เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 338 การตายของหรงชุ่ย

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 338 การตายของหรงชุ่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 338 การตายของหรงชุ่ย

ปัง

เฟิงอู๋โยวพูดยังไม่ทันจบ ที่ด้านนอกของตำหนักหลวนชินก็มีทหารองครักษ์พร้อมดาบพากันกรูเข้ามา

หัวหน้าทหารองครักษ์สีหน้าเย็นชาดุดัน พูดอย่างหนักแน่น “ท่านแม่ทัพเฟิง พวกข้าได้รับคำสั่งจากพระพันปีหลวงให้มาเชิญท่านไปตำหนักคุนหนิง”

จุยเฟิงกุลีกุจอเข้ามาขว้างไว้ด้านหน้าเฟิงอู๋โยว และพูดขึ้นอย่างระแวดระวัง “เซ่อเจิ้งหวางเร่งให้แม่ทัพเฟิงไปร่วมงานเลี้ยง ให้ข้าไปรายงานต่อเซ่อเจิ้งหวางก่อนจะได้หรือไม่”

“ไม่จำเป็น แม่ทัพเฟิงถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการวางยาทำร้ายฮ่องเต้ พระพันปีหลวงจึงมีพระราชเสาวนีย์รับสั่งเป็นพิเศษ ให้พวกข้ารีบนำตัวแม่ทัพเฟิงไปยังตำหนังคุนหนิง”

จุยเฟิงเถียงอย่างแข่งขัน “พวกเจ้ายังไม่ทันตรวจสอบให้แน่ชัด ไฉนถึงได้กล่าวหาแม่ทัพเฟิงแบบนี้ อีกอย่างถ้าแม่ทัพเฟิงถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการวางยานี้จริง ก็ควรที่จะเป็นศาลเล้าตาหลีเป็นผู้พิจารณาคดีไม่ใช่หรือ”

หัวหน้าทหารองครักษ์พกดาบทำเป็นหูทวนลม มองไปยังเฟิงอู๋โยวที่ปั้นสีหน้าเรียบเฉย “พระราชเสาวนีย์จากพระพันปีหลวงท่านจะขัดขืนไม่ได้ ขอเชิญท่านแม่ทัพไปกับเราด้วย”

ขณะเดียวกัน จวินฝูก็หลุดจากการพันธนาการของเชือกที่มัดไว้ออกมาได้

นางรีบเอาถุงเท้าที่ถูกอุดปากไว้ออกและวิ่งไปหลบด้านหลังของทหารองครักษ์ ร้องห่มร้องไห้พูดถึงความโหดร้ายของเฟิงอู๋โยว “เฟิงอู๋โยวไม่สนกฎบ้านกฎเมือง นอกจากจะให้ร้ายสาวรับใช้ของข้าแล้ว ยังกักขังข้าไว้ในตำหนังหลวนชินและทำร้ายข้า โทษนี้สมควรประหาร ฝากทุกท่านนำความนี้ไปรายงานแก่พระพันปีหลวงด้วย”

หัวหน้าทหารองครักษ์ขมวดคิ้วถามจวินฝูด้วยน้ำเสียงสุขุม “การให้ร้ายขุนนางมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต ขอสอบถามองค์หญิง ท่านมีหลักฐานหรือไม่”

จวินฝูใช้นิ้วขยี้จมูกของตัวเอง ก่อนสบถอย่างขุ่นเคือง “นี่พวกเจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร ข้าถูกเฟิงอู๋โยวมัดทรมานไว้กลางเสาเกือบครึ่งชั่วยาม ตอนนี้ใบหน้าของข้าก็ยังบวมอยู่ คำให้การของข้ายังจะหาว่าข้าไม่มีหลักฐานอีกกระนั้นหรือ”

“ขอถามองค์หญิง ตอนนี้สาวรับใช้ของท่านตอนนี้อยู่แห่งใด”

“หรงชุ่ย เพื่อจะปกป้องข้า นางถูกเฟิงอู๋โยวพลักลงบ่อน้ำหลังตำหนักหลวนชิน ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อก็ให้คนลงไปงมขึ้นมาดูก็ได้”

หัวหน้าทหารองครักษ์ได้ยินคำให้การเป็นตุเป็นตะของจวินฝู ก็ไม่อาจรอช้า สั่งคนให้ลงบ่อเพื่องมหา

จุยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบซุบซิบกันกับซือมิ่ง “พระราชเสาวนีย์ของพระพันปีหลวงไม่อาจขัดขืน เจ้ารีบไปตำหนักกระดิ่งทอง[1] มีเพียงท่านใต้เท้าเท่านั้นที่จะช่วยแม่ทัพเฟิงได้”

ซือมิ่งพยักหน้า รีบเดินออกจากตำหนักหลวนชินอย่างเงียบๆ และมุ่งหน้าไปตำหนักกระดิ่งทองทันที

เฟิงอู๋โยวนั่งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะสำรับ ใช้มือเท้าคาง คิ้วงามขมวดเล็กน้อย

อันที่จริง ตอนที่นางเห็นจวินฝูปรากฏตัวในตำหนักหลวนชิน นางก็พอจะเดาเหตุการณ์ออกตั้งแต่แรก

ทว่าอยู่ๆ พระพันปีหลวงก็เข้ามาแทรกแซง ทำให้เกินความคาดหมายของนาง

ถ้าเกิดนางถูกต้องโทษหลายข้อหา และถูกส่งตัวไปยังศาลต้าหลี่ นางก็ยังพอมีวิธีที่จะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองได้

แต่ถ้าหากนำตัวนางไปยังตำหนักคุนหนิง พระพันปีหลวงอาจใช้วิธีลงโทษส่วนตัวกับนางเป็นแน่

เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่านางจะฝีปากกล้าเพียงใดก็คงไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้

ตั้งแต่โบราณกาลมา สถานที่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคุกสวรรค์ของศาลต้าหลี่ คือวังหลวงที่มองภายนอกดูสวยงามหรูหรา แต่ข้างในซ่อนไว้ซึ่งความชั่วร้าย

เพียงชั่วครู่ ทหารราชองครักษ์หลายคนก็ยกศพที่บวมจนแทบจะมองรูปพรรณสัณฐานไม่ออกเข้ามายังตำหนักหลวนชิน

หัวหน้าทหารองครักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ “ท่านแม่ทัพเฟิง หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ ท่านมีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่”

เฟิงอู๋โยวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปหรี่ตาดูศพที่ตายอย่างน่าสยดสยองตรงหน้า พูดเสียงเรียบตอบไป “นี่พวกเจ้ากำลังโกหกข้าอยู่หรือกไร สาวรับใช้ของจวินฝูที่รูปร่างผอมบางจะสามารถบวมจนตัวพองได้เพียงนี้เลยหรือ”

จวินฝูมองอย่างไม่ละสายตาไปจากใบหน้าที่ถูกถอดหน้ากากออก เหตุไฉนจึงมองใบหน้าของศพไม่ออกว่าเป็นใคร ภายในใจนึกสงสัย

ความจริงคือนางใส่ยาพิษลงในอาหารของหรงชุ่ยเกินขนาดจนนางกระอักเลือดตายต่อหน้าต่อตา

ก่อนที่จะนางจะผลักศพของหรงชุ่ยลงในบ่อ ใบหน้าของนางยังดีอยู่เลย

แล้วเหตุใด ถึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้

เฟิงอู๋โยวย่อตัวลงกึ่งนั่ง สำรวจศพอย่างจริงจังเป็นพิเศษ

ก่อนที่นางจะทะลุมิติมา นางเคยพบเห็นขั้นตอนการเน่าเปื่อยหรือการบวมของศพมาอยู่บ้าง

แต่เมื่อคำนวณเวลาแล้ว ระยะเวลาหลังจากหรงชุ่ยโดนทำร้ายก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วยาม ร่างคงไม่บวมขยายใหญ่แบบนี้อย่างแน่นอน

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ บนเสื้อผ้าของผู้ตายไม่มีเค้าลางว่ามีการปริขาดจากการขยายใหญ่เลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า ศพที่ไม่สามารถพิสูจน์ใบหน้าระบุตัวตันต่อหน้าศพนี้ไม่ใช่หรงชุ่ยแน่นอน

ในเมื่อไม่ใช่หรงชุ่ย เรื่องนี้ก็จัดการง่ายขึ้น

เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟิงอู๋โยวหันกลับมาเค้นถามจวินฝูด้วยสีหน้าดุดัน “ท่านหญิงจวินฝู ท่านมีหลักฐานที่บ่งบอกว่าข้าเป็นคนฆ่าหรงชุ่ยหรือไม่” จวินฝูคิดว่าหลังจากหรุงชุ่ยตายแล้ว ศพที่ตกลงไปในบ่อจะต้องครูดกับของแข็งในบ่อน้ำจนทำให้ผิวหน้าหลุดรุ่ย ถึงได้มีลักษณะมีเลือดซิบๆ ทั่วใบหน้าแบบนี้ นางไม่ฉุกคิดแม้แต่น้อยว่าศพนี้จะไม่ใช่หรงชุ่ย

จวินฝูในตอนนี้ ในใจมีแต่ความคิดจะเอาความผิดเฟิงอู๋โยวให้ได้ จึงพูดให้ร้ายเพิ่มเติมขึ้น “จะต้องการหลักฐานอะไรอีก ข้าเห็นมากับตาของข้าว่าเจ้าเป็นคนถลกหนังหน้าของหรงชุ่ยออกอย่างเหี้ยมโหด แล้วก็โยนศพนางลงในบ่อ”

“เจ้าแน่ใจนะว่านี่คือหรงชุ่ย”

เฟิงอู๋โยวอมยิ้มมองจวินฝูที่ให้การข้างๆ คูๆ

จวินฝูโง่เง่าไร้เดียงสา ทั้งๆ ที่ร่างของศพนี้กับร่างของหรงชุ่ยแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

แต่นางเป็นคนฆ่าหรงชุ่ยด้วยตัวเองแน่นอน แล้วนางก็เค้นแรงวัวแรงควายทั้งหมดที่มี โยนศพนางลงในบ่อน้ำ

เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน

หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบครอบ จวินฝูยังคงยืนกรานว่าเฟิงอู๋โยวคือฆาตกรที่ฆ่าหรงชุ่ย “หรงชุ่ยอยู่กับข้ามาเป็นสิบปี ข้าจะจำคนผิดได้เยี่ยงไร”

จุยเฟิงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก เขารู้ดีว่าสถานะของเขาไม่มีสิทธิ์ที่สั่งการใดๆ กับจวินฝูได้

แต่เขาทนไม่ได้จริงๆ ที่จวินฝูใส่ร้ายเฟิงอู๋โยวแบบนี้

บางทีนี่อาจเป็นความรักบ้านและอีกาบนหลังคา

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นอกจากจะมองว่าจวินมั่วหรันเป็นนายของเขาแล้ว เขายังมองว่าจวินมั่วหรันคือคนในครอบครัวของเขา

เฟิงอู๋โยวคือคนรักของจวินมั่วหรั่น แน่นอนว่าเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องนาง

“ท่านหญิงจวินฝู ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าท่านใต้เท้ารู้เรื่องราวทั้งหมดนี้เข้า ท่านใต้เท้าจะมีทีท่าเยี่ยงไร” จุยเฟิงตีสีหน้าเรียบเค้นถามจวินฝู

“สิ่งที่พูดทุกอย่างล้วนเป็นความจริง ท่านพี่จะต้องแยกแยะออกและไม่ลงโทษข้าสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน”

จวินฝูแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจกลับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้ นางแค่คิดว่าจะเอาเฟิงอู๋โยวเข้าคุกสวรรค์ของศาลต้าหลี่

แต่ตอนนี้ พอได้ยินที่จุยเฟิงพูดขึ้น นางถึงได้สำเหนียกว่าการกระทำทุกอย่างของนางในวันนี้อาจทำให้จวินมั่วหรันรู้สึกผิดหวังในตัวนางอย่างที่สุด

หัวหน้าทหารองครักษ์เห็นจวินฝูที่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าคนที่ทำร้ายสาวรับใช้ของนางคือเฟิงอู๋โยว ก็รีบพูดขึ้นอย่างเกรงใจ “ขอเชิญท่านหญิงไปยังตำหนังคุนหนิงด้วยกันขอรับ พระพันปีหลวงต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านหญิงแน่นอน”

“ลำบากทุกท่านแล้ว”

จวินฝูตอบขอบคุณด้วยเสียงแผ่วเบา ในใจนางครุ่นคิด ขึ้นหลังเสือแล้วคงลงยาก ต้องไปให้ถึงที่สุด

จุยเฟิงกำลังจะหาวิธีประวิงเวลา แต่เฟิงอู๋โยวพูดขึ้น “ช่างเถิด ไปตำหนักคุณหนิงเลยแล้วกัน ถ้าไป อย่างน้อยยังจะพอมีโอกาสในการแก้ต่างอยู่บ้าง ถ้าไม่ไปก็จะกลายเป็นขัดพระราชเสาวนีย์”

“แม่ทัพเฟิง เชิญ”

หัวหน้าทหารองครักษ์ผายมือทำท่า ‘เชิญ’ ให้กับเฟิงอู๋โยว คือว่าเป็นการเชิญนางออกจากตำหนักหลวนชินด้วยความเกรงใจ

[1]ตำหนักกระดิ่งทอง คืออีกชื่อเรียกหนึ่งของตำหนักพระที่นั่งสูงสุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด