สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 609 มีคนลอบวางเพลิง

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 609 มีคนลอบวางเพลิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 609 มีคนลอบวางเพลิง

บทที่ 609 มีคนลอบวางเพลิง

ความโกรธกริ้วบนพระพักตร์ของไทเฮาเลือนหายไปทันที

นางมองมู่ซืออวี่ด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เนื้อทองหรือ?”

“เพคะ”

“กรมพระคลังจะใช้จ่ายเงินมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร?”

ผู้ใดบ้างไม่อยากสร้างสิ่งที่ตนชอบให้ยิ่งใหญ่ ทว่าเงินในท้องพระคลังไม่ใช่สิ่งที่นางใช้ได้ตามอัธยาศัย หากขอให้นางนำเงินส่วนตัวออกมา ร้อยทั้งร้อยไทเฮาย่อมไม่พอใจอย่างแน่นอน

“บางทีกรมพระคลัง…” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “ทว่าไทเฮา หม่อมฉันยินดีมอบเงินจำนวนนี้ออกมา”

“หืม? นี่ไม่ใช่เงินจำนวนเพียงเล็กน้อย” ไทเฮามองมู่ซืออวี่ด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฮูหยินลู่หลั่งโลหิตไปมากเพียงนี้ อายเจียรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง”

“ไทเฮาเปรียบเสมือนพระมารดาของทั้งใต้หล้า หม่อมฉันก็เป็นคนของพระองค์เช่นกัน การทำทุกอย่างเพื่อพระองค์เป็นสิ่งที่พึงกระทำ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “หากไทเฮารู้สึกไม่สบายพระทัย ไม่สู้มอบรางวัลให้หม่อมฉันเป็นป้ายหนึ่ง ข้างบนเขียนคำว่า ‘บ้านผู้มีเมตตาธรรม’ ดีหรือไม่เพคะ?”

เมื่อถึงตอนนั้น หากปิดป้ายนี้ไว้ในรีสอร์ตก็จะกลายเป็นจุดชมวิว อีกทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือนให้ได้อีกด้วย

อย่างไรเสียในยุคนี้ สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่หวาดกลัวและเคารพโดยจิตใต้สำนึกคือราชวงศ์ หากสกุลใดได้รับพระราชทานรางวัล บรรพบุรุษหลายชั่วคนล้วนได้อาบแสงเรืองรองตามไปด้วย

“เจ้าช่างสมกับเป็นผู้ทำการค้าจริง ๆ” ไทเฮาตรัส “เช่นนั้น อายเจียจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา”

เรื่องไฟไหม้โถงพระจึงจบลงเช่นนี้

เรื่องราวจบลงอย่างง่ายดาย ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบ่าวรับใช้ของกรมวังที่คุกเข่าตัวสั่นเทิ้มอยู่นี้ไม่อยากเชื่อ เพราะแม้แต่หยางมามาที่อยู่ข้างกายไทเฮายังรู้สึกราวกับว่านางกำลังฝันไป

หลังออกมาจากพระตำหนักไทเฮาแล้ว มู่ซืออวี่จัดเตรียมให้บ่าวรับใช้ของกรมวังทำงานต่อไป

“ของที่ถูกเผาเหล่านั้นโยนทิ้งไปให้หมด ของที่พวกเราจัดเตรียมไว้ก่อนหน้านั้นล้วนใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เราต้องจัดการเก็บกวาดตำหนักบริเวณด้านหลังเสียก่อน ฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนแบบใหม่” มู่ซืออวี่เอ่ย “ก่อนอื่นพวกท่านต้องจัดเตรียมวัสดุตามที่ข้าต้องการ หากเงินไม่เพียงพอ เพียงแค่มาหาสาวใช้ของข้า นอกจากนั้น หากจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นไปด้วยดี พวกท่านแต่ละคนจะได้รับการตกรางวัลอย่างงาม”

“ฮูหยินลู่ พวกเราล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของกรมวัง พระราชวังมอบเงินเดือนให้เราทุกเดือนอยู่แล้ว” ขันทีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความกระดากอาย

“ที่พระราชวังมอบให้ก็ส่วนพระราชวังมอบให้ ที่ข้ามอบให้ก็ส่วนที่ข้ามอบให้ วางใจเถิด เรื่องเช่นนี้หากพวกท่านไม่พูด ข้าไม่พูด ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ เรื่องในครั้งนี้ลำบากยากเย็นยิ่งนัก นอกจากนี้พวกท่านติดตามข้าจึงได้รับความตระหนกตกใจ ดังนั้นข้าย่อมไม่อาจให้พวกท่านทำงานเปล่า ๆ ได้ นับตั้งแต่เมื่อก่อนจนกระทั่งบัดนี้ไม่มีผู้ใดติดตามข้าแล้วไม่ได้รับรางวัลตอบแทน วางใจเถอะ!”

ในพระราชวังแห่งนี้ ทุกคนล้วนมีความคิดแตกต่างกันออกไป แม้จะเห็นคนเหล่านี้แต่ละคนล้วนมีใบหน้าซื่อสัตย์ ก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามีคนประเภทใดซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าใสซื่อเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนประเภทใด ขอแค่เพียงยังมีจุดอ่อน ย่อมสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ อีกทั้งนางยังสามารถใช้ประโยชน์จากตนเองที่ไม่ใช่เพียงฮูหยินผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ แต่ยังมีฐานะเป็นถึงนิ้วทองคำของเทพแห่งความมั่งคั่งได้ด้วย

ผู้ใดไม่ชอบเทพแห่งความมั่งคั่งเล่า?

อย่างไรเสียนางก็ชอบความร่ำรวยแล้วคนหนึ่ง

“ฮูหยิน ท่านดูนี่…” ฉานอีส่งตะเกียงน้ำมันให้มู่ซืออวี่ “ข้าเจอมันอยู่ข้างใน กลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ผู้ใดจะจุดตะเกียงกัน?”

“เมื่อครู่มีผู้ใดอยู่ในนั้นบ้าง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“พวกบ่าวล้วนแต่สนใจฮูหยิน นอกจากจดจ่ออยู่กับฮูหยินแล้ว ไม่ทันได้สนใจว่าผู้ใดเข้าไปในโถงพระเลยเจ้าค่ะ”

อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็วุ่นวายอลหม่าน มีผู้คนเข้า ๆ ออก ๆ เต็มไปหมด จะไปสนใจผู้คนมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร?

“มีคนจงใจวางเพลิง คงอยากเห็นพวกเราถูกไทเฮากริ้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ฉานอี เจ้าเป็นคนถี่ถ้วน ระยะนี้เจ้าคอยจับตาดูคนรอบกายข้า ซางจือเจ้ารั้งอยู่ข้างกายคอยปกป้องข้า แบ่งงานในการร่วมมือกันเช่นนี้ พวกเจ้าจะได้ไม่มุ่งความสนใจมาที่ข้าทั้งหมด แล้วปล่อยให้ผู้ร้ายฉวยโอกาสเอาได้”

“เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเอ๋อร์วิ่งเข้ามาจากด้านนอก

“ฮูหยินเจ้าคะ ตำหนักด้านข้างแตะต้องไม่ได้นะเจ้าคะ”

“เพราะเหตุใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

“ตำหนักด้านข้างมีผีสิงเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร์กล่าว “ดึกสงัดในทุกคืนมักจะได้ยินเสียงร้องไห้ลอยออกมาจากตำหนักร้างข้าง ๆ นั่น ได้ยินว่าเป็นเช่นนั้นมายี่สิบสองปีแล้ว”

“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”

“เคยได้ยินเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า

“หากเป็นผีจริง ๆ เมื่อครู่ตอนที่ข้าขอไทเฮาเปิดตำหนักร้างข้าง ๆ ไยพระนางไม่ได้ห้ามปรามข้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “หมายความว่าไทเฮาเชื่อในพระพุทธศาสนา ไม่เชื่อเรื่องผีสาง”

“ฮูหยิน…” เสี่ยวเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “จริงอยู่ว่าไทเฮาไม่ได้กลัวผีนี้ แต่คนในวังธรรมดา ๆ อย่างพวกเรากลัวนะเจ้าคะ!”

มู่ซืออวี่หันไปมองเหล่าบ่าวรับใช้ในกรมวัง

พวกเขาราวกับลังเลที่จะกล่าว ดูเหมือนคงไม่กล้าแตะต้องตำหนักข้าง ๆ เช่นกัน

ทว่านางได้เอ่ยปากไปแล้ว หากนางกลับคำพูดในเวลาเช่นนี้ ย่อมไม่อาจอธิบายต่อไทเฮาได้

“หากมีผีอยู่จริง พวกเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ? อีกอย่าง ถึงแม้จะเป็นผี คงเป็นผีน้อยที่ไม่อาจก่อคลื่นลมใหญ่โตอันใดได้ ไม่เช่นนั้นผ่านมาหลายปีเพียงนี้ เหตุใดยังเอาแต่ร้องไห้ ไม่เห็นเงาของเขาแม้แต่น้อย ข้าไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี คิดว่าคงเป็นเสียงสะท้อนของโครงสร้างตำหนักด้านข้างมากกว่า เอาอย่างนี้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูเอง”

“พวกเราไม่ไป!”

“คนที่ยินดีไปกับข้า จะได้รับคนละห้าตำลึงเงิน”

ด้วยรางวัลมากเพียงนี้ต้องมีคนกล้าอย่างแน่นอน

นั่นปะไร บ่าวรับใช้ในวังคนหนึ่งลุกขึ้นมาเป็นคนแรกทันที

“ตายก็ตาย! เพียงหวังว่าหลังจากข้าตายไป ฮูหยินจะรักษาสัญญาและส่งเงินให้กับน้องสาวข้าด้วย นางแต่งงานให้กับบุรุษต่ำทรามผู้หนึ่ง ทั้งวันเขาเอาแต่ทุบตีดุด่านาง”

“วางใจ เจ้าจะไม่ตาย แต่ข้าจะมอบเงินให้เจ้าแน่นอน ยังมีอีกหรือไม่? หากไม่มี ข้าจะพาถังฝูไปดูก่อนแล้ว”

“ข้ายินดีไป อย่างที่ถังฝูพูด ตายก็ตาย เพียงแค่ส่งเงินไปให้แม่ชราของข้าก็พอ ตอนนั้นครอบครัวของข้ายากจน ข้าจึงมาเป็นขันทีโดยปิดบังนาง นางเกือบแขวนคอตายเมื่อรู้เรื่องนี้ ข้าร้องไห้ขอร้องอ้อนวอน นางจึงรอดมาได้ ข้าเป็นลูกอกตัญญู รู้สึกผิดต่อมารดายิ่ง ทว่าร่างกายของข้าอ่อนแอ ไม่อาจแม้แต่ยกมือหรือไหล่ได้ ในเวลานั้นนอกจากการเป็นขันทีก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

มู่ซืออวี่ฟังประสบการณ์ชีวิตอันน่าเศร้าของแต่ละคน ราวกับพวกเขากำลังเอ่ยถ้อยคำสั่งเสีย นางไม่รู้ว่าควรสะเทือนใจหรืองุนงงดี

“เอาละ ไปกันเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากวันนี้พวกท่านโดนผีจับตัวไปจริง ๆ ข้าจะมอบเงินให้ครอบครัวพวกท่านเป็นสิบเท่าเลย”

เพราะได้รับกำลังใจจากรางวัลอันใจกว้างของมู่ซืออวี่ คนทั้งกลุ่มจึงเดินตามไปยังตำหนักที่อยู่ด้านข้าง

“ที่นี่… ใหญ่มากเลย!

“ข้าได้ยินว่าที่นี่เคยเป็นพระตำหนักของพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานผู้หนึ่ง”

“สนมคนโปรดอันใดกัน ถึงกับมาอยู่ข้าง ๆ ไทเฮาได้”

“ตอนนี้ไม่กลัวผีแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยกับบ่าวรับใช้ในวังที่อยู่ข้างหลังนาง ขณะที่สายตาสอดส่ายดูบริเวณโดยรอบ “วางใจ พวกท่านขี้กลัวเพียงนี้ หากมีผีจริง ๆ เมื่อครู่คงจับตัวพวกท่านไปแล้ว”

“ฮูหยิน ที่นี่ดูเหมือนไม่มีผีจริง ๆ” ถังฝูเอ่ย “เช่นนั้นท่านคิดว่าเหตุใดจึงได้ยินเสียงร้องไห้ได้เล่า?”

“มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า…” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพราะไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่นานเกินไป จึงมีนางกำนัลในวังที่ได้รับความไม่เป็นธรรมบางคนชอบมาแอบร้องไห้?”

“ที่นี่อยู่ข้างหลังพระตำหนักไทเฮา คงไม่ใช่กระมัง?” ฉานอีเอ่ย “บางทีอาจเป็นเสียงลม! ทางเดินที่ทอดยาวเช่นนี้ หากมีลมพัดก็จะมีเสียงก้องเหมือนเสียงร้องไห้ขึ้นมา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด