เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 132 ทำเป็นไม่รู้จักกัน

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 132 ทำเป็นไม่รู้จักกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 132 ทำเป็นไม่รู้จักกัน

“ได้เงินของข้าไป แล้วทำเป็นไม่รู้จักกันเร็วขนาดนี้เลยหรือ”

มุมปากจวินมั่วหรันรั้งขึ้นเป็นมุมโค้งก่อนเอ่ยขึ้นต่อ “ภายในหนึ่งเดือน หากสอนจุยเฟิงวาทศิลป์แต่งกลอนไม่ได้ เจ้าจบไม่สวยแน่”

“นี่ท่าน…”

เฟิงอู๋โยวไม่นึกว่าจวินมั่วหรันจะจำเรื่องนี้ได้ หากตอนนี้นางไม่ร้อนเงิน ป่านนี้นางควักเงินกระดาษปาใส่หน้าเขาไปตั้งนานแล้ว

น่าเสียดายที่ตอนนี้นางร้อนเงินเป็นยิ่งนัก

หากไม่มีเงินก้อนนี้ นางคงกลายเป็นขอทานไปแล้วแน่ๆ

จวินมั่วหรันยืนเอามือไพล่หลัง สายตากวาดมองเฟิงอู๋โยวที่กัดฟันกรอดอย่างไม่ยอมจำนนอยู่ด้านหน้า ริมฝีปากเรียวบางพลันขยับพูด “ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่ยามเหมาถึงยามสวีของทุกวัน เจ้าจะต้องไปสอนจุยเฟิงที่เรือนมั่วหรันอย่างสุดความสามารถที่เจ้ามี”

“รับทราบ”

เฟิงอู๋โยวแสร้งทำเป็นตอบรับด้วยความเคารพ ภายในใจคิดว่าใช้เวลาเจ็ดถึงแปดชั่วยามต่อวันสอนจุยเฟิงคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

จุยเฟิงเป็นคนนิสัยอ่อนโยนและวุฒิภาวะทางอารมณ์ก็ดีกว่าจวินมั่วหรันมาก

“ดี”

จวินมั่วหรันอมยิ้ม ก่อนหันตัวเดินจากไปท่ามกลางสายฝน

ก่อนหน้านี้ จวินมั่วหรันมองว่าเงินทองเป็นเพียงของนอกกายและค่อนข้างไม่ชอบพวกที่หน้าเงิน

แต่วันนี้เวลานี้ อยู่ๆ เขาก็มองว่าสีหน้าท่าทางเห็นแก่เงินของเฟิงอู๋โยวช่างน่ารักน่าหลงใหลยิ่งนัก

ในเมื่อนางหน้าเงินขนาดนี้ เช่นนั้นเขาก็จะใช้เงินซื้อผลประโยชน์จากนางและใช้เงินต่อรองจนนางจนมุมจนกระทั่งถึงวันที่นางต้องยอมศิโรราบให้แก่เขาอย่างสมบูรณ์

เฟิงอู๋โยวจ้องมองแผ่นหลังจากเขาพลางบ่นอุบ “ดีบ้านเตี่ยแกน่ะสิ!”

ชิงหลวนที่ไปกลับจุยเฟิงก่อนหน้านี้ย้อนกลับมาเจอเฟิงอู๋โยวที่กำลังบ่นอยู่พอดี นางรีบเอามือปิดปากเฟิงอู๋โยวและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นายหญิงระวังคำพูดหน่อยเจ้าค่ะ จุยเฟิงบอกว่าเซ่อเจิ้งหวางมีวิธีกลั่นแกล้งทรมานคนไม่จบไม่สิ้น ขืนทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ พวกเราอยู่ยากแน่นอนเจ้าค่ะ”

แม้ปากจะพูดขึ้นออกมาแบบนี้ แต่หากต้องเผชิญกับคนอย่างจวินมั่วหรันขึ้นมากับตัวจริงๆ ต่อให้เป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนรักสงบแค่ไหนก็อาจจะถูกบีบจนบ้าไปก็เป็นได้

“เฮ้อ หมายังเอาใจง่ายกว่าผู้ชายเสียอีก!”

เฟิงอู๋โยวถอนหายใจอย่างจนปัญญา ผ่านไปพักใหญ่ถึงสังเกตเห็นว่าในมือชิงหลวนมีร่มอยู่หนึ่งคัน

นางมองชิงหลวนที่นิ่งเงียบอย่างผิดปกติ ก่อนพูดหยอกขึ้น “ดูเหมือนว่าจุยเฟิงจะเข้ากับเจ้าได้ไม่เลวเลย”

“นี่นายหญิงกำลังล้อเล่นกันอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ!”

ชิงหลวนอายจนหน้าแดงก่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่นางปลีกตัวเป็นอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในยามวิกาลอันเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้

เมื่อนึกถึงท่าทางอันสุขุมของจุยเฟิง ชิงหลวนก็เกิดใจสั่นขึ้นมารำไร

ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางเศษซากกำแพงที่พังทลายลงมาก็มีเสียงขบฟันเสียดสีชวนขนหัวลุกดังขึ้น

เฟิงอู๋โยวกับชิงหลวนมองตากันก่อนค่อยๆ หันหัวกลับไปมอง พวกนางเห็นคนประหลาดในชุดคลุมถักฟางข้าวและหมวกงอบที่กำลังกัดแทะกระดูกอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ที่แท้เป็นพวกนักบวชเร่ร่อนนี่เอง!” ชิงหลวนกะพริบตามองทะลุม่านฝน เห็นเพียงคนประหลาดที่กำลังนั่งยองๆ กัดกินเนื้ออยู่อย่างไม่สนใจฝนที่กำลังตกหนัก

เฟิงอู๋โยวละสายตาออกมาอย่างไม่สนใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ไปกันเถิด ขืนเขาเห็นพวกเราขึ้นมา ดีไม่ดีอาจถูกตาม”

ชิงหลวนพยักหน้า “ที่นายหญิงพูดมาก็ถูก รีบๆ ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่สิ!”

เฟิงอู๋โยวหยุดชะงักฝีเท้าก่อนหันขวับกลับไปมองที่เดิม แต่กลับไม่มีใครอยู่แล้ว

ชิงหลวนยืนตะลึงอยู่ด้านหลังเฟิงอู๋โยวพลางถามเสียงแผ่ว “นาย นายหญิง นักบวชเร่ร่อนคนนั้นไม่ใช่ผีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เฟิงอู๋โยวยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางฝนตกหนัก นางมองไปที่กงเต๊กที่จุดไฟอยู่ภายในศาลเจ้า

น้ำเสียงของนางเย็นลง “กลิ่นไปแห่งความเคียดแค้นแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นไอแห่งความตาย จากสถานการณ์ที่เห็นอยู่ด้านหน้า มีความเป็นไปได้ว่านักบวนเร่ร่อนในศาลเจ้าแห่งนี้อาจถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด”

“นายหญิง ข้ากลัว”

ชิงหลวนขยับมากอดเอวเฟิงอู๋โยว ก่อนเริ่มร้องไห้เพราะความกลัว

ตอนที่กำแพงศาลเจ้าพังลงมา เฟิงอู๋โยวรู้สึกแปลกๆ เป็นยิ่งนัก

แต่ในตอนนั้น นางมัวแต่รับมือกับจวินมั่วหรันก็เลยไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่าไร

แต่พอมานึกย้อนกลับไปก็พบว่าศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ธรรมดา

วางเพลิงวันลมเคลื่อน ฆ่าคนคืนเดือนดับ[1]

ดูเหมือนว่าสำนวนนี้จะมาจากเรื่องจริง!

แม้วันนี้ฝนกระหนำเสียงดัง แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงกำแพงศาลเจ้าที่พังทลายลงมาได้

หากเป็นยามปกติ นักบวชผู้ดูแลศาลเจ้าคงออกมาตรวจสอบสถานการณ์ตั้งนานแล้ว

แต่ทั้งศาลเจ้าแห่งนี้กลับไม่มีกลิ่นไอของมนุษย์อยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงเปลวเทียนวิบไหวอยู่ในกงเต๊ก

มวลความตายหนักหน่วง กลิ่นลางร้ายอบอวล พิศวงเกินหยั่งถึง

“ไปกันเถิด เข้าไปดูกัน”

เฟิงอู๋โยวพูดเสียงขรึมพลางเดินเข้าไปในศาลเจ้าอย่างนิ่งเฉย

เอี๊ยด!

มือข้างหนึ่งผลักบานประตูเข้าไป สายตาอันเฉียบคมกวาดมองทุกซอกทุกมุมในศาลเจ้า

ทันทีที่เข้าประตูมาก็ได้กลิ่นคาวแล่นมาเตะจมูก

เฟิงอู๋โยวเห็นเงาร่างในชุดนักบวชนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะอาสนะ จึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ท่านนักบวช?”

อาจเป็นเพราะเพดานศาลเจ้าค่อนข้างสูง ทำให้เกิดเสียงสะท้อน สร้างบรรยากาศในสถานที่เล็กแคบแห่งนี้ให้น่าพิศวงชวนขนหัวลุก

เฟิงอู๋โยวเห็นเขาไม่ตอบถึงรีบเดินเข้าไปตรวจสอบ

“อ๊าย…”

ชิงหลวนที่เดินตามหลังเฟิงอู๋โยวมาติดๆ เห็นนักบวชนิ่งอยู่บนเบาะอาสนะ ท่ามกลางแสงสลัว นางเห็นใบหน้าที่เละเหวอะไปครึ่งใบหน้า ทำเอาตกใจจนร้องเสียงหลงออกมา

เฟิงอู๋โยวรีบปิดปากชิงหลวนทันที พลันยกนิ้วป้องปาก “ชู่! เดี๋ยวทหารลาดตระเวนก็มาหรอก”

“นายหญิง พวกเรารีบหนีกันเถิด”

“ดึกป่านนี้แล้วจะหนีไปไหน ไหนๆ ที่นี่ก็ไม่มีคนอยู่แล้ว พวกเรานอนที่นี่สักคืนแล้วกัน”

เฟิงอู๋โยวฉีกผ้าม่านที่แขวนอยู่หน้าแท่นบูชาออกมาคลุมใบหน้านักบวชเอาไว้ เพื่อปิดใบหน้าที่เละเหวอะหวะของเขา

มองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าบาดแผลของนักบวชคนนี้ถูกคนกัด

แต่ว่านางไม่แน่ใจว่าผู้กระทำเป็นบ้าหรือว่าถูกมนตร์ดำไสยศาสตร์ควบคุม

หากเป็นมนตร์ดำไสยศาสตร์จริงๆ ก็คงรับมือยากเป็นยิ่งนัก

เพราะของพรรค์นี้ แม้แต่เฟิงอู๋โยวก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้

ชิงหลวนส่ายหน้าต่อต้าน “นายหญิง ชิงหลวนยอมลุยฝนกลับไป ให้ตายก็ไม่นอนที่นี่เด็ดขาด”

เฟิงอู๋โยวยิ้มมุมปากแล้วคว้าชิงหลวนเข้ามากอด ก่อนเดินไปที่แคร่ไม้

“ชิงหลวน”

“นายหญิงเป็นอะไรไปเจ้าคะ” ชิงหลวนถามเฟิงอู๋โยวที่นอนลงบนแคร่

“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอข้านอนหลับพักผ่อนหน่อย”

เฟิงอู๋โยวพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนเป็นที่สุด

ชิงหลวนได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาไหลขึ้นมาอีกระลอก

“นายหญิง ชิงหลวนสงสารนายหญิงเหลือเกิน ถ้านายหญิงเหนื่อยขึ้นมาจริงๆ ชิงหลวนไปขายตัวที่หอนางโลมเพื่อเลี้ยงดูนายหญิงก็ได้นะเจ้าคะ ฮือๆๆ แต่ถ้าชิงหลวนไปขายตัว นายหญิงอย่ารังเกียจชิงหลวนนะเจ้าคะ”

“เจ้าเด็กโง่ หอนางโลมเป็นที่ที่เข้าง่ายออกยาก”

คำเรียกเจือความอ่อนโยนว่า ‘เจ้าเด็กโง่’ ที่หลุดออกมาจากปากเฟิงอู๋โยว ทำเอาชิงหลวนร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ทำไมนายหญิงถึงดีกับชิงหลวนขนาดนี้”

“…”

เฟิงอู๋โยวหมดแรงจนหลับไปแล้ว

ภายในศาลเจ้ามีเพียงแสงเทียบวิบไหว

ภายนอกศาลเจ้า ไป๋หลี่เหอเจ๋อกำลังยืนมองลอดหน้าต่างเข้าไป ดวงตาที่จับจ้องเฟิงอู๋โยวที่นอนกลับปุ๋ยอยู่บนแคร่ผุดแววอ่อนโยนขึ้นมารำไร

“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ต้องรายงานไปทางวังหลวงหรือไม่เจ้าคะ”

ฉู่ชีถามเช่นนี้ก็เพื่อหวังว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อจะปล่อยเฟิงอู๋โยวไป

ตั้งแต่เฟิงอู๋โยวช่วยชีวิตนางจากลูกธนูวันนั้น ฉู่ชีก็รู้สึกดีกับเฟิงอู๋โยวขึ้นมาก

“เอาไว้นางตื่นแล้วค่อยรายงาน”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อเอาแต่มองเฟิงอู๋โยวที่แทบจะนอนตักชิงหลวน แล้วอยู่ๆ ก็นึกขำขึ้นมา

เขาคิดขึ้นในใจ…เฟิงอู๋โยวดูไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปจริงๆ

หน้าด้านหน้าไม่อาย พฤติกรรมก็แปลกประหลาด

แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร คำพูดของเฟิงอู๋โยวที่ว่า ‘ข้าเหนื่อยแล้ว’ กลับเป็นเหมือนกระบี่แหลมที่ทิ่มแทงหัวใจอันเยือกเย็นของไป๋หลี่เหอเจ๋อ

ผู้คนทั่วใต้หล้าล้วนคิดว่าเขาเป็นพวกรักสงบไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ขนาดเฟิงอู๋โยวที่เจอเขาตอนแรกก็ยังคิดเช่นนั้น

มีแค่เพียงตัวไป๋หลี่เหอเจ๋อเองเท่านั้นที่รู้ว่าภายใต้เปลือกนอกอันสุขุมของเขา ได้ซุกซ่อนจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตที่ถูกกัดกินด้วยความเคียดแค้นอยู่หนึ่งดวง

ตลอดหกปีที่ผ่านมา ไป๋หลี่เหอเจ๋อเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดเพื่อกำจัดจวินมั่วหรัน เขามัวแต่หาแผนการไม่หยุดหย่อน มีหลายครั้งที่เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดและอยากตาย

แต่วันนี้ เขาเห็นหญิงสาวที่แข็งนอกอ่อนในอยู่ต่อหน้าต่อตา ถูกรังแกกลั่นแกล้งจนเหนื่อย อยู่ๆ ก็เกิดเห็นใจขึ้นมารำไร

หากไม่มีความเคียดแค้นค้ำคออยู่ เขาอาจจะชอบนางขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

แต่น่าเสียดายที่โชคชะตากลับเล่นตลกกับเขา

เขาที่ฟื้นจากความตายขึ้นมาได้มีแต่ความเคียดแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจเท่านั้น

ความรักคือมายาและอันตรายเกินไป

“ไปกันเถิด”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อผละสายตาออกมาก่อนกลืนหายไปในความมืด

ภายในศาลเจ้า อยู่ๆ เฟิงอู๋โยวก็ลืมตาโพลงขึ้นมา

หางตาอันเฉียบคมของนางเหลือบมองช่องหน้าต่างอย่างไม่ขยับ เข็มเงินใต้ชายแขนเสื้อพร้อมจู่โจมทุกเมื่อ

นางคิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นพวกปาหินลงบ่อ[2]จนเป็นนิสัย เขาจะต้องสั่งลูกน้องไปรายงานที่วังหลวงเพื่อป้ายความผิดให้กับนาง ดูจากวิธีการที่เขาใช้ฆ่านักบวชในศาลเจ้านี้แล้ว คนอย่างเขาคงไม่มีทางปล่อยนางให้หลุดมือไปแน่

“ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ”

เมื่อรู้ว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อจากไป เฟิงอู๋โยวก็เริ่มพร่ำเพ้อเหม่อลอย จนลืมไป๋หลี่เหอเจ๋อไปเสียสนิท

[1] วางเพลิงวันลมเคลื่อน ฆ่าคนคืนเดือนดับ หมายถึงเวลาอันเหมาะสมสำหรับการทำเรื่องไม่ดี

[2] ปาหินลงบ่อ หมายถึงซ้ำเติมผู้อื่น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *