สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 706 เดินทางไปด้วยกัน

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 706 เดินทางไปด้วยกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 706 เดินทางไปด้วยกัน

บทที่ 706 เดินทางไปด้วยกัน

เซี่ยเฉิงจิ่นมองรอยยิ้มร่าเริงแจ่มใสของลู่จื่ออวิ๋น สายตาของเขาอ่อนโยนลง

ท่านแม่เคยบอกไว้ว่าหากวันใดวันหนึ่ง เขาพบสตรีที่เขาอยากเห็นเพียงรอยยิ้มของนาง สตรีที่ไม่อยากเห็นนางร้องไห้ ยามท่องเขาลำเนาไพรก็อยากแบ่งปันเรื่องราวร่วมกันกับนาง ยามได้ทานอาหารรสเลิศก็อยากแบ่งปันกับนาง ยามมองไม่เห็นนาง ภายในใจก็รู้สึกว่างเปล่า นั่นเรียกว่าความรัก

เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจึงชอบสาวน้อยคนนี้

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เขาเพียงคิดว่าสาวน้อยคนนี้ช่างมีหน้าตางดงามจริง ๆ ดวงตาของนางเป็นประกาย ไม่ได้ดูเฉยชาอย่างคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั่วไป

ภายหลังเขาพบว่าสาวน้อยคนนี้นิสัยไม่ดีเอาเสียเลย สตรีที่เขาเคยพบก่อนหน้าไม่เคยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างที่นางเป็น นางทั้งไม่เกรงกลัวเขา ทั้งไม่ได้ตามตอแยเขา มีเพียงนางที่ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย

บางทีนับตั้งแต่เขาสนใจสาวน้อยผู้นั้น หัวใจของเขาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ดูสิ มาตกอยู่ในกำมือของนางง่ายดายเช่นนี้ แม้กระทั่งเรื่องทางอาณาจักรเฟิ่งหลินยังเลื่อนออกไปแล้วออกไปอีก นี่ไม่เหมือนตัวเขาแม้แต่น้อย

เซี่ยเฉิงจิ่นยกโจ๊กที่เพิ่งทำเสร็จไปให้ลู่จื่ออวิ๋น

ลู่จื่ออวิ๋นและติงเซียงเล่นกันอย่างสนุกสนาน เสื้อผ้าเปียกไปทั่วทั้งตัวจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมา

“ขอบคุณ”

“ตามแผนการเดินทาง หากพวกเราทานข้าวเสร็จแล้วรีบเดินทาง คืนนี้จะไปถึงเมืองเหอผิง ที่นั่นมีโรงเตี๊ยม ไม่จำเป็นต้องนอนกลางป่าแล้ว”

“พวกท่านไปก่อนเถอะ พวกเราจะไปทีหลัง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าพวกเราไม่สะดวกร่วมทางด้วยกัน”

เซี่ยเฉิงจิ่น “…”

สาวน้อยคนนี้ช่างจำฝังใจจริง ๆ

“ถึงแม้คนของข้าจะได้รับการถอนพิษแล้ว พวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บ หากพบคนลอบสังหารอีกครั้ง พวกเขาอาจจะตอบโต้ไม่ได้ พวกเรายังต้องการให้คุณหนูลู่คุ้มครองระหว่างทาง คุณหนูลู่ได้โปรดร่วมทางกับเราด้วย เช่นนี้พวกเราจะได้ปลอดภัย”

ลู่จื่ออวิ๋นตอบด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ข้าจะลองคิดดูก็แล้วกัน!”

ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะคิกคัก

เซี่ยเฉิงจิ่นแสดงสีหน้านอบน้อมจริงใจออกมา “คุณหนูลู่ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ! ข้าจะกลับไปอาณาจักรเฟิ่งหลินอย่างมีชีวิตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าครั้งนี้คุณหนูลู่จะช่วยข้าหรือไม่แล้ว”

“ในเมื่อท่านจริงใจเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะจำใจช่วยท่านสักครั้งก็แล้วกัน”

“ขอบคุณ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง!”

หลังจากทานอาหารเช้า ทุกคนจึงออกเดินทาง

ขณะที่ติงเซียงกำลังจะขึ้นรถม้า นางก็ถูกคนคว้าเสื้อเอาไว้

“คิดจะทำอะไร?!” นางถูกดึงลงมาแล้ว

ผู้ที่ดึงนางเป็นคนของเซี่ยเฉิงจิ่น

“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว ขบวนของเราไม่มีรถม้า ทำได้เพียงรบกวนคุณหนูลู่สักครั้งแล้ว รบกวนคุณหนูลู่ได้โปรดให้ท่านอ๋องของเรานั่งรถม้าร่วมกันด้วย”

“นี่ไม่ค่อยดีกระมัง?” ติงเซียงเอ่ย “บุรุษกับสตรี…”

“ที่นี่ไม่มีผู้อื่น ไม่มีผู้ใดรู้” ลูกน้องคนนั้นเอ่ย “คุณหนูลู่ได้โปรดอำนวยความสะดวกด้วยเถิด”

ลู่จื่ออวิ๋นเปิดผ้าม่านออก “ให้ท่านอ๋องของพวกท่านมาขอเอง”

เซี่ยเฉิงจิ่นเดินออกมาจากด้านหลังและขึ้นรถม้าไปทันที

ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ข้ายังไม่ได้รับปากเลยนะ”

“ข้าได้รับบาดเจ็บแล้ว” เซี่ยเฉิงจิ่นเอนตัวพิงผนังด้วยท่าทีอ่อนแรง “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ช่วยข้าด้วยเถิด!”

“อย่าแม้แต่คิดจะหลอกข้า เมื่อคืนท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ”

“ผู้ใดบอกว่าข้าได้รับบาดเจ็บเมื่อคืน? ข้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้”

ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้วน้อย ๆ “เหตุใดถึงได้บาดเจ็บเมื่อครู่นี้? หรือว่าเมื่อครู่นี้มีนักฆ่าหรือ?”

แต่นางไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

เซี่ยเฉิงจิ่นยื่นมือออกมา เผยให้เห็นรอยแผลเล็ก ๆ บนนิ้ว รอยแผลนั้นดูเหมือนถูกใบไผ่ที่แหลมคมกรีดเอา ไม่มีแม้กระทั่งเลือดไหลออกมาด้วยซ้ำ

“บาดแผลร้ายแรงเพียงนี้ หากไม่รีบขึ้นมาพักผ่อนบนรถม้า เกรงว่าจะไม่หายแล้ว”

สิ้นคำ ลู่จื่ออวิ๋นก็ตบลงบนหลังมือเขาหนึ่งที

เซี่ยเฉิงจิ่นนอนพิงอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน เอ่ยกับผู้ติดตามที่อยู่ด้านนอก “ออกเดินทาง!”

ติงเซียงไม่พอใจนัก ทว่าคุณหนูของนางไม่ได้ปฏิเสธ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ด้านนอกรถม้า

เซี่ยเฉิงจิ่นมองลู่จื่ออวิ๋น สายตาเขาลุ่มลึกขึ้นเรื่อย ๆ

“หากท่านไม่อยากพักผ่อน เช่นนั้นก็ลงจากรถม้า เหตุใดต้องจ้องข้าด้วย?” นางรู้สึกแปลก ๆ แม้กระทั่งมือยังไม่รู้ว่าควรเอาไปวางไว้ที่ใดแล้ว”

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นเจ้าตามข้าไปอาณาจักรเฟิ่งหลินเถอะ!”

เขาไม่อยากปล่อยนางไปเลยจริง ๆ

แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวก็ไม่อยากปล่อยไป…

เขาอยากพานางไปจริง ๆ พานางไปแต่งงานที่อาณาจักรเฟิ่งหลิน เปลี่ยนนางให้เป็นภรรยาของตน นับตั้งแต่นี้ต่อไปเขาจะได้เห็นนางอยู่ในสายตาตลอดเวลา

“อาณาจักรเฟิ่งหลินคิดจะจุดชวนสงครามหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ถึงแม้บิดาข้าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ข้ามั่นใจว่าเขาจะเป็นคนนำทัพไปรบอย่างแน่นอน อาณาจักรเฟิ่งหลินของท่านเกรงว่าจะไม่มีโอกาสชนะ และยังมีพี่ชายผู้นั้นของข้า…”

พี่ชายที่ฉลาดหลักแหลมยิ่ง

หากนางถูกพาไปอาณาจักรเฟิ่งหลิน เกรงว่าเซี่ยเฉิงจิ่นจะรนหาที่ตายแล้ว

“ข้าก็กล้าเพียงแค่เอ่ย” เซี่ยเฉิงจิ่นพึมพำ “ท่านพ่อตากับพี่ภรรยาล้วนจัดการยากถึงเพียงนั้น ภายหน้าคิดจะไปรับตัวเจ้าสาวยังยากยิ่ง!”

“ท่านพูดอะไร?”

“ไม่มีอะไร” เซี่ยเฉิงจิ่นแย้มยิ้มบาง ๆ

“ข้าเห็นแผนที่อาณาจักรเฟิ่งหลินแล้ว พวกท่านทางนั้นมีทะเลเชื่อมต่อกับเมืองซานหลิน หากมีโอกาสเปิดน่านน้ำให้ทั้งสองอาณาจักรค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เรื่องนี้ก็นับว่าดีต่อราษฎรเป็นอย่างยิ่ง”

“ดี”

หากทะเลเชื่อมต่อกัน เขาก็จะสามารถมาจากอาณาจักรเฟิ่งหลินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากนั้นก็จะได้พบนางเร็วขึ้นกว่าเดิมแล้ว

ลู่จื่ออวิ๋นหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่าน

เมื่อเซี่ยเฉิงจิ่นเห็นว่านางอ่านอย่างจริงจังเพียงนั้นก็คิดจะฉวยหนังสือมาจากนาง ให้นางได้มองเขามากขึ้นอีกหน่อย

หนังสือนั่นมีอะไรกัน?

เขาไม่น่ามองหรือ?

ตกกลางคืน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเหอผิงจึงเข้าพักที่นั่น

ในเมืองเหอผิงมีโรงเตี๊ยมเพียงสองแห่ง พวกเขาได้จองห้องทั้งหมดที่มีแล้ว ทว่ายังไม่เพียงพอต่อคนมากมายเพียงนั้น

ลู่จื่ออวิ๋นจึงให้คนของนางไปพักที่บ้านของชาวเมือง แน่นอนว่าต้องจ่ายเงิน

เมื่อจัดการที่ทางให้ลูกน้องเสร็จสิ้น ฟ้าก็มืดลงแล้ว

“ติงเซียง เจ้าไปสอบถามเถ้าแก่ที่นี่หน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ เหตุใดบรรยากาศจึงแปลก ๆ เช่นนี้”

ติงเซียงรีบไปทำตามคำสั่งทันที

ไม่นานหลังจากนั้น นางก็กลับมารายงานสถานการณ์

“เมืองเหอผิงแห่งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนกว่าสิบคนตายในระยะเวลาติด ๆ กันเลยเจ้าค่ะ”

“คนตายหรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ ว่ากันว่าจู่ ๆ ก็ตายโดยไม่ทราบสาเหตุเจ้าค่ะ ตอนนี้ทุกคนล้วนหวาดกลัว ดังนั้นเมืองถึงไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้เจ้าค่ะ”

“เหตุใดข้าจึงสังหรณ์ใจขึ้นมา?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เหตุใดถึงได้มีคนตายโดยไม่ทราบสาเหตุมากมายเพียงนั้น?”

“ข้าจะพาคนไปสอบถามนายอำเภอท้องที่ดู” เซี่ยเฉิงจิ่นลุกขึ้นยืน

“ท่านเป็นท่านอ๋องอาณาจักรเฟิ่งหลิน ไม่ใช่ท่านอ๋องของที่นี่ อยู่ที่นี่ตัวตนของข้าดีกว่าตัวตนของท่าน อย่าลืมว่าข้ายังมีป้ายที่ฝ่าบาทประทานให้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ให้ข้าไปด้วยกันกับท่านเถอะ!”

ทั้งสองคนมาถึงประตูศาลาว่าการ จากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาประตูก็เข้าไปรายงาน

นายอำเภอรีบรุดออกมาแล้วเอ่ยกับพวกเขาทั้งคู่ “ไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์จะมาเยือนจึงไม่ได้ออกมาต้อนรับหน้าประตู ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

“ใต้เท้า ถ้อยคำเกรงใจเหล่านั้นไม่ต้องเอ่ยแล้ว พวกเรามาครั้งนี้เพื่อมาสอบถามเรื่องที่ชาวเมืองเหอผิงตายอย่างกะทันหันมากกว่าสิบคน คนเหล่านั้นตายได้อย่างไรหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นนำแผ่นป้ายออกมา

ขั้นขุนนางของนายอำเภอไม่สูงนัก ทว่ายังคงรู้จักลวดลายมังกรบนนั้นเป็นอย่างดี ผนวกกับความจริงที่ว่ากลิ่นอายของสองคนนี้ไม่ธรรมดา ดูไม่เหมือนคนทั่วไป เขาพลันกลัวจนตัวสั่นยิ่งกว่าเดิมแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด