้ชำเลืองมอง

“อื้อ” ลู่ฉาวอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย

“มีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

เด็กชายตัวน้อยค่อย ๆ เดินเข้าไปหาลู่อี้ จากนั้นจึงเปิดหน้าหนังสือขึ้นมา

ดวงอาทิตย์สาดส่องบนใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของคนทั้งคู่ พวกเขามีรอยยิ้มแบบเดียวกัน ลักษณะท่าทางและคำพูดก็คล้ายกัน การพูดคุยและปรึกษากันของทั้งสองจึงดูเป็นภาพที่น่าชื่นชมเกินกว่าจะรบกวนได้

“บ้าผู้ชาย จ้องมองมากพอแล้วหรือยัง?” ลู่เซวียนกล่าวด้วยความโกรธเคือง “หากเจ้าจ้องมองชายอื่นด้วยแววตาคลั่งไคล้เช่นนั้นก็คงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เหตุใดถึงต้องจ้องมองลูกของตนเองด้วย?”

มู่ซืออวี่หันไปมองอย่างเย็นชา “เขาเป็นลูกชายของข้า ข้ามองลูกตัวเองไม่ได้หรือ?”

“หม้อน้ำจะแห้งแล้ว ถ้าไหม้แล้วเจ้ามีเงินซื้อใหม่หรือ?” ลู่เซวียนเตือน

“จริงสิ!” มู่ซืออวี่รีบเทน้ำลงในหม้อทันที

ลู่อี้ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามอง เมื่อเห็นมู่ซืออวี่กำลังลุกลี้ลุกลน เขาก็รู้สึกว่าหญิงผู้นี้… ดูบื้ออยู่บ้าง

แต่ก็น่าเอ็นดูมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+