เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 190 ยอมอ่อนข้อหน่อยไม่ได้หรือ

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 190 ยอมอ่อนข้อหน่อยไม่ได้หรือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 190 ยอมอ่อนข้อหน่อยไม่ได้หรือ

“เฟิงอู๋โยว อยู่กับข้า มันไม่ดีขนาดนั้นเชียวหรือ สิ่งที่จวินมั่วหรันให้เจ้าได้ ข้าก็ให้เจ้าได้เหมือนกัน”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าก็เซื่องซึมลง ภายในใจพลันโศกเศร้าขึ้นมา

เขาหยิบโฉนดที่ดินออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นให้นางดู “เชื่อฟังข้า แล้วข้าจะดูแลเจ้าราวกับแม่ทูนหัว”

“คำว่าดูแลของเจ้า หมายถึงการขังข้าไว้ในห้องลับใช่หรือไม่ ให้อาหารข้าตอนที่เจ้าอารมณ์ดี และปล่อยให้ข้าอดอาหารสองวันตอนที่เจ้าอารมณ์เสีย”

เฟิงอู๋โยวเหลือบมองโฉนดที่ดินกองปึกหนาในมือของเขาอย่างเฉยเมย ภายในใจของนางไม่รู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย

วิญญูชนต้องการเงินทองทรัพย์สิน ก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง

ผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องของไป๋หลี่เหอเจ๋อนั้นไร้ค่าสำหรับนาง

“เฟิงอู๋โยว สุราดีมีไม่ดื่ม กลับชอบดื่มสุราเฝื่อน[1]”

“หากเป็นเช่นนั้น แล้วท่านราชครูคิดจะทำอะไร”

ใบหน้าของไป๋หลี่เหอเจ๋อฉายแววเจ้าเล่ห์ มือข้างหนึ่งบีบท้ายทอยนางแน่น และอีกมือหนึ่งก็ลูบไล้หน้าท้องแบนราบของนาง “ตั้งครรภ์ให้ข้า ข้าสัญญาว่าเจ้ารุ่งโรจน์มีเกียรติไปตลอดชีวิต”

“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ” เฟิงอู๋โยวดิ้นตัวหนีมือที่อยู่ลูปไล้บนหน้าท้องของนางอย่างขยะแขยง

“เฟิงอู๋โยว ข้าพูดจริง”

“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ฟังให้ดี ชาตินี้ ชาติหน้าและชาติต่อไป ข้าจะไม่มีวันท้องลูกของเจ้าเด็ดขาด”

“ได้หรือไม่ได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและกดนางลงกับพื้น “ไม่ให้ข้า หรือเจ้าจะให้จวินมั่วหรัน”

“…”

เฟิงอู๋โยวไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางรู้สึกว่าการมีลูกอยู่ไกลจากความคิดนางเกินไป

“คนที่ข้าไม่มีทางได้มา จวินมั่วหรันก็จะไม่ได้เช่นกัน”

ดวงตาของไป๋หลี่เหอเจ๋อแดงก่ำเพราะความโกรธ เส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาบนใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ทำให้เขาดูน่ากลัวเป็นพิเศษ

เมื่อเห็นเขาในสภาพแบบนี้ เฟิงอู๋โยวคิดอยู่เสมอว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นพวกโมโหร้าย แล้วอยู่ๆ หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้น

หากยังเป็นเช่นนี้ ไป๋หลี่เหอเจ๋ออาจทำเรื่องไม่ดีไปมากกว่านี้เป็นแน่

ทันใดนั้น เฟิงอู๋โยวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็น “ข้ามีลูกได้ที่ไหน เจ้าไม่เห็นลูกกระเดือกบนคอของข้าหรือ”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อชำเลืองมองลูกกระเดือกที่แทบจะมองไม่เห็นของนาง แต่ก็ไม่พูดอะไร

“ร่างกายข้าถูกวางยาพิษตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่ข้าจะมีลูกไม่ได้ แต่ร่างกายของข้าจะมีลักษณะความเป็นผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เจ้าล้มเลิกความคิดแต่งข้าทำเมียไปเสียเถิด อีกสองปี ข้าอาจจะดูเหมือนผู้ชายทั่วไปก็เป็นได้”

“ใครวางยาเจ้า”

“ทำไม คิดจะแก้แค้นให้ข้าหรือ”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อนิ่งเงียบ “คนที่ทำร้ายเจ้าสมควรตาย”

“แล้วอย่างเจ้า ถือว่าทำร้ายข้าด้วยหรือไม่”

เฟิงอู๋โยวแสยะยิ้มมุมปาก ตั้งแต่นางข้ามมิติมา คนที่ทำร้ายจิตใจนางหนักที่สุดก็คือไป๋หลี่เหอเจ๋อคนนี้

แม้นางจะไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยมีความสัมพันธ์อย่างว่ากับเขาหรือไม่ แต่แค่นึกภาพตามก็รู้สึกปวดใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ตู้ม!

ไป๋หลี่เหอเจ๋อกำหมัดแน่น จากนั้นก็ก็ต่อยอัดกำแพงอิฐลายมังกรด้านหลังโดยที่หมัดแฉลบผ่านแก้มของเฟิงอู๋โยวไป “หากคิดจะเล่นลิ้นกับข้า ข้าจะกระชากลิ้นเจ้าออกมาด้วยมือข้าเอง”

“ท่านราชครูช่างประเสริฐเลิศล้ำจริงๆ! เถียงสู้ข้าไม่ได้ ก็คิดจะกระชากลิ้นข้าเสียแล้ว”

“ข้าจะไม่บังคับ แต่เจ้าต้องยอมอ่อนข้อให้ข้า”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมจวินมั่วหรันถึงถูกเฟิงอู๋โยวยั่วโมโหบ่อยขนาดนั้น

พรสวรรค์ในการกวนประสาทของนางยอดเยี่ยมมาก

แต่ด้วยความที่เขารู้ว่านางเป็นผู้หญิง ทำให้ทุกครั้งที่เขาโกรธ เขามักลังเลที่จะทำร้ายนาง

“ไม่ได้”

เฟิงอู๋โยวปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่เขากำลังโกรธ นางข้อมือของนางก็หลุดออกจากพันธนาการแล้ว นางพยายามอาศัยจังหวะนี้เอื้อมมือไปจับแจกันลายครามขนาดสูงครึ่งค่อนตัว และทุบลงไปที่หน้าผากของไป๋หลี่เหอเจ๋อ

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงแตกดังสนั่น เศษแก้วกระเบื้องกระจัดกระจายเต็มพื้น

ไป๋หลี่เหอเจ๋อหน้าผากแตก เลือดไหลเป็นทางไม่หยุด

มือของเฟิงอู๋โยวก็มีสภาพไม่ต่างกัน ถูกเศษแก้วกระเบื้องบาดจนเลือดออก

ด้านนอกห้องลับ จวินมั่วหรันได้ยินเสียงสิ่งของแตกดังออกมาจากด้านในกำแพงตามที่เฟิงอู๋โยวคาดการณ์ ดวงตาดำสนิทผุดแววสงสัยขึ้นทันที

ฟู่เย่เฉินเกิดสงสัยเช่นกัน หางตาพลันเหลือบมองกำแพงอย่างตึงเครียด ก่อนจะรีบพูดขึ้น “ท่านใต้เท้า เฟิงอู๋โยวไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ได้โปรดกลับไปเถิด”

จวินมั่วหรันทำเป็นไม่ได้ยิน เขาง้างมือไปด้านหลังฉับพลัน พลังภายในทั้งหมดถูกเค้นไปรวมกันที่หมัดก่อนซัดอัดกำแพงอย่างรุนแรง

“ท่านใต้เท้า มือของท่าน…”

จุยเฟิงมองหมัดของจวินมั่วหรันที่ทะลุเข้าไปในกำลังอย่างร้อนใจ เพราะกลัวว่ามือของเขาจะบาดเจ็บ

เสี้ยวพริบตาต่อมา กำแพงก็พังทลายลง

จวินมั่วหรันชักมือที่อาบไปด้วยเลือดกลับมา สายตากวาดมองเศษอิฐที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ภายในเกิดรู้สึกโหรงเหรงขึ้นมา

ดวงตาของฟู่เย่เฉินฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้น เขาแกล้งทำเป็นโมโหและข่มเสียงใส่จวินมั่วหรัน “ท่านใต้เท้าคิดจะทำอะไรกันแน่ กระหม่อมบอกท่านไปแล้วว่าเฟิงอู๋โยวไม่ได้อยู่ที่นี่! แต่ท่านยังทำลายกำแพงเรือนกระหม่อมอีก”

เวลานี้ จุยเฟิงได้นำทหารองครักษ์เงาค้นหาทุกซอกทุกมุมเรือนฟู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เจอะไรทั้งนั้น

เถี่ยโส่วพาสุนัขสองสามตัวเดินหาทุกซอกทุกมุมเช่นกัน แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ

มีควาเป็นไปได้ว่าเฟิงอู๋โยวจะถูกไป๋หลี่เหอเจ๋อพาตัวไปที่อื่น

แต่ว่า จวินมั่วหรันรู้สึกว่านางอยู่ใกล้ๆ เขามาก ใกล้จนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของนาง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เดินไปที่เตียง จ้องมองผ้านวมที่ไม่ยับยู่ยี่และจมอยู่ในความคิดของตัวเอง

ยิ่งไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าเฟิงอู๋โยวจะอยู่ในเรือนแห่งนี้

น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของฟู่เย่เฉินนัก ทำให้ตอนนี้เขาไม่มีข้อมูลว่าเรือนของฟู่เย่เฉินมีห้องลับอยู่กี่ห้องกันแน่

“บอกมา เฟิงอู๋โยวอยู่ที่ไหน”

ความอดทนของจวินมั่วหรันใกล้จะหมดลงเต็มทน เขาจ่อกระบี่ที่คอของฟู่เย่เฉิน

“ความผิดในโทษฐานที่ท่านกำลังกระทำ ไม่มีทางหาข้อแก้ตัวได้”

ฟู่เย่เฉินยักไหล่ ทำเฉไฉก่อนคลี่ยิ้มเอ่ย “ท่านใต้เท้ามาตามหาคนจริงๆ หรือว่าใช้ผลเหตุนี้เป็นเพียงข้ออ้างทำเรื่องบางอย่างเท่านั้น ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วยาม เรือนจื่อหยางถูกวางเพลิง นักพรตในเรือนถูกฆ่าตายจนหมดเกลี้ยง แล้วครั้งนี้ท่านคิดจะวางเพลิงเผาเรือนฟู่ของกระหม่อมอีกอย่างนั้นหรือ”

“ไม่พูดก็ไปตายเสีย”

ดวงตาของจวินมั่วหรันฉายแววสังหารขึ้นมา จากนั้นก็ฟันกระบี่ออกไป

แม้กระบี่ยังไม่ถึงคอ คอของฟู่เย่เฉินก็ปรากฏรอยบาดจนเลือดไหลซึมออกมาจากแรงบีบอันของพลังภายใน

ทันใดนั้น ขุนนางยู่ชิน ขุนนางหรงชิน ขุนนางเต๋อและองค์ชายเฉินก็พากันวิ่งมาในเรือนฟู่พร้อมกัน

แม้แต่จี้มั่วอิ้นเหรินก็มาด้วย

“อาหรันอย่าโมโหจนทำเรื่องสิ้นคิด” จี้มั่วจื่อเฉินเข้ามาขวางด้านหน้าจวินมั่วหรัน เพราะกลัวเขาโมโหจนเผลอลงมือฆ่าฟู่เย่เฉินไปจริงๆ

ถึงแม้จี้มั่วจื่อเฉินจะไม่ชอบฟู่เย่เฉินก็ตาม แต่เขาจปล่อยให้จวินมั่วหรันลงมือทำแบบนั้นไม่ได้

เพราะฟู่เย่เฉินเป็นมือชันสูตรมือหนึ่งของแคว้นตงหลิน และสามารถวาดภาพมือสังหารในคดีต่างๆ ได้เพียงแค่เห็นร่องรอยบนศพเล็กน้อย มีความแม่นยำสูง ไม่ค่อยผิดพลาดและหาคนมาแทนที่ได้ยาก

เหตุผลอีกหนึ่งอย่างก็คือ เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน จวินมั่วหรันได้วางเพลิงเรือนจื่อหยาง ซึ่งทำให้เขาเสียภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก

เรือนจื่อหยางถูกมองว่าเป็นสถานที่สำคัญของแคว้นตงหลินเช่นกัน เมื่อถูกเผา จวินมั่วหรันจะถูกเหล่าขุนนางและประชาชนรุมประชาทัณฑ์

ในสถานการณ์แบบนี้ จวินมั่วหรันทำได้เพียงอยู่นิ่งๆ และเผชิญหน้ากับการพิจารณาจากเหล่าขุนนางระดับสูงอย่างระวัง ไม่ควรใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

“หลบไป”

จวินมั่วหรันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็น เขาขี้เกียจมาใส่ใจภาพรวมของสถานการณ์

หากหาตัวเฟิงอู๋โยวไม่เจอ ต่อให้ฟู่เย่เฉินตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่อาจระบายความโกรธในใจของเขาได้

“อาหรัน ช่วยใจเย็นลงหน่อยได้หรือไม่ บางทีอู๋โยวอาจจะหลงทางก็เป็นได้ ไม่แน่อาจจะกลับเรือนแพทย์เมื่อตอนฟ้าสาง” จี้มั่วจื่อเฉินยังคงขวางอยู่ด้านหน้าจวินมั่วหรันอย่างไม่สะทกสะท้านและพูดขึ้นอย่างจริงจัง ซ้ำยังมีแบบแผน

ขุนนางยู่ชินมองจี้มั่วจื่อเฉินด้วยสายตาลุ่มลึก อยู่ๆ เขาก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่า บางทีจี้มั่วจื่อเฉินอาจจะไม่เหมือนกับที่คนอื่นๆ เขานินทากัน

จี้มั่วจื่อเฉินเป็นคนเสเพล ชอบเสพกามราคะ เรื่องที่เขาติดโรคดอกหลิวก่อนหน้านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วสารทิศแล้ว

แต่ตอนนี้ ขุนนางยู่ชินมองไม่ออกว่าจี้มั่วจื่อเฉินโง่จริงๆ หรือแค่แกล้งโง่กันแน่

จวินมั่วหรันมองเหล่าขุนนางระดับสูงที่อยู่เต็มห้องนอนฟู่เย่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากเรียวบางเปล่งเสียงเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งพันปีออกมา “คืนนี้ ข้าต้องตามหาเฟิงอู๋โยวให้เจอ หากเฟิงอู๋โยวเป็นอะไรไป พวกเจ้าจงเตรียมตัวเป็นศพได้เลย”

เมื่อคำพูดเช่นนี้ถูกเปล่งออกมา เหล่าขุนนางก็พากันกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที

แม้แต่ขุนนางยู่ชินที่สุขุมมาโดยตลอดยังต้องเอ่ยปากพูดขึ้น “ท่านใต้เท้า ใจเย็นก่อน กระหม่อมจะส่งเหล่าทหารฝีมือดีมาช่วยท่านตามหาท่านชายเฟิงแห่งแคว้นเป่ยหลีอีกแรงขอรับ”

เขาเน้นเสียงตรงคำว่า ‘เป่ยหลี’ เพื่อต้องการย้ำว่าเฟิงอู๋โยวไม่ใช่คนของแคว้นตงหลิน ดังนั้นการที่จวินมั่วหรันก่อเรื่องเพื่อต้องการหาตัวแม่ทัพผู้อาภัพจากแคว้นเป่ยหลีเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมแน่นอน

ขุนนางหรงชินพูดเสริม “กระหม่อมจะส่งทหารฝีมือดีช่วยออกตามหาเฟิงอู๋โยวอีกแรงขอรับ”

แต่ว่าก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สนับสนุนจวินมั่วหรัน

“ท่านใต้เท้า ไฉนท่านถึงเผาเรือนจื่อหยางเพียงเพราะคนจากแคว้นอื่นแค่เพียงคนเดียว”

“ใช่แล้วขอรับ เรือนจื่อหยางเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของแคว้นตงหลิน แต่ท่านกลับเผาจนมอดไหม้ ท่านมีแผนอะไรกันแน่”

“ตอนนี้ไม่รู้ว่าท่านราชครูจะมีชะตากรรมร้ายดีเป็นเยี่ยงไร แล้งท่านยังคิดจะลงมือสังหารมือชันสูตรมือหนึ่งแห่งแคว้นอีก ท่านใต้เท้าไม่เกรงกลัวผู้คนทั่วแคว้นรุมประชาทัณฑ์อย่างนั้นหรือ!”

จวินมั่วหรันกระวนกระวายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเพียงต้องการพบเฟิงอู๋โยวให้เร็วที่สุด แต่ความใจร้อนชั่วขณะของเขาทำให้เขาคิดอยากจะฆ่ากลุ่มขุนนางหัวโบราณพวกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

เมื่อเห็นเช่นนี้ จี้มั่วอิ้นเหรินก็ผลักทหารที่อารักขาอยู่ข้างๆ ออกแล้ววิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของจวินมั่วหรัน

เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสวาวของเขาจ้องมองใบหน้าเย็นชาของจวินมั่วหรัน ก่อนพูดเสียงอ้อนวอน “เซ่อเจิ้งหวาง อย่าโมโหไปเลย ข้าก็ชอบเฟิงอู๋โยวมากๆ เหมือนกัน ถ้าหาเขาไม่เจอ ข้าก็กลุ้มใจเหมือนกัน”

“ปล่อย”

“ไม่ปล่อย เซ่อเจิ้งหวางรับปากกับข้าสิว่าจะกลับไปสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อน ท่านต้องเชื่อมั่นในความสามารถของเฟิงอู๋โยว เขาจะต้องรอดพ้นความยากลำบากครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน”

จี้มั่วจื่อเฉินพูดเสริมขึ้น “อาหรัน อย่าใช้อารมณ์แก้ไขปัญหา”

ฟู่เย่เฉิน ค่อยๆ เช็ดเลือดที่คอของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาผุดแววเจ้าเล่ห์ ก่อนพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ “ท่านใต้เท้าขอรับ เฟิงอู๋โยวไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ดังนั้นได้โปรดกลับไปด้วยขอรับ”

“เซ่อเจิ้งหวาง ปล่อยฟู่เย่เฉินไปเถิด ถือว่าเห็นแก่ข้า”

จี้มั่วอิ้นเหรินไม่ต้องการให้จวินมั่วหรันทำเรื่องให้บานปลายไปยิ่งกว่านี้

แม้จวินมั่วหรันจะชอบกลั่นแกล้งเขาอยู่เสมอ แต่เขารู้ว่าจวินมั่วหรันพยายามป้องกันปัญหามากมายก่อนที่จะมาถึงตัวเขามาโดยตลอด

หากไม่มีจวินมั่วหรัน เขาคงไม่สามารถรักษาบัลลังก์เอาไว้ได้

“กลับตำหนัก”

ในที่สุดจวินมั่วหรันก็สงบลงและรีบออกจากเรือนฟู่ทันที

แทนที่จะเสียเวลากับคนพวกนี้ เขาจะคิดหาวิธีอื่นแทน

[1] สุราดีมีไม่ดื่ม กลับชอบดื่มสุราเฝื่อน หมายถึงพูดดีๆ ไม่ยอมทำตาม ชอบให้กำลังเข้าบังคับ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *