สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 773 เปิดฉากสงครามอีกครั้ง

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 773 เปิดฉากสงครามอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 773 เปิดฉากสงครามอีกครั้ง

บทที่ 773 เปิดฉากสงครามอีกครั้ง

ทัพกบฏกำลังมาแล้ว

พวกเขานำทหารมาก่อนหนึ่งหมื่นคน การบุกโจมตีของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าทัพโจวเสียงเฟยมาก อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขาร้ายกาจยิ่งกว่า

สำหรับการไต่กำแพงเมือง รอกนั้นทำให้ทหารไต่ขึ้นมาบนกำแพงได้เร็วยิ่งกว่าเดิมจึงจัดการได้ยากยิ่ง

อีกทั้งยังมีเครื่องเหวี่ยงหิน มันขว้างก้อนหินได้หลายก้อนในเวลาเดียวกัน และยังบรรจุหินได้ง่ายยิ่งกว่า

นอกจากนี้ยังมีลูกธนู ลูกธนูมีระยะยิงที่ไกลกว่าเดิม ทหารบนกำแพงเมืองจึงถูกยิงไปจำนวนมาก หลังสงครามเริ่มขึ้นได้ไม่นาน เมืองฮู่เป่ยก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเหนือกว่าอีกเลย

พวกเขาใช้กลไกที่จัดการกับกองทัพของโจวเสียงเฟยก่อนหน้านี้ ทว่าทหารที่มาใหม่ดูเหมือนจะเพิ่มความระมัดระวังขึ้น เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ป้องกันการกัดกร่อน อีกทั้งแต่ละคนยังสวมเกราะป้องกัน แม้เกราะป้องกันนั้นจะทำจากแผ่นเหล็ก แต่นี่ก็เพียงพอที่จะช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้แล้ว

เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ ศึกนี้รับมือยากเป็นพิเศษ ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะมองกลยุทธ์ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังมีการเตรียมการรับมือมาล่วงหน้า

“อาจารย์…” หลี่กู่หยวนหันไปมองมู่ซืออวี่ “ถึงตอนนี้แล้ว อย่าได้ยื้อเวลาอีกต่อไปเลยนะขอรับ”

“ใช้มันเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย

“ข้าจะไปสั่งการประเดี๋ยวนี้”

เสียงระฆังดังก้องท้องฟ้าเหนือเมืองฮู่เป่ย

ชาวบ้านโผล่ออกมาจากบ้านแต่ละหลัง สีหน้าของพวกเขาขึงขัง ราวกับได้รับสัญญาณบางอย่าง พวกเขาหยิบถังน้ำออกมาแล้วรออยู่ตรงนั้น

ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข็นรถเข็นผ่านมา บรรทุกถังทั้งหมดใส่รถเข็นแล้วจากไป

ชาวบ้านทุกคนล้วนลำเลียงถังน้ำออกมาไม่ขาดสาย

ทหารที่ผ่านมาก็เคลื่อนย้ายถังน้ำไปด้วย

บนกำแพงเมืองฮู่เป่ย ทหารเทของที่อยู่ในถังน้ำลงไปยังทัพฝ่ายศัตรูที่กำลังโจมตีเมือง

“อ๊ากกกก”

“อ๊ากกกกกก”

พอถูกน้ำที่กำลังเดือดราดลงมาเช่นนี้ ทหารฝ่ายศัตรูต่างก็ร้องดังลั่นประหนึ่งหมูถูกเชือด

บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้มู่ซืออวี่ลังเลไปชั่วขณะ!

เหตุการณ์เช่นนี้ จริง ๆ แล้วช่าง…

โหดร้ายเกินไป

“นายท่าน ไม่ได้การแล้ว!” รองแม่ทัพเอ่ยกับเซียวหลี “คนในเมืองฮู่เป่ยโหดร้ายเกินไป ทหารของเราทนไม่ได้แล้วนะขอรับ!”

“เมืองฮู่เป่ยไม่ได้มีกองกำลังมากมาย ถึงแม้จะต้องปล่อยให้ยืดเยื้อ พวกเราก็จัดการพวกเขาได้” โจวเสียงเฟยเอ่ย “ไม่สู้โจมตีต่อไป…”

“ตีกลองถอนทัพ” เซียวหลีกล่าว

“ขอรับ”

ทัพกบฏล่าถอยไปแล้ว

ท้ายที่สุดทหารเมืองฮู่เป่ยก็สามารถหยุดพักรักษาตัวได้

“การศึกเมื่อครู่นี้ มีคนได้รับบาดเจ็บกว่าสามพันคน ตายไปกว่าสองร้อยคน…” หลี่กู่หยวนรายงานสถานการณ์ “อาจารย์ พวกเราจะมีทัพหนุนหรือไม่?”

“จะต้องมีอย่างแน่นอน” เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด

ข้อมูลข่าวสารในยุคนี้ล้าหลัง กว่าข่าวจะถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง การส่งกองทัพมาที่นี่ก็ย่อมต้องใช้เวลาเช่นกัน ตอนนี้นางทำได้เพียงถ่วงเวลาจนกว่าทัพหนุนจะมาถึง

ยามราตรี แทบทุกครัวเรือนในเมืองฮู่เป่ยจุดเทียนส่องสว่าง ราวกับว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้

นอกเมืองมีทัพศัตรูนับแสนเฝ้าจับจ้อง พวกเขาย่อมไม่กล้าพักผ่อน เพราะเกรงว่าหากหลับตาลงแล้วจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาอีก

มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเช่นกัน

นางสังหรณ์ใจว่าศัตรูจะบุกโจมตีในยามวิกาล

กองทัพฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมากเกินไป หากพวกเขาสู้แบบใช้กำลังพลชนกำลังพล เมืองฮู่เป่ยย่อมไม่สามารถต้านทานได้ นอกจากนี้ พวกเขาเป็นทหารประจำการ ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ขณะที่ฝ่ายเมืองฮู่เป่ยเป็นเพียงกองทัพที่ตอนแรกกระจัดกระจายกันอยู่และถูกเรียกมารวมตัวกันได้ไม่นาน หากต้องเผชิญศึกยามวิกาล ทหารที่ไร้ประสบการณ์การรบย่อมไม่อาจรับมือได้

“ฆ่า!” เสียงคำรามดังกึกก้องมาจากประตูเมือง

“อาจารย์ บุกโจมตีตอนกลางคืนจริง ๆ ด้วย” หลี่กู่หยวนเอ่ย “ของขวัญที่พวกเราเตรียมไว้ควรส่งออกไปได้แล้ว”

ประตูเมืองแง้มเปิดออก ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

ฝ่ายกบฏที่โจมตียามวิกาล “….”

นี่มันสถานการณ์อันใด?

หรือว่าท้ายที่สุดคนเมืองฮู่เป่ยก็รู้จักกลัวแล้ว จึงวางแผนที่จะยอมจำนน?

หากเป็นเช่นนั้นย่อมประเสริฐ เช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็นอีก

แกร๊ง! กรงเหล็กกรงหนึ่งเปิดออก

เงาร่างสีขาวกระโจนออกมาจากข้างใน

ไม่ผิด! มันกระโจนออกจากกรงและพุ่งไปยังทัพของศัตรูทันที

แสงยามค่ำคืนย่อมไม่สว่างมากนัก แม้ทหารกบฏจะผ่านการฝึกฝนให้รับมือกับความมืดมา แต่อย่างไรก็นับว่าดีกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่หาก…

สิ่งที่พวกเขาได้พบเป็น…

สัตว์ป่าเล่า?

พวกเขายังจะครองความได้เปรียบหรือไม่?

แล้วหาก…

สิ่งที่พวกเขาได้พบเป็น…

สัตว์ป่าที่หิวโหยมาสองวันเล่า?

ไม่ผิด! ของขวัญที่หลี่กู่หยวนเอ่ยถึงคือการต่อสู้กับสัตว์ป่า

ความคิดนี้ต้องขอบคุณฟ่านหยวนซีที่เชื่อถือไม่ค่อยได้

ครั้งฟ่านหยวนซียังเป็นจงอ๋อง กองทัพสัตว์ร้ายของเขาโด่งดังไปทั่วหล้า ทุกคนล้วนรู้ว่าเขาเลี้ยงสัตว์ดุร้ายไว้ไม่น้อย

ต่อมาเมื่อเขาไปยังเมืองหลวง หากเห็นผู้ใดไม่เข้าตาก็จะจูงสัตว์ร้ายไปเยือนบ้านคนผู้นั้น แล้วผู้ใดจะกล้ายุ่งกับเขา?

แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดกล้า!

นับตั้งแต่เริ่มต้นเตรียมตัวรับมือกับสงครามในครั้งนี้ มู่ซืออวี่ก็คิดว่าในเมื่อต่อสู้กันตรง ๆ ไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้กลวิธีบางอย่าง ไม่ต้องสนใจว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันหรือไม่ กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ หากไร้ประโยชน์ก็เพียงแค่ตั้งสวนสัตว์ขึ้นมาก็เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ นางจึงส่งคนไปจับสัตว์ดุร้ายทุกชนิดมา

ทั้งพยัคฆ์ เสือดาว ฝูงหมาป่า…

ขอเพียงเป็นสัตว์ร้ายที่ฆ่าคนได้ พบเห็นตัวใดก็จับตัวนั้น

วันนี้จับได้หนึ่งตัว วันพรุ่งจับได้หนึ่งตัว ระยะเวลาผ่านไปนานเข้า นึกไม่ถึงว่าจะรวบรวมสัตว์ร้ายได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดตัว

สัตว์ดุร้ายเหล่านั้นไม่ได้กินอาหารมาสองวันแล้ว

บัดนี้พวกมันจู่โจมไปยังทัพศัตรูและเริ่มลงมือล่าเหยื่อทันที

“อ๊ากกกกก”

“เสือ… เสือ….”

มู่ซืออวี่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองลงไปข้างล่างแล้วเอ่ยว่า “มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดยิ่งนัก”

“อย่างไรขอรับ?” หลี่กู่หยวนเอ่ยถาม

“ในฐานะมนุษย์ พวกเรารู้สึกว่าตนเป็นเจ้าของทั้งใต้หล้า ไม่ได้เป็นมิตรต่อสัตว์ที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันมากนัก เราเห็นพวกมันเป็นเนื้อบนเขียง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายเหล่านี้ มนุษย์กลับหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ เห็นได้ว่ามนุษย์ก็แค่เพียงรังแกผู้อ่อนแอแต่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง”

“ท่านแม่ ท่านคิดว่าพวกเขาจะยื้ออยู่ได้นานเพียงใด?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม

“พวกเขาจะถอยทัพอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่เอ่ย “การศึกต้องใช้ความกล้าหาญ ตีกลองครั้งแรกปลุกใจให้ฮึกเหิม ตีครั้งที่สองความฮึกเหิมถดถอย ตีครั้งที่สามความฮึกเหิมหมดสิ้น ขวัญกำลังใจสูญสลาย หากยังสู้อีกก็ไม่มีขวัญกำลังใจอย่างเมื่อครู่แล้ว รังแต่จะพ่ายแพ้อย่างอนาถเท่านั้น”

แน่นอนว่าไม่นานนัก ทัพกบฏก็ตีกลองถอยทัพอีกครั้ง

เสียงไชโยดังลั่นฟ้าเหนือเมืองฮู่เป่ย

พวกเขายินดีกับชัยชนะอีกครั้ง

มู่ซืออวี่มองทัพศัตรูล่าถอยออกไป จากนั้นจึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “หากพวกเรารอด เราจะไม่มีวันลืมพระจันทร์ในค่ำคืนนี้เลย”

“อาจารย์ พวกเขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว ท่านรีบไปพักผ่อนเถิด!”

ณ ค่ายกบฏ เซียวหลีมองดูเปลวเทียนตรงหน้า สีหน้าเรียบเฉยนั้นดูสลับซับซ้อน

มุมปากของเขาหยักยกขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

โจวเสียงเฟยและรองแม่ทัพหลายคนเดินเข้ามา คุกเข่าลงขอโทษเซียวหลี

“นายท่าน พวกเราล้มเหลวแล้ว”

“หากเข้าไปได้ง่ายดายเพียงนั้น เช่นนั้นย่อมไม่ใช่เมืองฮู่เป่ย” เซียวหลีเอ่ย “ไปปลอบขวัญทหารของพวกเจ้าให้สงบ ควรพักผ่อนก็พักผ่อนเถิด!”

“จะปล่อยไปเช่นนี้หรือขอรับ?!” โจวเสียงเฟยข่มโทสะที่ไม่อาจระบายออกมาได้ บัดนี้ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ เจียนจะทำให้เขาบ้าคลั่งแล้ว

เหตุใดจึงจัดการสตรีเพียงผู้หนึ่งไม่ได้เล่า?!

“ขอเพียงจิตวิญญาณของเมืองฮู่เป่ยยังอยู่ที่นั่น ประตูเมืองย่อมต้องแข็งแกร่ง” เซียวหลีเอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้าไม่สู้นาง พ่ายแพ้ให้กับนางย่อมไม่ผิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด