เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ 170 ขุนนางจิ้นอยู่ไม่สุข / 171 พิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์

Now you are reading เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ Chapter 170 ขุนนางจิ้นอยู่ไม่สุข / 171 พิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 170 ขุนนางจิ้นอยู่ไม่สุข / ตอนที่ 171 พิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์

ตอนที่ 170 ขุนนางจิ้นอยู่ไม่สุข

หลังจากนั้นไม่นานฉู่อีอีที่ตัวสั่นราวกับลูกนกตกใจก็ถูกทหารนำตัวเข้ามาที่ท้องห้องโถงศาลต้าหลี่ในท้องพระโรงว่าการ

นางเหลือบมองขุนนางจิ้นที่ตกใจจนสำลักน้ำลายตัวเองและไออย่างรุนแรง ก่อนหันไปมองไป๋ใบหน้าสงบนิ่งของหลี่เหอเจ๋อ

ขุนนางจิ้นขยี้ตา เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฉู่อีอีที่ยังมีชีวิตอยู่

อันที่จริงเมื่อประมาณเที่ยงคืนของคืนที่ผ่านมา เขาได้ส่งมือสังหารไปฆ่าฉู่อีอีแล้ว แต่ว่าคนของเขาไปถึงหน้าผาในเขตชานเมืองด้านตะวันออก นางได้กลายเป็นศพไปแล้ว

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางยังมีชีวิตอยู่!

หน้าของขุนนางจิ้นถอดสีลง เขากลัวว่าสิ่งที่ฉู่อีอีทำกับจี้มั่วอิ้นเหรินจะถูกเปิดเผย จึงพยายามเบี่ยงประเด็น “เมื่อวานเจ้าไปไหนมา อย่าบอกนะว่าแอบไปมีสัมพันธ์ลับกับคนอื่นลับหลังข้า”

เมื่อเห็นว่าขุนนางจิ้นตื่นตระหนกเฟิงอู๋โยวก็คิดขึ้นในใจ…ต่อให้เขาจะเกิดในตระกูลขุนนางผู้สูงส่ง แต่ใช่ว่าจะกลายเป็นผู้ล่าในศึกชิงอำนาจแห่งแคว้นตงหลิน

มีความทะเยอทะยานก็จริง แต่กลับไร้อำนาจและความสามารถ

ถูกคนอื่นใช้เป็นมือเป็นไม้และรับบทเป็นแพะรับบาปอย่างไม่รู้ตัว…ขุนนางจิ้นช่างโง่เหมือนหมูจริงๆ!

ฉู่อีอีสะกดความรังเกียจที่มีต่อขุนนางจิ้นในดวงตาลง นางเช็ดน้ำตาบนแก้มก่อนแสร้งพูดขึ้น “หม่อมฉันผิดไปแล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนหม่อมฉันอยากไปปล่อยโคมลอยที่คูเมืองและก็ได้มาเจอกับเฟิงอู๋โยวอย่างไม่คาดคิด อยู่ๆ เขาก็เกิดอารมณ์ทางเพศและเขาอยากจะทำอะไรกับหม่อมฉัน หม่อมฉันกลัวก็เลยหนีไป จนรอดพ้นจากเขาเจ้าค่ะ”

“ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อคืนเจ้าเป็นคนลงมือกับองค์ฮ่องเต้ พอทำสำเร็จก็คิดจะล่อลวงเซ่อเจิ้งหวาง หากเซ่อเจิ้งหวางไม่ทำอะไรสักอย่าง ชะตาของขุนนางจิ้นคงขาดไปแล้ว”

เฟิงอู๋โยวเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาอันเฉียบคมของนางจ้องมองฉู่อีอีที่กำลังแสดงละครอย่างเยือกเย็น

เท่าที่นางรู้ ในใจของฉู่อีอีมีเพียงจวินมั่วหรัน

สำหรับสาเหตุที่อยู่ๆ ฉู่อีอีก็เปลี่ยนใจยอมเข้าเป็นนางสนมให้ขุนนางจิ้นก็เพราะมีแผนอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลัง

บางทีฉู่อีอีอาจถูกไป๋หลี่เหอเจ๋อขู่ ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟัง

แต่เฟิงอู๋โยวไม่สนใจฉู่อีอีอะไรทั้งนั้น

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็ก้าวขึ้นไปบันไดอย่างกระทันหัน นางประคองแขนของจี้มั่วอิ้นเหรินด้วยมือข้างหนึ่งใน แล้วถกแขนเสื้อของเขาขึ้น จากนั้นก็ฝังเข็มไปที่จุดช้ำๆ บนแขนของเขาอย่างรวดเร็ว

“ซื้ด…”

จี้มั่วอิ้นเหรินสูดปากด้วยความเจ็บปวด

“ขอโทษด้วย”

เฟิงอู๋โยวมองดวงตาที่ดูว่างเปล่าของจี้มั่วอิ้นเหริน หากมีวิธีอื่นนางก็คงจะไม่เลือกวิธีที่รุนแรงเช่นนี้

คิ้วหนาๆ ของขุนนางจิ้นขมวดแน่น ดวงตาขุ่นมัวของเขาจ้องไปที่เฟิงอู๋โยวที่ทำตัวแปลกๆ “เจ้าช่างบังอาจทำตัวป่าเถื่อนราวกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง หากฮ่องเต้เป็นอะไรขึ้นมา เจ้าต้องตายสถานเดียว!”

“ไม่ทราบว่าดวงตาคู่ไหนของขุนนางจิ้นมองเห็นคนของข้ากำลังทำตัวป่าเถื่อน”

ดวงตาสีดำของจวินมั่วหรันจ้องขุนนางจิ้นเขม็ง รังสีเรืองอำนาจของจวินมั่วหรันทำเอาบรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงว่าการแห่งศาลต้าหลี่ตกอยู่ในความกดดันอันเงียบงันทันที

เมื่อเห็นจวินมั่วหรันออกโรง แพทย์หลวงซูก็มีความกล้าขึ้นมาในทันที เขารีบพูดปกป้องเฟิงอู๋โยว “พิษในร่างกายของฮ่องเต้ยังแพร่กระจายอยู่ และเนื่องจากท่านชายเฟิงฝังเข็มสกัดจุด ทำให้ระงับการแพร่กระจายพิษได้ทันเวลา”

เฟิงอู๋โยวมองแพทย์หลวงซูด้วยความรู้สึกขอบคุณ ก่อนเอ่ยขึ้น “ที่แพทย์หลวงพูดมาเป็นความจริง แต่อย่างไรก็ตาม พิษในร่างฮ่องเต้ไม่ใช่พิษจากหนอนพิษทั่วไป แต่เป็นพิษจากหนอนพิษนางพญาแม่ลูกอ่อนที่หายากมาก ตามหลักการแล้ว หนอนพิษชนิดนี้สามารถใช้หนอนพิษนางพญาคุมควบสั่งการตัวอ่อนหนอนพิษได้ แต่ว่าทุกเรื่องบนโลกย่อมมีข้อยกเว้น หากสามารถจับคุมหนอนพิษตัวอ่อนและทำให้มันต้องอยู่ในอันตรายได้ ก็จะสามารถใช้หนอนพิษตัวอ่อนบีบบังคับควบคุมหนอนพิษนางพญาได้เช่นกัน”

ขณะที่พูดอธิบาย นางก็ออกแรงที่มือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จี้มั่วอิ้นเหรินเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมา

ในเวลาเดียวกันฉู่อีอีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมาจริงๆ และทันใดนั้น ร่างกายของนางก็เริ่มบิดไปบิดมา ทำให้ทุกสายตารอบๆ ย้ายไปมองที่นาง

เฟิงอู๋โยวรู้ดีว่าสาเหตุที่ฉู่อีอีเคลื่อนไหวร่างกายแบบนั้นเป็นเพราะหนอนพิษนางพญาในร่างกายของนางสัมผัสได้ถึงอันตรายที่หนอนพิษตัวอ่อนกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้นหนอนพิษนางพญาจึงต้องการออกจากร่างกายของฉู่อีอีเพื่อเข้าช่วยเหลือตัวอ่อนหนอนพิษที่อยู่ใต้ผิวหนังของจี้มั่วอิ้นเหริน

ตอนที่ 171 พิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์

ขณะที่ฉู่อีอีทรมานจนเสียสติไป หนอนพิษนางพญาร่างสีขาวราวกับหิมะก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากกระโปรงของนาง

เมื่อเห็นเช่นนั้นเฟิงอู๋โยวก็ค่อยๆ ดึงเข็มเงินยาวหนึ่งนิ้วออกจากแขนจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างใจเย็น

“ตัวอ่อนหนอนพิษกำลังออกจากร่างฮ่องเต้แล้ว!”

แพทย์หลวงซูตะโกนร้องอย่างดีใจพร้อมกับชี้ไปที่รูเข็มที่แขนจี้มั่วอิ้นเหริน ทันใดนั้นหัวของตัวอ่อนหนอนพิษก็ค่อยๆ ออกมาจากรูเข็ม

สายตาอันเฉียบคมและมือที่ฉับไวของเฟิงอู๋โยว หยิบแหนบปลายแหลมในกระเป๋าแพทย์ของแพทย์หลวงซูออกมาอย่างว่องไว นางคีบหัวตัวอ่อนหนอนพิษและดึงร่างอันน่าขยะแขยงออกมาจากร่างกายจี้มั่วอิ้นเหรินจนหมด

ทันทีที่ตัวอ่อนหนอนพิษถูกดึงออกจากร่างกาย จี้มั่วอิ้นเหรินก็อาเจียนเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาของเขากรอกขึ้นด้านบนจนเหลือแต่ตาขาว ก่อนล้มหมดสติลงบนไหล่แพทย์หลวงซูอย่างไร้เรี่ยวแรง

เหล่าขุนนางชั้นสูงมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ก่อนถามแพทย์หลวงซูเป็นเสียงเดียวกัน “เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท”

แพทย์หลวงซูจับสัญญาณชีพจรที่ข้อมือของจี้มั่วอิ้นเหรินเพื่อยืนยันอาการของจี้มั่วอิ้นเหรินและแล้วสีหน้าเคร่งเครียดของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“ฮ่องเต้ถูกตัวอ่อนหนอนพิษเล่นงานจากภายในร่างกาย ตอนนี้ร่างกายของฮ่องเต้อ่อนแอมากและจำเป็นต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง โชคดีที่พิษในร่างกายของฮ่องเต้ถูกระงับจนหมดแล้ว อีกไม่นานก็จะได้สติกลับมา”

จี้มั่วจื่อเฉินดีใจยิ่งนัก เขากล่าวชื่นชมเฟิงอู๋โยวยกใหญ่ “เฟิงอู๋โยว เจ้าคู่ควรที่จะเป็นแพทย์ผู้อัศจรรย์หนึ่งเดียวในใต้หล้าจริงๆ ไม่เพียงแต่รักษาโรคดอกหลิวได้ แต่ยังรักษาอาการติดพิษจากหนอนพิษนางพญาแม่ลูกอ่อนได้อีกด้วย เจ้ามันสุดยอดจริงๆ!”

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววรังเกียจขึ้นมา

ติดโรคดอกหลิวมันไม่ได้เรื่องดีเท่าไหร่ แต่จี้มั่วจื่อเฉินยังกล้าพูดออกต่อหน้าผู้คนแบบนี้อีก!

แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรังเกียจพฤติกรรมหลงใหลในกามราคะของจี้มั่วจื่อเฉิน แต่พวกเขาก็อิจฉาจี้มั่วจื่อเฉิน ที่มีผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างจวินมั่วหรันผู้อยู่เบื้องหลัง

ครั้นแล้ว ขุนนางหรงชินและคนอื่นๆ จึงเลิกคิ้วขึ้นและเผยยิ้มออกมา ก่อนพากันพูดคล้อยตามจี้มั่วจื่อเฉิน “เห็นด้วยกับที่องค์ชายเฉินพูดมา พี่แม่ทัพเฟิงช่างน่าทึ่งเป็นที่สุด”

แต่ว่า…มีคนสุข ย่อมมีคนทุกข์

เมื่อข้อกล่าวหาของเฟิงอู๋โยวถูกคลี่คลาย ขุนนางจิ้นก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย

เขากลัวว่าจะถูกสาวมาถึงตัวเอง

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็ลุกพรวดโพล่งถามเฟิงอู๋โยวด้วยความโกรธ “เฟิงอู๋โยว เจ้าเป็นคนฝังหนอนพิษนางพญาลงในร่างกายนางสนมคนรักของข้าใช่หรือไม่”

“อย่ารีบร้อนไปเลย ข้ายังต้องทวงความยุติธรรมจากพวกท่านอีกหลายเรื่อง”

เฟิงอู๋โยวพูดอย่างใจเย็น จากนั้นมองไปด้านข้างเล็กน้อยและถามจวินมั่วหรันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ท่านใต้เท้าขอรับ ไม่ทราบว่าท่านสามารถสั่งทหารที่ศาลาว่าการให้นำสุนัขล่าเนื้อมาที่ท้องพระโรง เพื่อระบุตัวผู้มือสังหารในคดีฆาตรกรรมที่ศาลเจ้าหงเย่อีกครั้งได้หรือไม่ขอรับ”

“ได้”

เดิมทีจวินมั่วหรันคิดจะใช้อำนาจความรุนแรงเข้าควบคุมสถานการณ์และและปิดปากทุกคน

แต่เฟิงอู๋โยวไม่คิดว่าเรื่องนี้ลำบากเกินกว่าแรง และนางต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจวินมั่วหรันจึงไม่อยากเข้าไปขัดและได้แต่ทำตามคำขออย่างนางแต่โดยดี

ทันทีที่สุนัขล่าเนื้อถูกลากเข้ามา พวกมันก็เห่าใส่ฉู่อีอีที่หมดสติทันที

อันที่จริงฉู่อีอีแกล้งสลบ ในใจของนางตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่โต้ตอบไม่ได้เช่นนี้

นางฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นนางสามารถจัดการสุนัขล่าเนื้อได้อย่างไม่มีปัญหา แต่จะให้นางทำแบบนั้นภายใต้สายตาทุกคนได้เยี่ยงไร

เมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงแอบมองขุนนางจิ้นด้วยดวงตาน้ำตาคลอ

เมื่อบรรลุเป้าหมาย เฟิงอู๋โยวจึงสั่งให้คนนำสุนัขล่าสัตว์ออกไป ก่อนพูดอย่างฉะฉานอีกระลอก “ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่า บาดแผลที่คอของเหล่านักบวชมีกลิ่นของเครื่องร่ำแป้งหอมจางๆ ติดอยู่ ซึ่งของพรรค์นี้เป็นของใช้ของหญิงสาว ผู้ชายอย่างข้าไม่ใช้แน่นอน แต่แม่หญิงฉู่อีอีผู้ซึ่งเคยชินกับการแต่งหน้าหนักๆ มาโดยตลอด ดังนั้นหลักฐานส่วนนี้จึงชี้มาที่ตัวนางได้อย่างชัดเจน”

ขุนนางจิ้นกระวนกระวายใจเป็นยิ่งนัก “เฟิงอู๋โยว หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว สุนัขล่าเนื้อไม่เพียงแต่เห่าระบุตัวนางสนมของข้าเท่านั้น แต่พวกมันยังเห่าใส่เจ้าและท่านราชครูด้วย หรือว่าเจ้ากับท่านราชครูเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยนางสนมของข้าเล่นงานองค์ฮ่องเต้”

“ท่านมือชันสูตรฟู่บอกเองไม่ใช่หรือว่าบาดแผลของผู้ตายเกิดจากการถูกกัด แค่นี้ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ”

เฟิงอู๋โยวคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าขุนนางจิ้นจะต้องปฏิเสธแน่นอน ดังนั้นนางจึงหยิบจี้แหวนที่จวินมั่วหรันมอบให้ออกมาอย่างใจเย็น

นางแสดงจี้แหวนให้ทุกคนดูและพูดอย่างมั่นใจ “จี้แหวนนี้เป็นของส่วนตัวของเซ่อเจิ้งหวางที่มอบให้แก่ข้า ทุกคนดูให้ดี เมื่อถึงตอนนั้น หากข้าใช้จี้แหวนสะกดจิตเพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับ ก็อย่ามากล่าวหากันว่าเป็นเครื่องรางปีศาจแล้วกัน”

จวินมั่วหรันเห็นเฟิงอู๋โยวเก็บจี้แหวนที่เขามอบติดตัว มุมปากของเขาก็รั้งขึ้นทันที แววยิ้มแย้มพลันแต่งแต้มลงบนดวงตาสีดำ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *