อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 390 มีพยานบุคคล

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 390 มีพยานบุคคล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 390 มีพยานบุคคล

ตอนที่ 390 มีพยานบุคคล

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ สั่งให้หมอหลวงวูตรวจร่างกายหลี่หรานหร่าน

ร่างกายของหลี่หรานหร่านถึงกับแข็งทื่อโดยพลัน ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ

หมายความว่าอย่างไร? นาง…นางมีความบกพร่องทางร่างกายจริง ๆ ให้หมอหลวงตรวจวินิจฉัย มิเท่ากับเป็นการเปิดเผยว่ากล่าววาจาเท็จในทันทีหรอกหรือ? กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่?

หมอหลวงวูเดินเข้ามาข้างกายนาง ครั้นแลเห็นเหงื่อเย็นเม็ดเล็กที่ผุดออกมาบนหน้าผาก คิ้วก็ถึงกับขมวดเข้าหากัน ในใจแอบเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา

จากท่าทางของสตรีผู้นี้ ดูเหมือนว่าความจริงคงเป็นดั่งที่แม่นางชิงกล่าวไว้ นางมีความบกพร่องทางร่างกายจริง ๆ บัดซบ สตรีผู้นี้มีโรคเช่นนี้ ยังกล้ากล่าวเรื่องไร้สาระเกินจริงภายในท้องพระโรง ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเกินไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหมอหลวงวูจะคิดเช่นนี้ แต่ในเมื่อเขาได้รับคำสั่งจากเหมิงกุ้ยเฟย จึงทำได้เพียงแค่กัดฟันทำตามคำสั่ง

หมอหลวงวูแย้มยิ้มปลอบใจหลี่หรานหร่านด้วยความเมตตา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดแฝงนัยยะ “ฮูหยินอย่าได้เป็นกังวล หาได้มีปัญหาใดไม่ ก็แค่จับชีพจรเท่านั้น เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ”

หลี่หรานหร่านชะงักไปครู่หนึ่ง หรี่ตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย จิตใจจึงสงบลง

จริงด้วย แค่เห็นเหมิงกุ้ยเฟยก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมิได้คิดจะจัดการนางเหมือนอย่างอวี้ชิงลั่ว ในเมื่อเหมิงกุ้ยเฟยเป็นคนเสนอความคิด ย่อมไม่เป็นผลดีต่ออวี้ชิงลั่ว

คิดได้เช่นนี้ จิตใจของหลี่หรานหร่านจึงสงบลง นางยื่นมือออกไป กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นก็รบกวนหมอหลวงแล้ว”

“อย่าได้เป็นกังวล”

หมอหลวงวูแย้มยิ้มอีกหน หรี่ตาพลางวินิจฉัยโรคให้นางอย่างละเอียด

ท้องพระโรงเกิดความเงียบสงัด ทุกคนต่างจ้องมองเรื่องตลกร้ายนี้ด้วยความอดทน รอดูว่าท้ายที่สุดแล้วสถานะของแม่นางชิงจะถูกเปิดโปง หรืออวี๋จั้วหลินจะเจอกับทางตัน

สีหน้าของหมอหลวงวูดูไม่ค่อยสบายใจนัก มุมปากที่ยกขึ้นกลับขึงตึงอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กลายเป็นเส้นตรง

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงดึงมือกลับมา หมุนกายคุกเข่าลงต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “กราบทูลฮ่องเต้และเหนียงเหนียง หลี่ซื่อมีความบกพร่องทางร่างกายจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ผู้คนต่างพากันพูดคุยเสียงดังเซ็งแซ่ บัดนี้สายตาที่มองหลี่หรานหร่านก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

แม้แต่อวี๋จั้วหลินก็เบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง ตั้งแต่เริ่มสงสัยว่าหมอปีศาจคืออวี้ชิงลั่ว เขาก็เริ่มสงสัยว่าโรคของหลี่หรานหร่านอาจเป็นความจงใจของอวี้ชิงลั่ว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่นางมิอาจให้กำเนิดบุตรได้

คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง อวี้ชิงลั่วไม่ได้หลอกเขา

หลี่หรานหร่านก็ชะงักงันเช่นกัน นางคิดว่า…นางคิดว่า หมอหลวงวูผู้นี้จะใช้กลโกง ยืนฝั่งเดียวกับนางเพื่อกล่าวหาอวี้ชิงลั่ว ไฉนเลยจะคาดคิดว่า…

คาดว่าคงมีแค่อวี้ชิงลั่ว ที่รู้ว่าหมอหลวงวูผู้นี้ย่อมต้องมีแผนสอง

นางไม่เชื่อว่าเขาจะหวังดีเช่นนั้นจริง ๆ แค่วินิจฉัยให้หลี่หรานหร่านเพียงง่าย ๆ ก็จบแล้ว อวี้ชิงลั่วมิได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร เพียงแต่รอดูว่าเขายังจะดึงกลอุบายอะไรออกมา

และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะครู่ต่อมาตอนที่ฮ่องเต้กำลังจะตรัสบริภาษหลี่หรานหร่าน หมอหลวงวูก็เอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงดังฟังชัด “เพียงแต่…ความบกพร่องทางร่างกายนี้กลับแปลกประหลาดยิ่งนัก”

“แปลกตรงไหนรึ?” เหมิงกุ้ยเฟยเอ่ยถาม

หมอหลวงวูโขกศีรษะ “ฝ่าบาท จริงอยู่ที่หลี่ซื่อมีความบกพร่องทางร่างกาย แต่อาการของโรคกลับเกิดขึ้นเพราะยา เมื่อไม่นานมานี้คงมีคนวางยาบางอย่างใส่หลี่ซื่อ จึงทำให้นางมิอาจให้กำเนิดบุตรได้”

หลี่หรานหร่านตระหนักขึ้นได้ทันใด นางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการยื่นนิ้วชี้หน้าอวี้ชิงลั่ว กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเล็ก ๆ ว่า “เป็นเจ้า…เป็นเพราะเจ้าใช่หรือไม่? ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนตรวจอาการและจ่ายยาให้ข้ามาโดยตลอด มีแค่เจ้าเพียงคนเดียวที่วินิจฉัยและรักษาโรคให้ข้า เจ้าเกลียดข้าเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าอยากให้ข้ารู้สึกอยากตายดีกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ใช่สิ สตรีคนหนึ่ง ทั้งชีวิตนี้หากมิอาจมีบุตรเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นย่อมรู้สึกอยากตายมากกว่าจะมีชีวิตอยู่ เหตุใดเจ้าถึงได้ชั่วร้ายเช่นนั้น”

ยิ่งนางพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เพียงแค่ดวงตาคู่นั้นกะพริบ น้ำตาก็ไหลอาบแก้มแล้ว

“ฝ่าบาท โปรดให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเพคะ”

ภายในท้องพระโรงยังมีสุภาพสตรีอีกไม่น้อย เริ่มเกิดอารมณ์หวั่นไหวเมื่อได้ยินเช่นนี้

สตรีคนหนึ่ง หากถูกคนอื่นทำให้มิอาจให้กำเนิดบุตรได้ นับว่าโหดร้ายมากจริง ๆ

คิดไม่ถึงเลยว่าหมอปีศาจที่อายุยังน้อย กลับเป็นคนที่มีจิตใจไร้ความปรานีเช่นนี้

อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เหลือบตามองหลี่หรานหร่าน และมองหมอหลวงวูปราดหนึ่ง ตอนที่ประสานเข้ากับสายพระเนตรที่กำลังตั้งคำถามของฮ่องเต้ นางจึงแย้มยิ้มตอบว่า “หมอหลวงวู ท่านคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของข้าเป็นเช่นไร?”

หมอหลวงวูชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่านางถามเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?

ทว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอปีศาจต่างเป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าธารกำนัล ต่อให้เขาไม่อยากยอมรับ ก็จนปัญญาที่จะปฏิเสธ

เขาก้มหน้าลงเงียบ ๆ ขบฟันแน่นพลางตอบ “ในเมื่อแม่นางชิงคือหมอปีศาจ ทักษะทางการแพทย์ย่อมยอดเยี่ยม”

“อ๋อ…เช่นนี้นี่เอง…เช่นนั้นท่านช่วยบอกสักหน่อย เมื่อเทียบกับอดีตหัวหน้าไท่อีเยวี่ยน ทักษะทางการแพทย์ของใครเหนือชั้นกว่า?”

หมอหลวงวูขมวดคิ้ว คำถามนี้…

“หมอปีศาจย่อมเก่งกาจกว่า” จู่ ๆ ในกลุ่มฝูงชนก็มีคนหนึ่งก้าวเท้าออกมา บุคคลผู้นี้อายุมากแล้ว ท่าทางดูเด่นสง่ามีราศี เขามองหมอหลวงวูปราดหนึ่ง ก่อนหันมองอวี้ชิงลั่วแล้วกล่าวเสียงสูงว่า “ตอนที่มีการประลองทักษะทางการแพทย์ที่โรงเตี๊ยมเยว่หมิง ท่านหมอเริ่นอดีตหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนเป็นประธานการประลอง หมอปีศาจสามารถตอบคำถามทั้งหมดที่เขาถามได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ตอนที่มีเด็กป่วยหนักคนหนึ่งปรากฏตัวภายในโรงเตี๊ยมอย่างฉับพลัน ต่อให้เป็นท่านหมอเริ่นก็ไร้วิธีแก้ปัญหา ทว่าหมอปีศาจกลับช่วยชีวิตกลับมาได้อย่างผ่อนคลายด้วยสีหน้าเรียบเฉย”

คนที่พูดคือปราชญ์มหาสำนักผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งของอาณาจักรเฟิงชางอย่างแท้จริง เขาเป็นญาติสายนอกของตระกูลข่งซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ผู้ศึกษาในศาสตร์และศิลป์ เป็นท่านลุงของข่งอวิ๋นเซิง ข่งอวิ๋นเซิงคือนายน้อยผู้เป็นญาติสายตรงใช้แซ่ร่วมกับตระกูลข่ง เรื่องที่เกิดขึ้นภายในโรงเตี๊ยมหมิงเยว่ครานั้น เขาได้นำไปเล่าให้ท่านลุงผู้นี้ฟังทั้งหมดแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ความประทับใจที่ปราชญ์มหาสำนักมีต่ออวี้ชิงลั่วจึงค่อนข้างดี

“อีกอย่าง ชื่อเสียงของหมอปีศาจก็ดังไปถึงต่างอาณาจักรนานแล้ว ทุกคนต่างรู้ดี บนโลกใบนี้ผู้ที่เทียบชั้นกับหมอปีศาจได้ คงมีแค่หมออาวุโสฉงซานเท่านั้น”

อวี้ชิงลั่วยิ้มขอบคุณเขา หันมองหมอหลวงวูอีกหน เอ่ยถามว่า “หมอหลวงวูคิดว่าสิ่งที่ปราชญ์มหาสำนักข่งพูดเป็นเช่นไร?”

“ย่อม…ย่อมถูกต้อง”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านที่เป็นแค่หมอศัลยกรรมกระดูกเฉพาะทางตัวเล็ก ๆ หมอหลวงที่ยังสู้ไม่ได้แม้กระทั่งเส้นขนของท่านหมอเริ่น จะมองเห็นถึงสาเหตุของโรคอันคลุมเครือของสตรีนางหนึ่งได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคือหมอปีศาจ หากข้าคิดจะวางยาหลี่ซื่อเพื่อทำให้นางมิอาจให้กำเนิดทายาทได้ ท่านคิดว่า ท่านจะมีปัญญาตรวจเจอรึ? หมอหลวงวู มิใช่ว่าข้าดูถูกท่าน เพียงแต่ในสายตาของข้า ทักษะทางการแพทย์ของท่านมันก็แค่…การเรียนรู้เบื้องต้นเท่านั้น”

“เจ้า…” หมอหลวงวูถึงกับหน้าแดงก่ำ เงยหน้าถลึงตามองอวี้ชิงลั่วในบัดดล

อวี้ชิงลั่วช้อนสายตามองฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีพยานบุคคล สามารถพิสูจน์ได้ว่าคำพูดของหลี่ซื่อเป็นความจริงหรือกล่าวคำเท็จ”

ฮ่องเต้กลับรู้สึกสนพระทัยขึ้นมาแล้ว พระองค์คิดว่าแม่นางชิงคงมีแค่ความสามารถในการป้องกันที่สมเหตุสมผล แต่ไม่รู้จักโต้ตอบเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าในเรื่องนี้นางกลับมีพยานบุคคลแล้ว

ฮ่องเต้เหลือบสายพระเนตรมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกหลากพระทัย ดูเหมือนซิวเอ๋อร์จะมิได้เป็นกังวลแม้แต่น้อย เขามิได้กล่าวสิ่งใดตั้งแต่ต้นจนจบ กลับกลายเป็นเสนาบดีฝั่งขวาและปราชญ์มหาสำนักข่งที่ออกโรงช่วยพูดให้

ในใจของซิวเอ๋อร์ กำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?

ฮ่องเต้ข่มความฉงนสนเท่ห์เอาไว้และตรัสเสียงสูงว่า “ในเมื่อมีพยานบุคคล เช่นนั้นก็เบิกตัวเข้ามาเถิด”

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

คิดจะสกัดชิงลั่วเหรอนังกุ้ยเฟย เขาดักเอาไว้ทุกทางแล้วจ้ะ ระวังสู้ไปสู้มาจะกลายเป็นว่าเปิดเผยตัวเองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *