เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 36 ห้ามตาย เข้าใจหรือไม่ / 37 นางกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในมือเขาแล้ว

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 36 ห้ามตาย เข้าใจหรือไม่ / 37 นางกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในมือเขาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 36 ห้ามตาย เข้าใจหรือไม่ / ตอนที่ 37 นางกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในมือเขาแล้ว

ตอนที่ 36 ห้ามตาย เข้าใจหรือไม่

ปั่ก

จวินมั่วหรันยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา เฟิงอู๋โยวก็กระแทกเข้าที่ตัวของเขาอีกครั้ง

คางแหลมๆ ของนางทิ่มไปบนแผงอกอันกำยำของจวินมั่วหรัน ฟันอันแหลมคมในปากของนางขบริมฝีปากตัวเองจนปริแตก เจ็บจนนางต้องกัดฟันข่มและได้แต่ตำหนิ ‘หลักยึด’ ที่ไม่ได้เรื่องพรรค์นั้น

ในช่วงฉุกละหุกอยู่นั้น ดวงตาของจวินมั่วหรันค่อยๆ ลืมขึ้น มองทั้งสองข้างของเขา คว้าจับใบหน้าของเฟิงอู๋โยวทันที “เจ้าเป็นใคร”

“ช่วยด้วย”

เฟิงอู๋โยวปริปากพูดอย่างสุดจะฝืน ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงราวกับลูกนกตกน้ำ จากนั้นก็สลบลงไปร่างของจวินมั่วหรัน ก่อนแน่นิ่งไป

ตุบๆ ตุบๆ

เสียงหัวใจจวินมั่วหรันเต้นระรัว เขาเค้นแรงแขนเพื่อคว้าจับเอวเฟิงอู๋โยวอย่างระมัดระวังราวกับแม่ไก่ที่คอยปกป้องลูกน้อย และกระชับนางเข้ามาปกป้องเอาไว้ในอ้อมกอด

ต่อมา เขาประคองเฟิงอู๋โยวขึ้นมานอนบนเนินตลิ่งอย่างเบามือและให้นางหนุนศีรษะลงบนฝ่ามือหนาใหญ่ของตัวเอง

“อย่าตายเชียวนะ”

จวินมั่วหรันมองใบหน้าซีดเผือดของเฟิงอู๋โยวอย่างไม่ละสายตา น้ำเสียงไร้ความเหี้ยมโหดต่างจากที่ผ่านมา ดวงตาดำสนิทเปี่ยมไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าตายนะ ฟื้นสิ”

เขาเขย่าร่างเรียวบางของเฟิงอู๋โยวเบาๆ พร้อมกระซิบข้างหูนางเสียงแผ่ว

ถ้าเฟิงอู๋โยวมีสติเหมือนก่อนหน้านี้ นางจะต้องตกตะลึงกับความอ่อนโยนที่ผิดปกติของจวินมั่วหรันอย่างแน่นอน

แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่ได้ยินและไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น

แม้แต่ตอนที่ริมฝีปากเรียวบางของจวินมั่วหรันประกบลงบนริมฝีปากปริแตกอาบเลือดของนางเพื่อผายปอด ดวงตาทั้งสองข้างก็ยังคงปิดสนิทราวกับตายไปแล้วไม่มีผิด ร่างกายไม่ขยับแม้แต่น้อย

“ห้ามตาย เข้าใจหรือไม่”

จวินมั่วหรันออกคำสั่งกับนาง พลางคว้านางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก

น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือและแทรกไปด้วยความตกใจกลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อเขาอุ้มนางขึ้นฝั่งมา จุยเฟิงที่ได้ยินเสียงก็รีบตามเข้าไปทันที

“ท่านใต้เท้า แม่ทัพเฟิงปลอดภัยดีหรือไม่ขอรับ”

แต่เมื่อจุยเฟิงสังเกตเห็นอาการผิดปกติของจวินมั่วหรัน ก็เกิดลนลานขึ้นมาในบัดดล

จวินมั่วหรันทำเหมือนเขาไม่ได้ถอดเสื้อคลุมยาวสีเข้มอันเปียกโชกออก ในสายตาของเขาตอนนี้มีเพียงคนที่ไร้สัญญาณชีพในอ้อมกอดเขาเท่านั้น

“ท่านใต้เท้าขอรับ บางทีแม่ทัพเฟิงอาจจะแค่สำลักน้ำมากเกินไป ขอท่านใต้เท้าโปรดอย่ากังวล”

“จริงหรือ” ในที่สุดจวินมั่วหรันก็หันกลับมาถามจุยเฟิงสั้นๆ

จุยเฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นพร้อมกับเอามือทาบอกรับประกัน “ท่านใต้เท้านำตัวเขามาให้ข้าน้อยเถิดขอรับ เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ข้าน้อยรับประกันเลยว่าแม่ทัพเฟิงฟื้นกลับคืนมาแข็งแรงเป็นปกติแน่นอน”

“ไม่จำเป็น”

จวินมั่วหรันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็เหยียบลงบนผิวน้ำก่อนกระโดดพาตัวเฟิงอู๋โยวขึ้นฝั่ง

เมื่อขึ้นมาถึงฝั่ง เขาก็ไม่หยุดพักแต่อย่างใดและไม่สนใจจุยเฟิงที่ตามหลังมาติดๆ ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่ต้องพาตัวเฟิงอู๋โยวกลับตำหนักเซ่อเจิ้งหวางให้เร็วที่สุด

เมื่อจวินมั่วหรันมาถึงตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง บ่าวรับใช้ภายในเรือนต่างพากันมองเฟิงอู๋โยวในอ้อมกอดของเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดอย่างพร้อมเพรียงกัน

ก่อนหน้านี้เมื่อแปดปีก่อน ตั้งแต่เขาเจ็บป่วยเป็นต้นมา จวินมั่วหรันก็ไม่กอดใครเลยแม้แต่คนเดียว

ด้วยเหตุนี้ เมื่อบ่าวรับใช้เห็นผู้ชายในตำหนักเขานอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ในอ้อมกอดของจวินมั่วหรัน ก็ต่างพากันตกใจจนอ้าปากค้าง

“หลบไป ห้ามผู้ใดเข้าไปในเรือนมั่วหรันทั้งนั้น”

จวินมั่วหรันตะโกนออกคำสั่งกับสาวรับใช้ที่ขวางทางอยู่ด้วยเสียงเยือกเย็น

เขาดูเหมือนจวินมั่วหรันคนเดิม แต่คนที่คุ้นเคยกับเขาดีล้วนสัมผัสได้ว่าคืนวันนี้รังสีอำมหิตทระนงตนของเขาหายไป

ในเวลาเดียวกัน เถี่ยโส่วที่เพิ่งถูกเฆี่ยนลงโทษ วิ่งอย่างลุลี้ลุกลนเข้ามาจากเรือนหลังตำหนักและพบกับจวินมั่วหรัน

เห็นแค่แวบเดียว เถี่ยโส่วก็สัมผัสได้ถึงปัญหาทางด้านจิตใจและอารมณ์ที่นานๆ ทีจะเกิดว่าได้กำเริบขึ้นแล้ว

ความจริงแล้ว เหตุสะเทือนขวัญเมื่อเก้าปีก่อนไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของเขาเจ็บป่วยอย่างรักษาไม่หาย แต่ยังทำให้จวินมั่วหรันต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาทางด้านจิตใจและอารมณ์อันเกิดขึ้นได้ยากอีกด้วย

เถี่ยโส่วจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อจวินมั่วหรันมีอาการดังกล่าว บุคลิกของเขาจะต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง

ถ้าเขาสวมชุดขาว อารมณ์ของเขาจะเยือกเย็นเหมือนน้ำที่ไหลมาจากภูเขาสูง เยือกเย็นสุดขั้ว

ถ้าเขาสวมชุดสีน้ำเงิน อารมณ์ของเขาก็จะเหมือนกับตอนนี้ เขาจะทนเห็นผู้คบรอบข้างบาดเจ็บไม่ได้

แต่ถึงกระนั้น เถี่ยโส่วก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากกับสิ่งนี้ เมื่อก่อนเขาแค่ถูกหวายบาด แต่จวินมั่วหรันในชุดคลุมสีน้ำเงินกลับกอดเขาอย่างเป็นห่วง และเอาแต่เดินไปมาตลอดทั้งคืนเพื่อคอยปลอบเขา

ตอนที่ 37 นางกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในมือเขาแล้ว

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในปีนั้น รูม่านตาของเถี่ยโส่วก็หดเกร็งพร้อมกับเป็นห่วงจวินมั่วหรันที่มีอาการทางจิตกำเริบขึ้นอย่างกะทันหัน ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเหงื่อตกแทนเฟิงอู๋โยวที่หมดสติอยู่

จวินมั่วหรันกวาดตามองเถี่ยโส่วที่ขวางอยู่ด้านหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา

“บาดแผลดีขึ้นแล้วหรือ” สายตาของเขาเหลือบมองไปที่มือของเถี่ยโส่ว พลางถามเสียงขรึม

“ดีขึ้นแล้วขอรับ”

เถี่ยโส่วนึกไม่ถึงว่าความจำของจวินมั่วหรันจะดีขนาดนี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงตกใจสะดุ้งโหยง

“เช่นนั้นก็ดี” จวินมั่วหรันเม้มปากลงเล็กน้อยก่อนอมยิ้มขึ้นมา ก่อนอ้อมไปหาเถี่ยโส่วที่เครียดจนแทบเสียสติไป

จวินมั่วหรันเพิ่งก้าวเท้าออกไป สาวรับใช้ในตำหนักก็ถามเถี่ยโส่วที่หน้าซีดอย่างเป็นห่วง “ท่านชายเถี่ยโส่วเป็น อะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”

เถี่ยโส่วส่ายหน้าไม่พูดจา

เขายืนอยู่ท่ามกลางเรือนและมองดูแสงโคมไฟที่ถูกจุดขึ้นในเรือนมั่วหรันอย่างกังวล ภายในใจคิดว่า ถ้าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเฟิงอู๋โยวขึ้นมา เขาจะเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปในเรือนและช่วยนางออกมา

ภายในเรือนมั่วหรัน กลิ่นหอมเบาบางฟุ้งจรุงไปทั่วเรือน แสงเทียนพลิ้วไหวพลันส่องแสงขยับไหวสะท้อนกับแผงรั้วกันลมลายดอกไม้

ข้างๆ แผงรั้วกันลม เตาถ่านสีแดงกำลังแผดไหม้แดงฉาน มันค่อยๆ ไล่ความหนาวเย็นในยามค่ำคืนออกไปอย่างเงียบๆ

จวินมั่วหรันวางเฟิงอู๋โยวไว้บนเตียงที่ใช้สำหรับบำเพ็ญเพียร ส่วนตัวเองก็นั่งลงที่ขอบเตียงพร้อมกับมองเฟิงอู๋โยวที่หมดสติอยู่อย่างไม่ละสายตา

เขายื่นมือเรียวยาวออกมา จากนั้นประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเพื่อร่ายอาคมไล่มวลน้ำในปอดของเฟิงอู๋โยวออกมา

แต่ขณะนั้นเขากลับสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ

“หรือตรงนี้ก็รับบาดเจ็บด้วย” คิ้วเรียวดุจกระบี่ของเขาขมวดแน่น มือทั้งสองข้างหยุดกลางคัน

หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ปลดเสื้อผ้าด้านบนของเฟิงอู๋โยวออกบางส่วน

เพียงแวบแรกก็ทำเอาเขาถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอดทันที

“ไม่นึกว่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้!”

สีหน้าของจวินมั่วหรันเคร่งขรึมลมทันที ก่อนลุกขึ้นไปหยิบโอสถหยกที่อยู่ในกล่องไม้หอมแกะสลักสายมังกร

ไม่นาน ตามจุดสำคัญต่างๆ บนร่างกายของเฟิงอู๋โยวก็ถูกทาด้วยโอสถหยก

แต่ถึงกระนั้นจวินมั่วหรันก็ยังไม่วางใจ

“เสี่ยวหลิ่วเถียว รีบนำเสื้อผ้าสะอาด ผ้าซับและผ้าพันแผลมาเร็วเข้า”

“ขอรับ”

เมื่อเถี่ยโส่วได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ

ในใจของเขาแอบหวังอยู่นิดๆ ขอแค่จวินมั่วหรันไม่เป็นเหมือนในตอนนั้น ที่กระทำกับบาดแผลเล็กๆ บนมือของเขาซ้ำๆ เมื่อแผลตกสะเก็ดก็แกะออก เห็นเลือดออกนิดหน่อยก็ทายา ก่อนเริ่มร้องเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จำเป็นเพื่อปลอบเขาหลังจากทายาและพร่ำบอกเขาว่าทุกอย่างปลอดภัยดี

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เถี่ยโส่วก็นำเสื้อผ้าสะอาดมา

เขายังไม่ได้เคาะประตู จวินมั่วหรันก็เปิดประตูออกมาแล้ว

“ท่านใต้เท้า ข้าน้อยนำเสื้อผ้า ผ้าซับและผ้าพันแผลมาให้แล้วขอรับ”

เถี่ยโส่ว เอ่ยขึ้นพลาเขย่งเท้าชะเง้อมองเฟิงอู๋โยวที่นิ่งเงียบอยู่ในเรือน

“มองอะไร”

จวินมั่วหรันรับเสื้อผ้ามา ก่อนถามเถี่ยโส่วอย่างไม่สบอารมณ์

เถี่ยโส่วยังคงไม่อยากเชื่อว่าจวินมั่วหรันจะถอดเสื้อผ้าของเฟิงอู๋โยวออกด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรน่าตกใจไปมากกว่านี้แล้ว แม้ว่าเขาจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องไม่ชัด แต่แขนขาวผ่องของเฟิงอู๋โยวกลับสะดุดเสียจริง

ปึ้ง

เมื่อจวินมั่วหรันสังเกตเห็นว่าเถี่ยโส่วกำลังจ้องไปที่เฟิงอู๋โยว เขาก็ปิดประตูอย่างแรงเพื่อแยกเขาไว้นอกเรือนทันที

เฟิงอู๋โยวคือสมบัติล้ำค่าในมือของเขา ใครหน้าไหนก็ห้ามคิดล่วงเกินนาง

เขาถือกองเสื้อผ้าเดินไปที่เตียง เขามองร่างกายส่วนต่างๆ ที่ได้รับบาดเจ็บของเฟิงอู๋โยว

ตรงไหนควรห้ามเลือดก็ห้ามเลือด ตรงไหนควรปิดแผลก็ปิดแผล ตรงไหนควรระบายเลือดก็ระบายเลือด

หลังจากผ่านพ้นขีดอันตรายไป ท้องฟ้าราตรีก็ทอแสงอรุณ ฟ้ามืดก็พลันส่องสว่าง และเมื่อยามฟ้าสางมาเยือน เตาไฟภายในเรือนมั่วหรันก็มอดดับลง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *