เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 292 ความช่วยเหลือแสนวิเศษของกู่หนานเฟิง

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 292 ความช่วยเหลือแสนวิเศษของกู่หนานเฟิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 292 ความช่วยเหลือแสนวิเศษของกู่หนานเฟิง

กู่หนานเฟิงเห็นสภาพจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเขา ก็ข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นใจในลงไม่ได้ จึงกดเสียงต่ำถามขึ้น “สรุปว่าสำเร็จลุล่วงหรือไม่ กระหม่อมอุตส่าห์ปรุงโอสถที่ไม่มีผลเสียกับร่างกายท่าน อีกทั้งมีสรรพคุณคุมกำเนิดชั่วคราวตลอดทั้งคืน แม้ท่านไม่ต้องการพูดถึงรายละเอียด แต่อย่างน้อยก็ควรขอบคุณกระหม่อมสักหน่อยกระมัง”

จวินมั่วหรันทำเป็นหูดับและเดินออกจากเรือนแพทย์ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนซากศพเดินได้

เขาเดินเหม่อไร้จุดหมายไปตามถนนและตรอกซอกซอยที่มีผู้คนพลุกพล่าน ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยาม เขายังคิดว่าตัวเองเป็นบุรุษที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้าอยู่เลย

แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เขากลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นสุดยอดตัวตลก

ถูกสตรีผู้หนึ่งหยอกล้อเล่นสนุกในกำมือ

เขาคิดว่าหากเฟิงอู๋โยวชอบเขาจริงๆ จะต้องไม่มีทางทอดทิ้งเขาด้วยเรื่องเล็กๆ พรรค์นี้แน่นอน

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”

สุดปลายถนน มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นอย่างน่าเวทนามาเป็นระยะๆ

จวินมั่วหรันเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองดูสตรีที่ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนถือไม้กระบอง

หากเป็นเมื่อก่อน คนอย่างเขาที่เคยเห็นชีวิตและความตายมาจนชินชา จะไม่มีทางเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นแน่นอน

แต่อาจเป็นเพราะการอยู่กับเฟิงอู๋โยวที่เป็นเหตุทำให้จวินมั่วหรันมีเมตตามากขึ้นกว่าตัวเขาคนเดิม ที่เลือดเย็นไร้ความปรานี

เขาเห็นท้องสตรีผู้เสี่ยงตาย[1]ที่ถูกล้อมด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์บวมป่องขึ้นมาเล็กน้อย ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา

เขาก้าวไปข้างหน้า แต่กลับได้ยินเหล่าเด็กและสตรีรอบๆ พากันวิจารณ์สตรีที่ล้มลงอยู่บนพื้น

“นางหน้าด้าน ท้องก่อนแต่ง!”

“นางหญิงสำส่อนผิดศีลธรรม ควรถูกจับขังในเล้าหมู”

“ตีนางให้ตาย! เป็นแค่อีตัวที่เอาแต่ยั่วผู้ชาย!”

สตรีที่ล้มลงบนพื้นปกป้องท้องที่ป่องขึ้นมาเล็กน้อยของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว นางร้องไห้สะอื้น “ไม่ใช่ มันไม่ใช่เช่นนั้น! ข้าถูกขืนใจ ข้าไม่ได้ยินยอม”

แต่ชายฉกรรจ์ถือไม้กระบองกลับพูดขึ้น “มีสตรีมากมายในใต้หล้านี้ ไฉนเจ้าถึงถูกบังคับ จะต้องเป็นเพราะเจ้าแต่งกายวาบหวิว กระทำตัวอ่อย ให้ท่า ถือเป็นการเปิดโอกาสให้บุรุษ”

จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น

เขาคิดว่าการที่สตรีผู้นี้ถูกข่มเหงไม่ใช่ความผิดของนาง เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงเหยื่อผู้บริสุทธิ์

เมื่อนึกถึงเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง แม้ว่านางจะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขา แต่ธรรมชาติที่ไร้เดียงสาของนางก็เพียงเพื่อพิสูจน์ว่ารูปร่างของนางไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาพูด ไม่มีเจตนายั่วยวนใดๆ ทั้งสิ้น

นอกจากนี้ นางยังขอโทษเขาในเรื่องนี้ด้วย

พอคิดได้ถึงตรงนี้ อยู่ๆ จวินมั่วหรันรู้สึกว่าท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อนางมันเลวร้ายเกินไป เป็นการบังคับข่มเหงที่ไร้เหตุผลอย่างแท้จริง

“ท่านชาย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”

ชั่วพริบตา หญิงสาวที่ล้มลงบนพื้นคลานมาที่เท้าของจวินมั่วหรัน มือเปื้อนเลือดของนางกำชายเสื้อของจวินมั่วหรันแน่น นางมองว่าเขาเป็นฟางช่วยชีวิต[2]ไปแล้ว

จุยเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดรีบเข้ามาขวางด้านหน้าจวินมั่วหรัน เขาเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “อย่ามาขวางทาง”

“จุยเฟิง ช่วยนาง”

จวินมั่วหรันออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็หันกลับไปและเดินมุ่งหน้าฉับๆ ไปที่เรือนแพทย์พยากรณ์

เขาในตอนนี้ใจเย็นลงแล้ว

ตอนที่เฟิงอู๋โยวตัวสั่นและบอกว่านางกลัว เขากลับหัวเราะและบอกว่านางว่าช่างกล้า เพราะปักใจคิดว่านางไม่ทางกลัวเรื่องสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงแน่นอน

จนกระทั่งตอนนี้ หลังจากเขาได้เห็นสตรีเสี่ยงตายที่ถูกทุกคนชี้หน้าด่าประจาน เขาจึงได้รู้ว่าบุรุษกับสตรีนั้นแตกต่างกัน

ไม่เคยมีผู้ใดรู้สึกว่า บุรุษที่มีสามนางสนม สี่นางบำเรอเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

แต่ทั้งที่เห็นชัดๆ ว่าสตรีเสี่ยงตายถูกบังคับฝืนใจจนตั้งครรภ์ แต่กลับถูกทุกคนด่าทอ เรียกว่าอีตัว

เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวคงจะกลัวเรื่องพรรค์นี้เหมือนกัน

ต่อให้นางจะกล้าหาญเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านทานคำพูดปรามาสด่าทอได้

สิ่งที่น่ารังเกียจก็คือ เขากลับน้ำกามขึ้นสมองจนเพิกเฉยต่อความกลัวและการขัดขืนของนาง มัดมือนางและเกือบทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไป

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังคิดว่าตัวเองยังอดทนกับนางมากพอ ผ่อนปรนตอบรับคำเรียกร้องของนาง มิหนำซ้ำยังเค้นถามนางว่าเหตุใดถึงไม่ยอมรับเขา

หลังจากสงบสติอารมณ์ลง เขาก็ตระหนักว่าทั้งหมดเป็นเพราะการสื่อสารที่ผิดพลาดของตัวเอง เป็นเหตุให้เฟิงอู๋โยวคิดว่าการที่เขาตั้งแต่งตำแหน่งแม่ทัพให้แก่นางเพราะต้องการให้นางมอบร่างกายเป็นการตอบแทน

จวินมั่วหรันหยุดฝีเท้าลงฉับพลัน เขาไม่กล้ากลับไปสู้หน้านางอีก

เขาทำเกินไปจริงๆ ไม่เพียงแต่ปลอบโยนไม่เป็น แต่ยังเคยชินกับการห่มเหงรังแกผู้อื่น

“มัวยืนทำอะไรอยู่ เจ้าคนที่เรือนแพทย์เอาแต่เก็บตัวร้องไห้อยู่ในห้องมาครึ่งค่อนวัน ยังไม่รีบไปปลอบอีก” กู่หนานเฟิงควบม้ามาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นจวินมั่วหรันยืนทื่ออยู่กลางถนนก็แทบอยากเอาแส้ควบม้าฟาดเขาสักสองที

เฟิงอู๋โยวคลุมโปงร้องไห้ แต่เขาเอ้อระเหยลอยชายทำตัวเป็นวีรบุรุษที่ช่วยโฉมงามกลางถนน

“เจ้าหมายถึงเฟิงอู๋โยวเก็บตัวร้องไห้อยู่ในห้องกระนั้นหรือ”

จวินมั่วหรันคิดว่าเฟิงอู๋โยวไร้หัวใจ ต่อให้เขาจากไปก็จะไม่รู้สึกเศร้าแม้แต่น้อย

“ไม่อย่างนั้นจะเป็นใครเล่า ท่านควรจะระงับอารมณ์ลงบ้าง ไฉนต้องให้สตรีเป็นฝ่ายโอนอ่อนผ่อนตามท่าน”

ก่อนที่กู่หนานเฟิงจะพูดจบประโยค จวินมั่วหรันก็ลากเขาลงจากหลังม้า “ขอยืมม้าหน่อย”

เขากระโดดขึ้นม้าและรีบมุ่งหน้าไปที่เรือนแพทย์อย่างร้อนรนใจ

ทว่าทางด้านหลัง กู่หนานเฟิงพยายามตะโกนอย่างสุดเสียง “กระหม่อมลืมบอกท่านไปอย่างหนึ่ง หลังจากที่ท่านออกจากเรือนแพทย์ไป จวินฝูน้องสาวแสนดีของท่านบุกเข้าไปด่าเฟิงอู๋โยวยกหนึ่ง พูดจาเหน็บแนมว่านางให้กำเนิดลูกไม่ได้ บางทีอาจเพราะเฟิงอู๋โยวเห็นแก่หน้าตาของท่านจึงไม่ลงมือกับจวินฝูและได้แต่เชิญนางออกจากไปอย่างสุภาพ ถึงตอนนี้ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ถ้าเฟิงอู๋โยวไม่สนใจท่านจริงๆ ป่านนี้นางคงทุบตีจวินฝูจนฟันร่วงเกลื่อนพื้นแล้ว”

ที่แท้เป็นเพราะจวินฝูไปหานางนี่เอง!

จวินมั่วหรันได้แต่สงสัยว่า เหตุใดท่าทีก่อน-หลังของเฟิงอู๋โยวถึงแตกต่างกันมากขนาดนั้น

เมื่อพิจารณาดูจากตอนนี้ นางต้องถูกจวินฝูปรามาสด่าทอว่านางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้นี่เอง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางตัดสินใจ ‘เลิกคบ’ กับเขา

ผิดที่เขาเอง!

ยามที่นางโศกเศร้าทุกข์ใจ เขากลับเอาแต่ระบายความโกรธใส่นาง

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้หน้าโง่ เป็นไอ้กาดเดน!

[1]เสี่ยงตาย ในที่นี้เป็นความหมายที่อ้างอิงมาจากปฏิรูปพจน์ที่เป็นสถานที่ทางประวัติอย่าง ‘ช่ายซื่อโข่ว’ ที่เป็นตลาดผักที่ใหญ่ที่สุดในนครปักกิ่งสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง สถานที่แห่งนี้ชื่อเสียงมาก เพราะเป็นลานประหารนักโทษต่อหน้าฝูงชนในยุคนั้น เนื่องจากเป๋นย่านที่ผู้คนพลุกพล่านที่สุด จึงเหมาะสมที่สุดต่อการตัดหัวประจาน ดังนั้นในสมัยนั้น หากบอกว่า ‘ไปช่ายซื่อโข่ว’ จะหมายถึง ‘ไปตาย’

[2] ฟางช่วยชีวิต หมายถึงความหวังสุดท้าย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด