สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 495 ทุกคนในเมืองหลวงรู้กันทั่วแล้ว
บทที่ 495 ทุกคนในเมืองหลวงรู้กันทั่วแล้ว
บทที่ 495 ทุกคนในเมืองหลวงรู้กันทั่วแล้ว
รถม้าสกุลลู่มาถึงหน้าประตูแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินเสียงข้ารับใช้ถ่ายทอดคำพูดมา จึงเก็บข้าวของออกจากหอซือเป่า
ติงเซียงสาวใช้ที่คอยดูแลลู่จื่ออวิ๋นยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นคุณหนูออกมา นางก็รับห่อสัมภาระในมือผู้เป็นนายไปถือไว้
ทันใดนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็ผ่านมา
คนในรถม้าเปิดม่านออก เห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังก้าวเหยียบเก้าอี้ขึ้นรถม้าพอดี
“เจ้ามองอะไรน่ะ?” เซี่ยชิงโจวมองตามสายตาของเซี่ยเฉิงจิ่น เห็นเพียงด้านหลังของลู่จื่ออวิ๋น “รู้จักแม่นางผู้นั้นหรือ?”
“ไม่รู้จัก” เซี่ยเฉิงจิ่นปล่อยม่านลง
“จะว่าไปแล้ววันนี้ช่างสะใจจริง ๆ” เซี่ยชิงโจวตบพัดลงกับฝ่ามือ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ข้าว่าเกิ่งเชียนจวินคงจะไม่กล้าออกมาพบหน้าผู้ใดไปอีกครึ่งเดือนเชียว ฮ่า ๆๆๆ …เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้าจริง ๆ หรือ?”
“ไม่ใช่” เซี่ยเฉิงจิ่นนึกถึงแม่นางน้อยเมื่อครู่ รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นผ่านแววตา
“เจ้าต้องมีอะไรปิดบังข้าเป็นแน่!” เซี่ยชิงโจวโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อนสนิทของตน “วันนี้ดูเหมือนเจ้าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“แล้วเจ้าอารมณ์เสียหรือ?” เซี่ยเฉิงจิ่นปรายตามอง “ได้เห็นเกิ่งเชียนจวินทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงเช่นนั้น เจ้าไม่รู้สึกโล่งใจอย่างนั้นสิ?”
“โล่งใจ โล่งใจเป็นพิเศษเชียวละ!” สีหน้าเซี่ยชิงโจวกลับมาเยือกเย็นเมื่อเอ่ยถึงเกิ่งเชียนจวิน “ตอนนั้นพี่สาวของข้าโง่งมจึงถูกเขาหลอก นางกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวง ท้ายที่สุดก็ต้องแต่งออกไปข้างนอกเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ขั้นขุนนางของสกุลข้าต่ำต้อย แต่ข้าจดจำหนี้แค้นนี้ได้เสมอ รอวันที่เกิ่งเชียนจวินผู้นี้อับโชค”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เซี่ยชิงโจวก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าทำจริง ๆ หรือ?”
“ไม่ใช่”
“หากข้ารู้ว่าผู้ใดทำ จะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาแน่นอน” เซี่ยชิงโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้เจ้าจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่เจ้าเป็นผู้จัดการแข่งขันฉุยหวันขึ้นมาภายหลังใช่หรือไม่? เกิ่งเชียนจวินจะต้องโกรธแค้นเจ้าแทบตายเป็นแน่ หนี้แค้นนี้เขาคงจดจำใส่หัวไว้แล้ว”
“เห็นข้ากลัวเขาหรือ?”
“ก็ไม่” เซี่ยชิงโจวหัวเราะคิกคัก “หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เกิ่งเชียนจวินคงกลายเป็นที่ขบขันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ดูซิว่าภายหน้าเขาจะยังยโสโอหังเช่นนี้ได้หรือไม่?”
เซี่ยเฉิงจิ่นส่งเซี่ยชิงโจวกลับไปยังสกุลเซี่ย(夏) จากนั้นรถม้าสกุลเซี่ย(谢) จึงมุ่งหน้าไปยังจวนอู่อันโหว
ผู้ติดตามเข้ามาในรถม้า และรายงานข่าวให้เซี่ยเฉิงจิ่นฟัง
“แม่นางผู้นั้นเป็นบุตรสาวใต้เท้าลู่ขอรับ” ผู้ติดตามกล่าว
“ลู่อี้ศาลต้าหลี่หรือ?” เซี่ยเฉิงจิ่นขมวดคิ้วมุ่น “บุตรสาวตระกูลขุนนาง เหตุใดจึงเข้าหอซือเป่า?”
“สกุลลู่นี้น่าสนใจเป็นพิเศษ ฮูหยินใต้เท้าลู่คือผู้ใด ท่านรู้จักหรือไม่?”
“อย่าได้โยกโย้ให้มากความ”
“ฮูหยินลู่คือสตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งในเมืองฮู่เป่ย อีกทั้งนางยังเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าของเมืองฮู่เป่ยด้วย ไม่นานมานี้เล่าลือกันว่าลานหรรษาของเมืองฮู่เป่ยนั้น ฮูหยินลู่เป็นผู้สร้างและออกแบบด้วยตนเอง นอกจากสะพานและกิจกรรมทางน้ำเมืองฮู่เป่ย ทั้งหมดล้วนเป็นยอดผลงานของฮูหยินลู่ สำหรับสกุลลู่แล้ว การให้สตรีออกหน้าออกตาดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรเสียนายหญิงของบ้านก็เป็นเช่นนั้น จริงสิ ลู่เซวียนน้องชายของใต้เท้าลู่ถูกหมาป่าของลี่เฟยกัดเมื่อไม่นานมานี้ ข้าไปสอบถามมาจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของเกิ่งเชียนจวินขอรับ”
“ไม่แปลกใจ…” เซี่ยเฉิงจิ่นเข้าใจแล้ว
ที่แท้แม่นางน้อยผู้นั้นระบายโทสะแทนท่านอาของตน
เด็กอย่างไรก็เป็นเด็ก วิธีการแก้แค้นของนางน่าเอ็นดูเกินไป แค่ทำให้ท้องเสียจะมีประโยชน์อะไรเล่า?
ดังนั้น เขาจึงใช้โอกาสนี้จัดการเกิ่งเชียงจวินและทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าโดยสมบูรณ์
ผลที่ได้คือ ระหว่างการแข่งขันฉุยหวัน เกิ่งเชียงจวินได้ ‘ปลดปล่อยไกลพันลี้’ ผู้รับชมล้วนได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากร่างกายเขา
เกิ่งเชียงจวินทรุดลงทันที ข่มขู่ว่าผู้ใดก็ตามที่กล้าเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาจะฆ่าให้หมดทั้งสกุล ทว่าตอนนั้นมีคนมากมาย อีกทั้งยังมีคุณหนูคุณชายจากตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งอยู่ด้วย แล้วผู้ใดจะใส่ใจคำพูดเขา?
เหตุการณ์นี้จึงแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เกิ่งเชียนจวินได้รับฉายาที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์มาฉายาหนึ่ง ‘เชียนจวินอีฟ่า’*[1]
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ลู่ฉาวอวี่บุตรชายใต้เท้าลู่ พี่ชายฝาแฝดของแม่นางน้อยผู้นั้น ตอนนี้เป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชายห้า เขาเล่าเรียนอยู่ในสำนักบัณฑิตหลวง”
ณ พระราชวัง ฟ่านเหยี่ยนอ้าปากหาว เขามองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยกับสองสามคนที่อยู่ตรงนั้น พลางถามลู่ฉาวอวี่ที่กำลังเก็บหนังสือ “เสร็จแล้วหรือยัง?”
“อืม” ลู่ฉาวอวี่ตอบนิ่ง ๆ
“วันนี้ข้าจะถือโอกาสไปกินข้าวที่บ้านเจ้า” ฟ่านเหยี่ยนลุกขึ้น “ไปกันเถอะ!”
มู่เจิ้งหานเอ่ยขัด “แต่วันนี้ท่านอาจารย์บอกว่า…”
“จะสนใจเขาไปไย” ฟ่านเหยี่ยนบอกปัดมู่เจิ้งหานอย่างหมดความอดทน
มู่เจิ้งหานมองลู่ฉาวอวี่
ฟ่านเหยี่ยนไม่ขยันหมั่นเพียรเล่าเรียนศึกษา ท้ายที่สุดย่อมเป็นสหายร่วมเรียนสองคนที่ได้รับความลำบาก หากรู้ว่าฟ่านเหยี่ยนเกียจคร้านในการเรียนเพียงนี้ มู่เจิ้งหานไม่เป็นสหายร่วมเรียนของเขายังดีเสียกว่า
“ท่านอย่าได้ทำให้พวกเขาลำบากใจ” เจียงหว่านเฉินที่นั่งอยู่ข้างหลังฟ่านเหยี่ยนยังไม่ได้ลุกออกไป “ท่านอาจารย์ให้การบ้านชดเชยเมื่อวานนี้ ท่านเป็นองค์ชาย แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจบทลงโทษของอาจารย์ ทว่าเรื่องนี้ย่อมส่งผลกับฉาวอวี่และเจิ้งหานอย่างแน่นอน”
ฟ่านเหยี่ยนมองลู่ฉาวอวี่ แล้วเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “มิเช่นนั้น พวกเราแอบออกไปเป็นอย่างไร?”
“พระวิ่งหนีได้วัดวิ่งหนีไม่ได้” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยนิ่ง ๆ “นอกเสียจากพรุ่งนี้จะไม่อยากเข้าเรียนแล้ว”
“เมื่อวานนี้ข้าง่วงนอนเกินไปจึงมิได้ทำการบ้าน ปกติข้าทำนะ” ฟ่านเหยี่ยนกล่าว
“ใช่แล้ว! ปกติจะให้ข้ารับใช้ทำ” ลู่ฉาวอวี่เผยลูกไม้ของอีกฝ่ายออกมา “น้องสาวข้า… ชอบคนที่มีความรับผิดชอบ”
ฟ่านเหยี่ยน “…”
คำพูดนี้แทงใจดำทันที
รู้ว่าเขากลัวสิ่งใด ฉาวอวี่ก็เลือกเอ่ยสิ่งนั้น
“น้องสาวของเจ้าเมินข้าอีกแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงลู่จื่ออวิ๋น สีหน้าของฟ่านเหยี่ยนก็ดูอดสู “ข้าปฏิบัติต่อนางไม่ดีหรือ? เหตุใดนางจึงไม่อยากพบข้า?”
“หากท่านเอาความพยายามของท่านที่มีต่อนางไปใช้กับการเล่าเรียน บางทีนางอาจจะมองท่านดีกว่านี้ ท่านว่าเวลานางทำสิ่งใด นางจริงจังมากหรือไม่? หรือท่านที่เป็นบุรุษจะยอมแพ้นาง?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอย่างสุขุม “สตรีล้วนชื่นชมวีรบุรุษ พวกนางย่อมเลื่อมใสบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าตน”
ฟ่านเหยี่ยนพลันเงยหน้าขึ้นมองลู่ฉาวอวี่
อีกฝ่ายจ้องเขากลับโดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า
“เจ้าพูดถูก”
ฟ่านเหยี่ยนนำสมุดเล่มใหม่เอี่ยมออกมา เอ่ยกับผู้ติดตามข้าง ๆ ว่า “เจ้ายืนทำอะไรอยู่? ฝนหมึกสิ”
เจียงหว่านเฉินส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไปก่อนละ”
“ข้าและท่านน้าไปก่อน ท่านค่อย ๆ ทำการบ้านชดเชยไปเถิด ไว้พรุ่งนี้ค่อยพบกัน” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยกับฟ่านเหยี่ยน “หาก… ระยะนี้ท่านได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ ข้าจะเชิญท่านไปทานอาหารที่บ้าน อีกทั้งยังจะช่วยเอ่ยถึงเรื่องดี ๆ ต่อหน้าน้องสาวข้าด้วย”
“จริงหรือ?” แววตาของฟ่านเหยี่ยนเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“อืม”
หลังออกจากวังมาแล้ว มู่เจิ้งหานจึงเอ่ยกับลู่ฉาวอวี่ “เจ้าใช้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์หลอกล่อเขาต่อไปเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง? เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ชอบเขา เขาเกาะแกะนางตลอดเวลาเช่นนี้ พาลจะทำให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์รังเกียจเอาได้”
“ข้าเพียงให้เขาลิ้มลองความหวานในช่วงแรกเริ่ม เมื่อเขาได้ลิ้มลองรสหวานล้ำ ย่อมมีความมุ่งมั่นและแข็งแกร่ง วันข้างหน้าย่อมปีนป่ายได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เวลานั้น หากมองลงมาอีกครั้ง เขาก็จะไม่เห็นทิวทัศน์เช่นเดิมแล้ว ฟ่านเหยี่ยนเป็นองค์ชาย ล้วนไม่มีสิ่งใดให้ต้องลำบากไขว่คว้า อีกเดี๋ยวเขาก็จะทิ้งเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไว้ข้างหลังในที่สุด”
“แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าเฉลียวฉลาด แน่นอนว่าข้าเชื่อในการลำดับความสำคัญของเจ้า ทว่าเรื่องนี้ ข้าว่าเจ้าคิดผิด” มู่เจิ้งหานเอ่ย “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ใช่ทิวทัศน์ธรรมดาทั่วไป เกรงว่าหลายปีต่อจากนี้ ความปรารถนาของเขาที่มีต่อเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์มีข้าและท่านพ่อคอยปกป้อง หากนางเอ่ยว่าไม่ต้องการ ย่อมไม่มีผู้ใดบังคับให้แต่งงานกับคนที่นางมิพึงใจได้” ลู่ฉาวอวี่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “นับแต่โบราณกาลมา… ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ทุกพระองค์จะแตะต้องขุนนางเบื้องล่างได้ตามใจเสียหน่อย”
[1] เชียนจวินอีฟ่า หมายถึง ภาวะวิกฤตร้ายแรง
Comments