เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 137 เป็นเพื่อนบ้านกับนาง / 138 เอาหน้าไปไว้ที่ไหน

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 137 เป็นเพื่อนบ้านกับนาง / 138 เอาหน้าไปไว้ที่ไหน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 137 เป็นเพื่อนบ้านกับนาง / ตอนที่ 138 เอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ตอนที่ 137 เป็นเพื่อนบ้านกับนาง

จวินมั่วหรันหลุบตามองแท่งเงินรองค้ำที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยสายตาเรียบนิ่ง นิ้วมือเรียวยาวขยับเข้าใกล้อย่างไม่รู้ตัว

เจ้าหมอนั่นให้อะไรไม่ให้ ดันมาให้แท่งเงินรองค้ำแต่จะว่าไป หากเขาคิดจะใช้จริงๆ แท่งเงินรองค้ำที่นางมอบให้นี้มันเล็กเกินไปสำหรับไอ้นั่นของเขา

เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ จวินมั่วหรันก็รู้สึกอายขึ้นมาทันที

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมความคิดของตัวเองถึงเปลี่ยนเป็น…ใคร่อยากในตัณหาขนาดนี้

จุยเฟิงคอยเฝ้าสังเกตทุกอากัปกิริยาของจวินมั่วหรัน เขาไม่อยากขัดจังหวะห้วงภวังค์อันเพ้อฝันของจวินมั่วหรัน แต่เนื่องจากมีเรื่องเร่งด่วน เขาจึงจำเป็นต้องรายงานขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านใต้เท้าขอรับ กลางดึกเมื่อวานเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นที่ศาลเจ้าหงเย่ นักบวชในศาลเจ้าตายสนิท ว่ากันว่าสภาพศพสยดสยองยิ่งนัก ตามร่างกายพบร่องรอยถูกกัด”

“ศาลเจ้าหงเย่?”

ทำไมช่างบังเอิญขนาดนี้

เมื่อวานนี้ เฟิงอู๋โยวก็หลบฝนอยู่ที่ศาลเจ้าหงเย่เช่นนี้

“ขอรับ ศาลเจ้าหงเย่ ฟู่เย่เฉินเป็นคนเป็นตรวจสภาพศพด้วยตัวเอง”

“ได้ข้อสรุปหรือยัง”

“นักกบวชในศาลเจ้าถูกคนเป็นๆ กัดจนตายขอรับ”

ริมฝีปากเรียวบางของจวินมั่วหรันรั้งขึ้นเป็นมุมโค้งผุดแววเยือกเย็น “ทางด้านขุนนางจิ้นมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”

“ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ขอรับ แต่ว่าช่วงนี้ ทางด้านตำหนักขุนนางจิ้นกำลังทำการคัดสรรเหล่าบัณฑิตเพื่อเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงบัณฑิตที่จะจัดขึ้นเดือนหน้าอยู่ขอรับ”

“จับตาดูไป๋หลี่เหอเจ๋อให้ดี”

จวินมั่วหรันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น นิ้วมือเรียวยาวพลางเอื้อมไปแตะแท่งเงินรองค้ำ ในหัวพลันผุดภาพท่าทางของเฟิงอู๋โยวขึ้นมาเต็มไปหมด

“ขอรับ” จุยเฟิงเหลือบมองใบหน้าของจวินมั่วหรันที่เจือแววยิ้มเลือนราง ภายในใจเป็นสุขขึ้นมาในบัดดล

ตั้งแต่เฟิงอู๋โยวหนีมายังแคว้นตงหลิน รอยยิ้มของจวินมั่วหรันก็สดใสชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า

ที่ผ่านมา ดวงตาอันเฉียบคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นของเขา นอกจากจะอัดแน่นด้วยจิตสังหารแล้ว ก็มีเพียงความเย็นชาเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่

แต่ทุกวันนี้ ดวงตาที่เปี่ยมด้วยแววยิ้มแย้มของเขามันช่างสดใสน่าหลงใหลเสียจริง!

เป็นสีหน้าแววตาที่ชวนให้ใจสั่นยามได้มอง

จวินมั่วหรันเห็นจุยเฟิงอมยิ้มมองตัวเองอยู่แบบนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา

เขาลุกขึ้นพรวด พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เจ้าพักครึ่งวันเพื่อเป็นระบายกำหนัดในตัวเจ้า จัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสีย”

เมื่อเห็นว่าจวินมั่วหรันเข้าใจผิด สีหน้าของจุยเฟิงก็เหยเกลงก่อนพูดขึ้นเพื่อแก้ต่าง “ท่านใต้เท้า กระหม่อมไม่ได้เกิดกำหนัดนะขอรับ กระหม่อมเป็นมือกระบี่สังหารเลือดเย็นที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา”

“…”

จวินมั่วหรันเอือมระอา เขารู้สึกว่าเหล่าทหารองครักษ์ที่ตัวเองฝึกฝนมาด้วยมือ เป็นบ้ากันไปหมดแล้วช่วงนี้

“ข้าจะออกไปเดินเล่น เจ้าไม่ต้องตามมา”

“ขอรับ”

แม้ปากของจุยเฟิงจะตอบเช่นนี้ แต่ร่างกายกลับสะกดรอยตามจวินมั่วหรันอยู่ห่างๆ ด้านหลัง

จวินมั่วหรันรู้สึกจนปัญญา ก่อนพูดขึ้นเสียงเย็น “ข้าเสียเงินมากมายเพื่อจ้างเฟิงอู๋โยวมาสอนวาทศิลป์ให้แกเจ้า ไฉนเจ้าถึงใช้เวลาอย่างเสียเปล่าเช่นนี้”

“หะ?”

จุยเฟิงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ท่านใต้เท้าขอรับ หน้าที่ของกระหม่อมคือติดตามท่านใต้เท้าทุกฝีก้าวไม่ใช่หรือ”

“ไสหัวไปท่องกลอนเสีย!”

“รับทราบ”

จุยเฟิงขานรับอย่างเคารพ แต่ภายใจในกลับห่อเหี่ยวขึ้นมารำไร

ครั้นแล้วจึงได้แต่หันกลับไปน้ำตาซึม

ถึงแม้จุยเฟิงจะเฝ้าคอยคาดหวังให้จวินมั่วหรันพบเจอคนที่ใช่อยู่ทุกห้วงเวลา แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ จุยเฟิงถึงได้ค้นพบว่าตัวเองยังไม่ชินกับการอยู่ห่างจากจวินมั่วหรัน

แม้เรือนร่างผิวพรรณของเฟิงอู๋โยวจะสามารถปลุกกระตุ้นอารมณ์บางอย่างในตัวจวินมั่วหรันได้ก็จริง

แต่ในสายตาของจุยเฟิงแล้ว แต่นางก็เป็นผู้ชายที่เป็นได้แต่ตัวกระตุ้นให้จวินมั่วหรันเท่านั้น

ขณะที่จุยเฟิงหันกลับไป จวินมั่วหรันได้อาศัยจังหวะนั้นคว้าแท่งเงินรองค้ำแวววาวที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารเก็บใส่แขนเสื้อทันที จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง

ไม่ว่าอย่างไร แท่งเงินรองค้ำนี้ก็เป็นของขวัญล้ำค่าชิ้นแรกที่เฟิงอู๋โยวมอบให้เขา

อยู่ๆ ในหัวของจวินมั่วหรันก็ผุดคำว่า “สัญลักษณ์แทนคำมั่นหมายและความรัก” ขึ้นมา ทำเอาหัวใจอันอึมครึมก่อนหน้านี้ถูกชะล้างจนปลอดโปร่งอีกครั้ง

“ข้าจะไปค้างแรมที่บ่อนพนัน เจ้าไม่ต้องตามมา”

จุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็วางใจ

แม้บ่อนพนันจะเป็นของจวินมั่วหรันก็จริงๆ แต่เขาเป็นคนรักความสงบ ชอบอยู่เงียบๆ และไม่เคยค้างแรมที่บ่อนพนันมาก่อน

แต่การที่อยู่ๆ จวินมั่วหรันนึกอยากไปค้างแรมที่บ่อนพนันเช่นนี้ ดูเหมือนเขานึกอยากจะเป็นเพื่อนบ้านของเฟิงอู๋โยวขึ้นมาแล้วเสียกระมัง

ตอนที่ 138 เอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ณ เรือนแพทย์อู๋โยว ถนนเถาหลี่ เมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลิน

เฟิงอู๋โยวยืนสง่าอยู่ด้านหน้าประตูเรือนแพทย์ เงยหน้ามองป้ายไม้แกะสลักลงลักปิดทองพลางส่ายหน้าอย่างไม่พึงพอใจ

ชิงหลวนยื่นตื้นตันใจน้ำตาไหลอยู่ข้างๆ นาง “เรือนแพทย์อู๋โยว ช่างเป็นชื่อที่น่าฟังเหลือเกินเจ้าค่ะ”

“ไม่ มันยังฟังดูไม่ขลัง!” เฟิงอู๋โยวกอดอก คิ้วขมวดแน่น

“แต่ชิงหลวนกลับคิดว่าชื่อเรือนแพทย์อู๋โยวสี่พยางค์นี้ช่างดูเรียบง่ายแต่กลับแฝงเป็นด้วยความเรียบหรูอย่างเป็นเอกลักษณ์ รวบรัดชัดเจน จดจำง่ายไม่มีใครเหมือน

ชิงหลวนพูดพลางปาดน้ำตาออกจากหางตา “นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านชายก็ไม่ต้องนอนกลางดินกินกลางแจ้ง ไร้ที่อยู่อาศัยแบบนี้อีกต่อไปแล้ว”

เฟิงอู๋โยวทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน นางพูดพึมพำกับตัวเอง “ร้านค้ากิจการบนถนนเถาหลี่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผู้คนไปมาสัญจร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไร้อำนาจและเส้นสายในแคว้นตงหลินอีก คงตั้งตัวลุกผงาดได้ยากนัก”

“ท่านชาย พวกเรายังมีเซ่อเจิ้งหวางอยู่ไม่ใช่หรือ”

“อย่าเอ่ยชื่อเจ้าหมอนั่นต่อหน้าข้าอีก! ข้านึกถึงเขาทีไรก็รู้สึกวูบวาบไปทั่วตัว”

เฟิงอู๋โยวยังพูดไม่ทันขาดคำ จวินมั่วหรันก็โผล่มายืนอยู่ด้านหลังนางอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง

“พึ่บ!”

จวินมั่วหรันสะบัดชายแขนเสื้อ กำหนดพลังปราณรวมศูนย์กลางฝ่ามือ มวลอากาศถูกบีบอัดเป็นลมหมุนเล็กๆ จากนั้นก็ปาออกไปใส่ก้นของเฟิงอู๋โยว

“ฝีมือได้หน้าตัวเมียที่ไหนกัน?!”

เฟิงอู๋โยวจับก้นตัวเองอย่างโกรธจัด

“ได้หน้าตัวเมียคนนี้เอง เจ้ามีอะไรหรือเปล่า”

น้ำเสียงแหบเสน่ห์ ทุ้มต่ำแฝงแรงดึงดูดของจวินมั่วหรันดังขึ้น

“ไม่มีอะไรขอรับ” เฟิงอู๋โยวค่อยๆ หันตัวกลับมายิ้มขื่น “ไฉนท่านใต้เท้าถึงโผล่ไปไหนมาไหนทุกที่ได้ขอรับ”

“การที่ข้าจะโผล่ไปที่ไหน มันใช่เรื่องที่เจ้าต้องมายุ่มย่ามด้วยหรือ”

“ผู้ต่ำต้อยอย่างกระหม่อมจะกล้ายุ่มย่ามท่านใต้เท้าได้เยี่ยงไร ท่านอยากไปที่ใดก็ไปที่นั่น แต่ได้โปรดอย่าเที่ยวระบายอารมณ์ใส่ก้นของกระหม่อมได้หรือไม่ขอรับ”

เฟิงอู๋โยวเอี่ยวตัวกลับมาและชี้ไปที่ก้นงอนๆ ของตัวเอง “ก้นสวยงอนงดงามเหมือนลูกท้อเช่นนี้ ท่านใต้เท้ากล้าลงไม้ลงมือด้วยหรือ”

จวินมั่วหรันยืนมือไพล่หลัง สายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยวจ้องมองมายังเฟิงอู๋โยว

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ พูด “ข้าจะลงมือตีใครมันก็เรื่องของข้า มันใช่เรื่องที่เจ้าต้องมายุ่มย่ามด้วยหรือ”

“…”

เฟิงอู๋โยวถูกคำพูดของเขายั่วโมโหจนโกรธจัดดั่งแมวป่าคลุ้มคลั่ง ครั้นแล้วจึงสวนกลับ “กลางวันแสกๆ แบบนี้ ไม่นึกว่าท่านใต้เท้าจะกล้าลงมือกับก้นของกระหม่อม ทำแบบนี้กระหม่อมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“หน้าของเจ้าเกี่ยวอะไรกับข้า”

ดวงตาเล็กเฉี่ยวของจวินมั่วหรันเจื่อแววหยอกเย้ารำไร เขาคิดว่าทั่วใต้หล้านี้ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่าการแกล้งเฟิงอู๋โยว

เฟิงอู๋โยวเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาและดูสูงส่งของเขา จากนั้นก็ตวาดเสียงดังลั่นใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ “จวินมั่วหรัน ถ้าเก่งนักก็ลองพูดดูอีกสักรอบ! หากลงมือกับข้าขึ้นมาอีกครั้ง ระวังข้าจะสวนกลับเข้าให้!”

เสียงแผดตะโกนของนางดึงดูดความสนใจของผู้คนในละแวกนั้นไม่น้อย

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาพากันมองเฟิงอู๋โยวที่ยืนต่อต้านจวินมั่วหรันอย่างแข็งกร้าวอยู่ด้านหน้าเรือนแพทย์และต่างพากันซุบซิบนินทาขึ้นมา

“เจ้าหมอนี้ตายแน่ ทำไมเขาถึงกล้าด่าท่านเซ่อเจิ้งหวางกลางถนนแบบนี้”

“สมแล้วที่เป็นถึงแม่ทัพอายุน้อยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งแคว้นเป่ยหลี ช่างกล้าหาญบ้าบิ่นสมคำล่ำลือจริงๆ!”

“เขาคือแม่ทัพอายุน้อยแห่งแคว้นเป่ยหลีผู้มีชื่อเสียงคนนั้นเองหรือ ไม่นึกว่าจะมาเปิดเรือนแพทย์ที่แคว้นตงหลินแบบนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

จวินมั่วหรันเฟิงอู๋โยวที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่อย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่านางจะกล้าดีไม่กลัวตายได้ถึงขนาดนี้

“เจ้าอยากตายนักหรือ”

เขามองนางอย่างไม่ละสายตา ดวงตาฉายแววแปลกใจรำไร มือร้อนผ่าวพุ่งไปกุมจับที่คอนางอย่างคุ้นชิน

มือทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวยกขึ้นจับข้อมือของจวินมั่วหรันพลางพูดขึ้นเสียงแผ่ว “ท่านใต้เท้า ชาวบ้านกำลังมองดูอยู่ ไว้หน้ากระหม่อมได้หรือไม่”

“ฝันไปเถิด”

“ท่านให้ความร่วมมือกับกระหม่อมหน่อยไม่ได้หรือ อีกประเดี๋ยวเข้าเรือนไป ท่านจะตีกระหม่อมเยี่ยงไรก็ได้”

เฟิงอู๋โยวกดเสียงต่ำกระซิบจวินมั่วหรัน ดวงตาทรงกลีบดอกท้อพริ้มพราว น่าหลงใหล

“เข้าเรือนไปแล้ว จะทำอะไรก็ได้ใช่หรือไม่” จวินมั่วหรันยิ้มมุมปากพลางกวาดมองเรือนรางอันราบเรียบของเฟิงอู๋โยวอย่างมีเลศนัย

“นอกเสียจากเรื่องอย่างว่า”

เมื่อเฟิงอู๋โยวสังเกตเห็นสายตาของจวินมั่วหรัน แววหวาดระแวงก็พลันฉายขึ้นบนใบหน้า

“เหอะ…หากข้าคิดจะฝืนใจเจ้าจริงๆ เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีปัญญาต่อต้านข้าอย่างนั้นหรือ”

จวินมั่วหรันยังคงอมยิ้ม ริมฝีปากเรียวบางผุดเป็นมุมโค้งน่าหลงใหล แสงไฟเรืองรองส่องกระทบลงบนผิวพรรณอันขาวกระจ่างของเขา

ใสสะอาดราวกับเซียน ทว่าแฝงความหื่นกระหายเจือจางราวปีศาจ

“ขืนใจกระหม่อม? ท่านใต้เท้าคิดแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันจริงๆ หรือ บรรดาสาวๆ ในหอนางโลมฝั่งตรงข้ามเย้ายวนไม่พออย่างนั้นหรือ?!”

เฟิงอู๋โยวตกใจสุดขีด นางมองจวินมั่วหรันด้วยสายตาดูถูกเล็กน้อย

ชิงหลวนกระชากแขนเสื้อเฟิงอู๋โยวอย่างร้อนรนใจ ก่อนพูดกระซิบอย่างไม่พอใจ “ท่านชาย ในใจท่านอาเขยมีแต่ท่าน ไฉนท่านถึงขับไล่ท่านอาเขยไปที่หอนางโลมเช่นนี้!”

“อาเขย?”

จวินมั่วหรันคิ้วขมวดเล็กน้อย เขาครุ่นคิดถึงความหมายของคำว่า “อาเขย” อย่างละเมียด ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเอาได้รับการยอมรับจากคนใกล้ตัวของเฟิงอู๋โยวแล้ว ครั้นแล้วภายในใจของเขาจึงรู้สึกปลาบปลื้มดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เฟิงอู๋โยวรีบเอามือปิดปากชิงหลวนอย่างขวยเขิน เพราะกลัวว่าชิงหลวนก็เผยพิรุธเรื่องที่นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย

จวินมั่วหรันรู้ดีว่าเฟิงอู๋โยวไร้อำนาจและอิทธิพล ดังนั้นการเปิดเรือนแพทย์บนถนนย่านการค้าอันพลุกพล่านเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

หากเขาไม่ไว้หน้านางสักหน่อย เกรงว่าไม่ถึงครึ่งวัน เรือนแพทย์อู๋โยวแห่งนี้ต้องซบเซาลงไปอย่างถนัดตา

เมื่อคิดได้เช่นนี้ จวินมั่วหรันก็คว้าเฟิงอู๋โยวเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปในเรือนแพทย์ “เจ้าแม่ทัพเอาแต่ใจ ข้าจะไว้หน้าเจ้า แต่เจ้าต้องพูดแล้วห้ามคืนคำ”

ตัวเฟิงอู๋โยวแข็งทื่อและปล่อยให้แขนอันกำยำของเขาพาตัวเดินไป สีหน้าดูยู่ยี่เป็นยิ่งนัก

ช่างเถิด เพื่อการกิจเรือนแพทย์อู๋โยวดำเนินการไปอย่างราบรื่น ตัวเองต้องยอม!

ก่อก!

จวินมั่วหรันพานางเข้ามาในเรือน และเพื่อป้องกันไม่ให้นางหนีออกไป จึงบีบใส่กลอนประตู

เฟิงอู๋โยวเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่

นางมองจวินมั่วหรันที่ค่อยๆ ย่างเท้าเข้าใกล้อย่างไม่สบายใจ เท้าเล็กๆ ของนางรีบก้าวถอยหลัง

“ท่านใต้เท้า ท่านเคยบอกว่าจะไม่ก้าวก่ายล้ำเส้น!”

“เฟิงอู๋โยว ลูกไม้แสร้งปล่อยเพื่อจับมันสนุกนักหรือ” จวินมั่วหรันโน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อต้อนนางเข้ามุม จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาใช้ฟันขบริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *