เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 195 พิจารณาข้าอีกคนได้หรือไม่

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 195 พิจารณาข้าอีกคนได้หรือไม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 195 พิจารณาข้าอีกคนได้หรือไม่

เฟิงอู๋โยวเพียงชำเลืองมองชุดสีแดงเพลิงและดวงตาอันมันวาวของฟู่เย่เฉิน โดยแอบคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่มีสุนทรียภาพแย่ที่สุดในบรรดาชายหนุ่มรูปงามที่นางเคยเห็นมาทั้งหมด

เมื่อฟู่เย่เฉินเริ่มดื่มก็เริ่มเปิดบทสนทนาขึ้น “เฟิงอู๋โยว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนแรกที่เปิดเรือนแพทย์บนถนนเถาหลี่ได้ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ไม่มีใครคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

“หืม?”

“ไม่รู้สิ ร้านค้ากิจการในย่านนั้นล้วนมีขุนนางเงินหนาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น”

เฟิงอู๋โยวสังเกตเห็นเรื่องนี้มานานแล้ว ครั้นแล้วจึงตอบเสียงทุ้ม “มันเป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย มันเป็นการคัดสรรของธรรมชาติ ผู้ที่เหมาะสมที่สุดถึงจะเป็นผู้อยู่รอด”

“ข้าจะบอกความลับเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง หอนางโลมที่ทำรายได้เป็นหมื่นตำลึงเงินต่อวันและเต็มไปด้วยลูกค้าที่ป่วยติดโรค เป็นกิจการในนามของข้าเอง” ฟู่เย่เฉินแทบรอบอกนางไม่ไหวว่าตระกูลของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าจวินมั่วหรัน

ตอนแรกเฟิงอู๋โยวคิดว่าหอนางโลมเป็นของไป๋หลี่เหอเจ๋อ นางไม่เคยคิดว่ามันเป็นของฟู่เย่เฉินมาก่อน

เฟิงอู๋โยวเข้าใจผิดคิดว่าสายตาประหลาดใจของนางเป็นสายตาเสื่อมใสน่าศรัทธา ครั้นแล้วจึงเล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลของเขาออกมา “ในเมืองหลวง มีผู้หญิงมากมายที่ต้องการแต่งงานเข้ามาในเรือนฟู่ เหตุผลหลักก็เพื่อเงินทอง เหตุผลต่อมาก็เพื่ออำนาจ และที่สำคัญที่สุดก็จคือข้าเป็นนายใหญ่คนเดียวในเรือนฟู่ ดังนั้น บรรดาหญิงสาวจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในเรือนฟู่ของข้า แต่ฟู่เย่เฉินหาใช่คนเสเพลอย่างองค์ชายเฉินไม่ หลายปีมานี้ เรือนฟู่มีเรือนย่อยเพียงสองเรือนเท่านั้น แต่กลับไม่มีทั้งเรือนนางบำเรอและเรือนนางสนม”

“หยุดก่อน เจ้าจะมีหรือไม่มีเรือนนางบำเรอหรือเรือนนางสนม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ข้ายังไม่อยากรีบอุ้มหลานขนาดนั้นหรอกนะ” เฟิงอู๋โยวพูดเสียงดัง นางไม่สนใจเรื่องลับๆ ของฟู่เย่เฉินแม้แต่น้อย

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าได้เยี่ยงไร ในอนาคต หากเจ้าได้แต่งงานเข้าเรือนฟู่ เจ้าก็ควรทำตัวคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่หรือ”

“หยุดเพ้อเจ้อ! ข้าไม่ได้หมดทางเลือกขนาดนั้นถึงต้องเลือกเจ้า”

เฟิงอู๋โยวเห็นดวงตาที่อ่อนโยนของฟู่เย่เฉินก็ถึงกับเสียวสันหลังวาบทันที นางรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับไป๋หลี่เหอเจ๋อมันเป็นเยี่ยงไรกันแน่ วันๆ เขาเอาแต่ปั้นหน้าแข็งทื่อราวกับภูเขาน้ำแข็ง ดูไร้ความรู้สึกขนาดนั้น ถ้าเจ้าชอบผู้ชาย เจ้าลองหาชายหนุ่มน่ารักๆ สักสองสามคนที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ ไม่ดีกว่าหรือ”

ความสดใสในดวงตาที่ลึกล้ำของฟู่เย่เฉินหายไปในทันที เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม “ตระกูลฟู่สืบทอดทายาทและมีชื่อเสียงอันดีมาหลายยุคสมัย บรรพบุรุษของตระกูลล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านชันสูตรศพและดำรงตำแหน่งมือชันสูตรในศาลต้าหลี่มาทุกๆ รัชสมัย พ่อของข้าเป็นคนซื่อตรง แต่โชคร้ายที่คำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขาทำให้ขุนนางแห่งตระกูลจวินขุ่นเคือง ก่อนหน้านี้สิบปี ตระกูลจวินได้ส่งนักฆ่ามาหลายระลอกเพื่อกวาดล้างเรือนฟู่ เพื่อปกป้องข้า พี่ชายของข้าได้เสียสละชีวิตตัวเองไป โดยการยอมตกเป็นคนที่ถูกทำร้ายแทนข้า กว่ากำลังเสริมจะมาถึง พี่ชายของข้าก็ทนพิษบาดแผลไม่ไว้จนตัวตาย ทั้งตระกูลฟู่จึงเหลือข้ามีชีวิตรอดอยู่คนเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าบังเอิญไปเจอกับอาเจ๋อที่กำลังจะตาย ข้าเห็นว่านิสัยเย็นชาเฉยเมยของเขาค่อนข้างคล้ายกับพี่ชายของข้า ดังนั้นข้าจึงมองเขาเป็นพี่เป็นน้องของข้าคนหนึ่ง”

“ผู้คนไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้หลังความตาย ดังนั้นความโศกเศร้าย่อมถูกกาลเวลาเจือจาง”

เฟิงอู๋โยวที่คุ้นเคยเห็นชีวิตและความตายมานาน แต่เมื่อนางได้ยินเรื่องการสังหารหมู่ที่ตระกูลฟู่ประสบพบเจอ อยู่ๆ หัวใจของนางก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง

“เวลาย่อมเยียวยาทุกสิ่ง ต่อให้ท้องฟ้าถล่มข้าก็จะสร้างมันขึ้นมาใหม่” ฟู่เย่เฉินกระดกสุราในจอกจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็พูดจาล้อเล่นกับตัวเอง “เหล่าผู้หญิงต่างพากันพูดกันว่าชายโสดที่พ่อแม่ตายย่อมเป็นลาภอันประเสริฐ เฟิงอู๋โยว เจ้าพอจะพิจารณาข้าเพิ่มอีกสักคนได้หรือไม่”

เฟิงอู๋โยวเฉไฉทำเป็นสนใจเรื่องอื่น “จริงๆ ทุกตระกูลก็หวังอยากมีชีวิตกันอย่างสงบสุขพร้อมหน้าพร้อมตา แต่สำหรับบางตระกูล บางทีการที่พ่อแม่ตายจากไปก็ไม่ใช่เรื่องแย่ขนาดนั้น”

ดวงตาของฟู่เย่เฉินค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้น เขาพบว่าสิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดของเฟิงอู๋โยวไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นนิสัยและความคิดของนาง

นางแตกต่างจากผู้หญิงที่เขาเคยพบเจอมาอย่างสิ้นเชิง นางช่างเป็นอิสระและแข็งแกร่ง แม้บางครั้งอาจจะดื้อเกินไปหน่อย

“ยังเจ็บหน้าอยู่หรือไม่” ฟู่เย่เฉินอาศัยความกล้าเมื่อสุราเริ่มออกฤทธิ์เอื้อมมือออกไปสัมผัสแก้มของเฟิงอู๋โยว

เฟิงอู๋โยวเบี่ยงหน้าหนีอย่างเป็นธรรมชาติก่อนถามกลับ “ความรู้สึกตอนถูกสุนัขล่าเนื้อรุมกัดเป็นเยี่ยงไร”

“สุนัขล่าเนื้ออ่อนโยนเกินไป น่าจะกัดให้มันมากกว่านี้หน่อย แต่ผู้ชายที่ลงมือตีผู้หญิง จำเป็นต้องถูกสั่งสอน”

มือไม้ของฟู่เย่เฉินเริ่มอยู่ไม่สุข เขาจับมือของเฟิงอู๋โยวขึ้นมาและเลื่อนไปสัมผัสโหนกแก้มที่บวมขึ้นมาของตัวเอง “ขอโทษด้วย ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ ถึงได้ลงมือกับเจ้าไปเกินเลยแบบนั้น”

“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้มีความคิดจะลวนลามข้าใช่หรือไม่ ไม่ตบตีย่อมไม่รู้จัก”

เดิมทีเฟิงอู๋โยวไม่ใช่พวกเจ้าคิดเจ้าแค้น นางไม่เคยมานั่งใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ฟู่เย่เฉินแอบขบคิดถึงคำว่า ‘ไม่ตบตีย่อมไม่รู้จัก[1]’ ที่เฟิงอู๋โยวพูดออกมา ภายในใจพลันรู้สึกดีขึ้นมาอย่างแปลกๆ

“เฟิงอู๋โยว อย่าลืมข้า”

ดวงตาเล็กตี่ของฟู่เย่เฉินฉายแววกึ่งยิ้ม เขามองเฟิงอู๋โยวอย่างห่วงใย น้ำเสียงก็เจือแววไม่อยากลาจาก

เฟิงอู๋โยวยังไม่ทันได้ตอบสนอง ฟู่เย่เฉินก็หลับตาลงและฟุบหน้าลงบนเตียงหินอย่างแรง

“ฟู่เย่เฉิน?”

นางสะกิดฟู่เย่เฉินที่เริ่มส่งเสียงกรนเหมือนฟ้าร้อง จากนั้นสายตาก็มองไปที่ประตูหินของห้องลับที่เปิดอ้าอยู่อย่างดีใจ

ถ้าไม่หนีตอนนี้ แล้วจะหนีตอนไหน

นางถกกระโปรงขึ้น ค่อยๆ เลื่อนตัวลงจากเตียงและเดินย่องเขย่งปลายเท้าไปทางประตูห้องลับ

ทันใดนั้น นางรู้สึกว่าชุดสีชมพูที่นางใส่สีสันบาดตาเกินไป นางจึงหันกลับไปมองเฟิงอู๋โยวที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงหิน

ชุดสีแดงเพลิงของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวรีบเดินกลับไปที่เตียงหินอีกครั้ง ก่อนปลดเสื้อคลุมที่ไม่พอดีตัวออกอย่างคล่องแคล่ว

ในช่วงเวลานี้ ฟู่เย่เฉินที่นอนกรนอยู่ ไร้วี่แววที่จะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย

แต่ขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังจะหันหลังถอดชุดกระโปรงสีชมพูออก นางก็สังเกตเห็นผ้าพันแผลพันรอบหน้าท้องฟู่เย่เฉินอย่างไม่ได้ตั้งใจ

นางยื่นมือออกไปแตะผ้าพันแผลเบาๆ นางคิดว่าผ้านี้เหมือนกับผ้าที่นางใช้รัดหน้าอกเป็นยิ่งนัก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงปลดผ้าพันแผลของฟู่เย่เฉินออก ก่อนบ่นพึมพำขึ้น “บุญคุณที่ขอยืมเสื้อผ้าในวันนี้ ข้าจักตอบแทนในวันหลัง”

เฟิงอู๋โยวรู้ตัวแล้วว่าฟู่เย่เฉิน แสร้งทำเป็นเมาเพื่อเปิดทางปล่อยนางไป

นางรู้ดีว่าฟู่เย่เฉินกับไป๋หลี่เหอเจ๋อใกล้ชิดสนิทกัน แต่นางก็ไม่ต้องการทำให้ฟู่เย่เฉินลำบาก หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าผู้ชายเสร็จ นางก็ก้มไปกระซิบข้างหูของฟู่เย่เฉิน “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับคนอื่นแน่นอน”

มุมริมฝีปากของฟู่เย่เฉินโค้งขึ้นเล็กน้อย และเขายังคงหลับตาและแสร้งทำเป็นหลับต่อไป

นานๆ ที ทำเรื่องดีๆ บ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน

[1] ไม่ตบตีย่อมไม่รู้จัก หมายถึงเมื่อได้ทะเลาะกันครั้งหนึ่ง ย่อมเรียนรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *