LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend 23.1

Now you are reading LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend Chapter 23.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

zuttomo 23-1

 

CH23-1 ติวหนังสือแบบหวานๆ

 

เช้าวันถัดมา ยูมะไปรับยุยที่บ้านเหมือนที่แล้วมา

วันนี้ยุยรออยู่หน้าบ้าน ทันที่เห็นยูมะ เธอส่งยิ่มหน้าบานพลางโบกมือน้อยๆให้

 

“อ..อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์ หายดีแล้วใช่มั้ย”

“อืม สบายดีแล้วล่ะ”

ก็เป็นการทักทายตามปกติเหมือนที่แล้วมา  แต่ทำไมคราวนี้รู้สึกว่ายุยดูจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ ดูได้จากรอยยิ้มหวานที่เธอส่งให้นี่แหละ

 

“ถ..ถ้างั้นออกเดินทางเลยนะ”

“อืม ไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน

ยูมะสังเกตการเดินของยุยแล้วก็ดูโอเค น่าจะหายเป็นปกติตามเธอว่าจริงๆ

“…จับมือกันมั้ย”

ยูมะทักไป ดูเหมือนว่ายุยก็รอคอยคำนี้ของยูมะอยู่ เธอพยักหน้าหงึกหงักสองที

“อืม..จับมือกัน”

ยูมะยื่นมือไปจับมือน้อยๆของยุย ใช้นิ้วเกี่ยวประสานนิ้วอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงความอบอุ่นจากการสัมผัสอีกฝ่ายกันและกัน

ปกติแล้วเรื่องเดินจับมือกันก็เป็นเรื่องที่ทำมาตลอดนะ แต่ว่านั่นเป็นการจับมือแนวเพื่อนสนิท ทว่าครั้งนี้ การจับมือ ความรู้สึกที่ได้ มันไม่เหมือนเดิม ถึงจะพูดออกมาเต็มปากเต็มคำไม่ได้ก็ตาม  แต่ที่พอจะสื่อได้คือ ความใกล้ชิดจากการเดินและการจับมือ มันมากกว่าเมื่ออดีตที่ผ่านมา

ยุยเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผม เพราะว่านิ้วมือที่สอดประสานของเธอ ออกแรงเกี่ยวแน่นราวกับไม่อยากจากไปไหน เหมือนว่าเธอพยายามออดอ้อนผมผ่านทางการจับมือและสายตาที่ส่งมาให้อย่าองอ่อนโยนยังไงยังงั้นเลย เล่นเอาเสียงหัวใจผมเต้นระรัว

 

ความรู้สึกจากข้างในตอนนี้คือ ผมรักเธอมาก ผมอยากจะบอกกับเธอแบบนี้  ถ้าสามารถบอกออกไปได้ และความปรารถนาผมเป็นจริง ผมคงคว้าเธอมากอดแล้วล่ะ

 

เราสองคนเดินมาด้วยกันจนถึงสถานีรถไฟ

“ถึงสถานีแล้ว ให้ปล่อยมือมั้ย”

ยูมะกล่าวพลางคลายนิ้วมือ ตอนประถมนิเทศ ยูมะจับมือยุยเพราะอยากจะช่วยลดความกังวลของเธอ โดยปกติที่แล้วมา ผมจะจับมือเธอเดินมาด้วยกันถึงสถานีรถไฟแล้วยุยจะเป็นคนปล่อยมือเองด้วยซ้ำ แต่ว่าครั้งนี้มันต่างกันตรงที่เธอไม่ปล่อยมือ

“…ยุย?”

“จับต่อไปไม่ได้เหรอ?”

“เปล่า คือว่า ถ้าเพื่อนร่วมห้องมาเห็น เขาอาจจะคิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์กันก็ได้นะ”

มันเป็นความกังวลในใจว่ากลัวยุยจะไม่ชอบ ยูมะเลยพูดแบบนั้นออกมา แต่ว่า

“ชั้นไม่ถือหรอก”

คำพูดที่ยุยเอ่ยออกมาเล่น เอายูมะชะงักจนไม่ได้ตอบกลับ ยุยเลยถามต่อ

“เอ่อ หรือว่า ยูมะรังเกียจเหรอ”

“ผมไม่รังเกียจหรอก”

(จริงๆคือดีใจด้วยซ้ำ ) คำนี้แทบจะหลุดปากออกมาจากยูมะ แต่เด็กหนุ่มเลือกจะกลืนมันลงไป เพราะว่าอายจัดเกินกว่าจะพูด

ยุยฟังคำตอบผม เธอดีใจมาก นิ้วเธอเกี่ยวพันนิ้วผมแรงกว่าเก่า

“งั้นเดินต่อไปทั้งอย่างนี้นะ”

“…อืม”

หลังจากนั้นยูมะกับยุยก็เดินจูงมือกันขึ้นรถไฟ พอเข้าไปในรถไฟได้ก็เป็นกิจวัตรตามปกติคือยุยยืนชิดกำแพง ส่วนยูมะทำคาเบะด้งเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาชนยุย

ทว่าครั้งนี้ สิ่งที่ต่างออกไปคือ ยุยไม่ได้ทำตัวลีบชิดกำแพง เธอออกห่าง ค่อนมาทางซบยูมะแทนด้วยซ้ำ

“ย..ยุย..วันนี้เธอใกล้ผมมากไปรึเปล่า”

“หือ…ไม่ได้..เหรอ”

“..ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้นะ…”

“..ฮะฮะ”

ยุยส่งยิ้มหวานให้ ซบหน้าผกตัวเองกับร่างของยูมะ เด็กหนุ่มสูดได้กลิ่นหอมหวานและความอบอุ่นจากร่างยุย เล่นเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ

(….โอ้ยย จะตายละจ้า โลกเรามีสิ่งมีชีวิตที่น่ารักขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย)

ความรู้สึกนี้เกาะกุมหัวใจยูมะ คิดแล้วรู้สึกดีมากเลยที่วันนี้ได้ขึ้นรถไฟมาด้วยกัน ถือเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะถ้าเป็นสถานการณ์อื่นที่ไม่ได้มีคนหมู่มากแบบรถไฟ เผลอๆตอนนี้ยูมะคว้าเธอมากอดแน่นให้หายอยากไปละ

หลังจากลงจากรถไฟ ทั้งสองคนเดินกุมมือด้วยกันมาถึงโรงเรียน

ระหว่างเดินทาง เพื่อนร่วมห้องเห็นทั้งสองคนกุมมือเดินดัวยกัน

สีผมขาวของยุย และตัวผมที่เดินเคียงข้างกัน เป็นจุดเด่นที่ใครเดินผ่านก็ต้องเหลียวมอง

แต่ว่าตอนที่ยูมะคลายนิ้วเหมือนจะส่งภาษากายว่า “ให้ปล่อยมือมั้ย” ยุยกลับเลือกกุมมือยูมะแน่นกว่าเก่าเป็นภาษากายว่า “ไม่อยากปล่อยเธอไป” แม้ว่าดูภายนอกเห็นได้ชัดว่ายุยเขินหนักมากแต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยมือผม

บรรยากาศตอนนี้มันช่างหอมหวานนุ่มนวลซะเหลือเกิน

 

 

 

 

ทว่าช่วงเวลากุมมือต้องหยุดลงเมื่อมาถึงห้องเรียน  ได้เวลากลับสู่โลกความจริงละ

“ยุยจัง สุงิซากิคุง ช่วยสอนชั้นทีสิ”

อาสึกะกล่าวกับพวกผมด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้ …ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาสอบแล้ว นี่เป็นการสอบในตอนมอปลายครั้งแรกของพวกเรา

เอาจริงๆนี่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะ เพราะยังไง นักเรียนก็ต้องเน้นเรื่องเรียนไว้ก่อน แต่ว่ายุยเองก็ใช่ว่าจะหัวดี ผมก็ไม่ได้เก่งเรื่องเรียนด้วย

“จะว่าไปอาสึกะ แล้วนาโกะว่าไงบ้างล่ะ หมอนั่นน่าจะรู้เยอะ แถมเธอก็เป็นแฟน ไปขอร้องหมอนั่นไม่ง่ายกว่าเหรอ หรือไปทำไรให้หมอนั่นโกรธรึไง”

”เปล่า คือว่า ช่วงนี้ มีเวลาว่างทีไร ชั้นเล่นเกมแกรนด์เกจด้วยกัน”

“แล้ว”

“เล่นแล้วเพลินจัด..พอจะถึงตอนอ่านหนังสือ ใจก็บอกว่า ขอเล่นต่ออีกหน่อยละกัน สรุปว่าเลยไม่ได้อ่านหนังสือเรียนกันเลย”

****สรุปรวบรัดเลยละกัน

ต่อจากนี้จะเป็นการคุยกันสี่คนเรื่องติวสอบ อาสึกะจะไปต่อรองกับนาโกะว่า  ถ้าทำคะแนนสอบดีจะขอรางวัลเป็นจูบ นาโกะจะปฏิเสธก่อน เธอเลยต่อรองเป็นจับมือเดท   เล่นเอายูมะตกตะลึง เพราะว่าสองคนนี้ไปเดทด้วยกันทุกอาทิตย์ กอดกันแล้วแต่ดันยังไม่เคยจับมือเดท

ขนาดผมกับยุย ยังไม่คบเป็นแฟน ยังจับมือกันเป็นว่าเล่นเลย

นี่ยังไม่รวมว่านอนกอดกัน แถมยังไปพูดกับพ่อเขาว่า ยกลูกสาวให้ผมเถอะครับ  ปกติถ้าใครพูดกันซะขนาดนี้มันต้องเป็นระดับคนรักแล้ว

 

ถ้าให้ทำมากกว่าที่กล่าว คงต้องเป็นจูบกับเธอแล้ว แล้วพอคิดถึงตอนนี้ปุ๊บ ผมได้ยินเสียงยุย

“เน่ ยูมะ..”

“หือ?”

“คือว่า ฟังนาโกะพุดแล้ว เรื่องจูบแรกเป็นเรื่องสำคัญของผู้ชายไม่แพ้กัน ผู้ชายก็คิดว่าจูบแรกสำคัญไม่ต่างกับผู้หญิงเนอะ”

โอ้ พอฟังคำพูดยุย รู้เลยว่าเธอคิดเรื่องเดียวกับกับผมตอนนี้แหง เล่นเอาหัวใจเต้นรัว รีบตอบไปว่า

“ม..ม่า ก็สำคัญระดับหนึ่งอะนะ”

“ถ้างั้น ยูมะเองก็..คือว่า…เคยจูบแล้ว…รึยัง”

“…ห๊ะ?”

คำถามของยุย ทำเอายูมะหวนนึกไปถึงตอนยุยมาค้างที่บ้านผมแล้วตอนนั้นเกือบจะจูบกันตอนยุยเมา แต่ว่านั่นมันเมา ปากเราเฉียดจะสัมผัสกันระดับเส้นยาแดงผ่าแปดมันนับว่าจูบมั้ยวะ

“…เคยแล้วเหรอ?”

“เอ่อ..คือ..ยังไม่เคย”

“งั้นเหรอ แหะแหะแหะ..”

(แค่ตอบว่ายังไม่เคย ต้องยิ้มดีใจขนาดนี้เลยรึเนี่ย)

ยูมะเห็นรอยยิ้มของยุยเล่นเอานึกในใจ

 

“จะว่าไปแล้วเธอล่ะ เคยแล้วรึเปล่า”

ด้วยความที่ผมอายเลยรีบถามยุยบ้าง  ตอนแรกผมคิดว่ายุยต้องยังไม่เคยจูบแน่ แต่ว่า ทำไมท่าทีของเธอหลังเจอคำถามผมมันชะงัก ตกใจอะไรขนาดนั้นหว่า

“……ง่า”

หน้าเธอแดงแป้ด ปากพะงาบๆอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก”

“เอ๋ อย่าบอกนะว่าเคยแล้ว”

“ป..เปล่า..ไม่เคย.เอ่อ..คือว่า…”

หลังจากพุดตะกุกตะกักพักหนึ่ง ยุยตัดสินใจหยิบมือถือ พิมพ์ข้อความหายูมะแทน

พอกดส่งปุ๊บ เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์ยูมะ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความยุยว่า “จูบทางอ้อมไม่นับใช่มั้ย”

พออ่านจบปุ๊บ ยูมะนึกถึงต้องไปกินข้าวด้วยกันกับเนเน่ ยุย และแม่ยุย ตอนนั้นกินไอติมพาเฟ่ด้วยกัน น่าจะหมายถึงจูบทางอ้อมตอนนั้นแหละ ซึ่งพอนึกถึงตรงนี้ ยูมะก็หน้าแดงด้วยความเขิน ส่งข้อความไปว่า

“ม่า จูบทางอ้อมไม่นับครับ”

ข้อความเด้งมาอีกว่า

“แล้วหอมแก้มล่ะ”

คราวนี้ยูมะนึกถึงตอนมาเยี่ยมไข้แล้วยุยแอบหอมแก้มเขาตอนแสร้งหลับ ซึ่งยุยคงยังไม่รู้เรื่องนี้ ยูมะเลยรีบปั้นหน้าขรึมส่งข้อความกลับไปว่า

“ไม่นับครับ”

“…แล้วในฝันล่ะ”

(เฮ้ย ในฝันด้วยเหรอวะ)

คราวนี่ยูมะนึกถึงความฝันตัวเอง เวลานอนแล้วฝันถึงยุย ซึ่งสำหรับเด็กหนุ่มแล้ว มันไม่ใช่แค่จูบอย่างเดียว มันยิ่งไปกว่านั้นอีกซึ่งก่อนจะอัพไปถึงจุดนั้น ความรู้สึกผิดในตัวยูมะรีบเร่งเร้าตัวเองให้ปลุกตัวเองขึ้นจากฝันเสียก่อน

 

แต่ว่า ทำไมยุยถึงพูดเรื่องฝัน พอเธอถามแล้วผมเลยสงสัยขึ้นมา อย่าบอกนะว่า ยุยเองก็เคยฝันถึงผมในทำนองนี้ด้วยเหมือนกัน  ตายยยยแล้วววว แค่คิดก็ทำเอาอายม้วนแทบตาย รีบพิมพ์ไปว่า

“ไม่นับครับ”

“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าชั้นเองก็ยังไม่เคยจูบนะ”

“งั้นเหรอ”

“แหะแหะแหะ พวกเราต่างคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกันเนอะ”

(เพื่อนร่วมชะตาเหรอ.. มันหมายถึงเรื่องไม่จูบทางกายล้วนๆหรือหมายถึงเราเคยฝันเหมือนกันนะ)

พอคิดตรงนี้แล้วก็เขินจัดอายหนักมา

ยุยเองก็อายไม่ต่างกัน สองมือเธอแตะแก้มตัวเอง ตัวบิดไปมา

…จะว่าไปถ้าผมกับยุยได้เป็นแฟนกัน เราคงจะได้ทำเรื่อง…เฮ้ย คิดบ้าไรอยู่วะ แค่นี้ก็เขินจะตายแล้วยังจะฟุ้งซ่านเลอะเทอะอีกกุ

จบch23-1

 

หมายเหตุจากผู้แปล

ดีนะแมนยูชนะเลยมีอารมณ์มาแปล55 ถึงจะชนะไม่สมศักศรีก็เถอะ 55

 

ตอนหน้าก็จบ 23-2แล้วนะครับผม แปลเอาให้หมดทีเีดยวเลย

ถ้ารอตอนใหม่ได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า  kurakon 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend 23.1

Now you are reading LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend Chapter 23.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

zuttomo 23-1

 

CH23-1 ติวหนังสือแบบหวานๆ

 

เช้าวันถัดมา ยูมะไปรับยุยที่บ้านเหมือนที่แล้วมา

วันนี้ยุยรออยู่หน้าบ้าน ทันที่เห็นยูมะ เธอส่งยิ่มหน้าบานพลางโบกมือน้อยๆให้

 

“อ..อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์ หายดีแล้วใช่มั้ย”

“อืม สบายดีแล้วล่ะ”

ก็เป็นการทักทายตามปกติเหมือนที่แล้วมา  แต่ทำไมคราวนี้รู้สึกว่ายุยดูจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ ดูได้จากรอยยิ้มหวานที่เธอส่งให้นี่แหละ

 

“ถ..ถ้างั้นออกเดินทางเลยนะ”

“อืม ไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน

ยูมะสังเกตการเดินของยุยแล้วก็ดูโอเค น่าจะหายเป็นปกติตามเธอว่าจริงๆ

“…จับมือกันมั้ย”

ยูมะทักไป ดูเหมือนว่ายุยก็รอคอยคำนี้ของยูมะอยู่ เธอพยักหน้าหงึกหงักสองที

“อืม..จับมือกัน”

ยูมะยื่นมือไปจับมือน้อยๆของยุย ใช้นิ้วเกี่ยวประสานนิ้วอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงความอบอุ่นจากการสัมผัสอีกฝ่ายกันและกัน

ปกติแล้วเรื่องเดินจับมือกันก็เป็นเรื่องที่ทำมาตลอดนะ แต่ว่านั่นเป็นการจับมือแนวเพื่อนสนิท ทว่าครั้งนี้ การจับมือ ความรู้สึกที่ได้ มันไม่เหมือนเดิม ถึงจะพูดออกมาเต็มปากเต็มคำไม่ได้ก็ตาม  แต่ที่พอจะสื่อได้คือ ความใกล้ชิดจากการเดินและการจับมือ มันมากกว่าเมื่ออดีตที่ผ่านมา

ยุยเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผม เพราะว่านิ้วมือที่สอดประสานของเธอ ออกแรงเกี่ยวแน่นราวกับไม่อยากจากไปไหน เหมือนว่าเธอพยายามออดอ้อนผมผ่านทางการจับมือและสายตาที่ส่งมาให้อย่าองอ่อนโยนยังไงยังงั้นเลย เล่นเอาเสียงหัวใจผมเต้นระรัว

 

ความรู้สึกจากข้างในตอนนี้คือ ผมรักเธอมาก ผมอยากจะบอกกับเธอแบบนี้  ถ้าสามารถบอกออกไปได้ และความปรารถนาผมเป็นจริง ผมคงคว้าเธอมากอดแล้วล่ะ

 

เราสองคนเดินมาด้วยกันจนถึงสถานีรถไฟ

“ถึงสถานีแล้ว ให้ปล่อยมือมั้ย”

ยูมะกล่าวพลางคลายนิ้วมือ ตอนประถมนิเทศ ยูมะจับมือยุยเพราะอยากจะช่วยลดความกังวลของเธอ โดยปกติที่แล้วมา ผมจะจับมือเธอเดินมาด้วยกันถึงสถานีรถไฟแล้วยุยจะเป็นคนปล่อยมือเองด้วยซ้ำ แต่ว่าครั้งนี้มันต่างกันตรงที่เธอไม่ปล่อยมือ

“…ยุย?”

“จับต่อไปไม่ได้เหรอ?”

“เปล่า คือว่า ถ้าเพื่อนร่วมห้องมาเห็น เขาอาจจะคิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์กันก็ได้นะ”

มันเป็นความกังวลในใจว่ากลัวยุยจะไม่ชอบ ยูมะเลยพูดแบบนั้นออกมา แต่ว่า

“ชั้นไม่ถือหรอก”

คำพูดที่ยุยเอ่ยออกมาเล่น เอายูมะชะงักจนไม่ได้ตอบกลับ ยุยเลยถามต่อ

“เอ่อ หรือว่า ยูมะรังเกียจเหรอ”

“ผมไม่รังเกียจหรอก”

(จริงๆคือดีใจด้วยซ้ำ ) คำนี้แทบจะหลุดปากออกมาจากยูมะ แต่เด็กหนุ่มเลือกจะกลืนมันลงไป เพราะว่าอายจัดเกินกว่าจะพูด

ยุยฟังคำตอบผม เธอดีใจมาก นิ้วเธอเกี่ยวพันนิ้วผมแรงกว่าเก่า

“งั้นเดินต่อไปทั้งอย่างนี้นะ”

“…อืม”

หลังจากนั้นยูมะกับยุยก็เดินจูงมือกันขึ้นรถไฟ พอเข้าไปในรถไฟได้ก็เป็นกิจวัตรตามปกติคือยุยยืนชิดกำแพง ส่วนยูมะทำคาเบะด้งเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาชนยุย

ทว่าครั้งนี้ สิ่งที่ต่างออกไปคือ ยุยไม่ได้ทำตัวลีบชิดกำแพง เธอออกห่าง ค่อนมาทางซบยูมะแทนด้วยซ้ำ

“ย..ยุย..วันนี้เธอใกล้ผมมากไปรึเปล่า”

“หือ…ไม่ได้..เหรอ”

“..ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้นะ…”

“..ฮะฮะ”

ยุยส่งยิ้มหวานให้ ซบหน้าผกตัวเองกับร่างของยูมะ เด็กหนุ่มสูดได้กลิ่นหอมหวานและความอบอุ่นจากร่างยุย เล่นเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ

(….โอ้ยย จะตายละจ้า โลกเรามีสิ่งมีชีวิตที่น่ารักขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย)

ความรู้สึกนี้เกาะกุมหัวใจยูมะ คิดแล้วรู้สึกดีมากเลยที่วันนี้ได้ขึ้นรถไฟมาด้วยกัน ถือเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะถ้าเป็นสถานการณ์อื่นที่ไม่ได้มีคนหมู่มากแบบรถไฟ เผลอๆตอนนี้ยูมะคว้าเธอมากอดแน่นให้หายอยากไปละ

หลังจากลงจากรถไฟ ทั้งสองคนเดินกุมมือด้วยกันมาถึงโรงเรียน

ระหว่างเดินทาง เพื่อนร่วมห้องเห็นทั้งสองคนกุมมือเดินดัวยกัน

สีผมขาวของยุย และตัวผมที่เดินเคียงข้างกัน เป็นจุดเด่นที่ใครเดินผ่านก็ต้องเหลียวมอง

แต่ว่าตอนที่ยูมะคลายนิ้วเหมือนจะส่งภาษากายว่า “ให้ปล่อยมือมั้ย” ยุยกลับเลือกกุมมือยูมะแน่นกว่าเก่าเป็นภาษากายว่า “ไม่อยากปล่อยเธอไป” แม้ว่าดูภายนอกเห็นได้ชัดว่ายุยเขินหนักมากแต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยมือผม

บรรยากาศตอนนี้มันช่างหอมหวานนุ่มนวลซะเหลือเกิน

 

 

 

 

ทว่าช่วงเวลากุมมือต้องหยุดลงเมื่อมาถึงห้องเรียน  ได้เวลากลับสู่โลกความจริงละ

“ยุยจัง สุงิซากิคุง ช่วยสอนชั้นทีสิ”

อาสึกะกล่าวกับพวกผมด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้ …ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาสอบแล้ว นี่เป็นการสอบในตอนมอปลายครั้งแรกของพวกเรา

เอาจริงๆนี่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะ เพราะยังไง นักเรียนก็ต้องเน้นเรื่องเรียนไว้ก่อน แต่ว่ายุยเองก็ใช่ว่าจะหัวดี ผมก็ไม่ได้เก่งเรื่องเรียนด้วย

“จะว่าไปอาสึกะ แล้วนาโกะว่าไงบ้างล่ะ หมอนั่นน่าจะรู้เยอะ แถมเธอก็เป็นแฟน ไปขอร้องหมอนั่นไม่ง่ายกว่าเหรอ หรือไปทำไรให้หมอนั่นโกรธรึไง”

”เปล่า คือว่า ช่วงนี้ มีเวลาว่างทีไร ชั้นเล่นเกมแกรนด์เกจด้วยกัน”

“แล้ว”

“เล่นแล้วเพลินจัด..พอจะถึงตอนอ่านหนังสือ ใจก็บอกว่า ขอเล่นต่ออีกหน่อยละกัน สรุปว่าเลยไม่ได้อ่านหนังสือเรียนกันเลย”

****สรุปรวบรัดเลยละกัน

ต่อจากนี้จะเป็นการคุยกันสี่คนเรื่องติวสอบ อาสึกะจะไปต่อรองกับนาโกะว่า  ถ้าทำคะแนนสอบดีจะขอรางวัลเป็นจูบ นาโกะจะปฏิเสธก่อน เธอเลยต่อรองเป็นจับมือเดท   เล่นเอายูมะตกตะลึง เพราะว่าสองคนนี้ไปเดทด้วยกันทุกอาทิตย์ กอดกันแล้วแต่ดันยังไม่เคยจับมือเดท

ขนาดผมกับยุย ยังไม่คบเป็นแฟน ยังจับมือกันเป็นว่าเล่นเลย

นี่ยังไม่รวมว่านอนกอดกัน แถมยังไปพูดกับพ่อเขาว่า ยกลูกสาวให้ผมเถอะครับ  ปกติถ้าใครพูดกันซะขนาดนี้มันต้องเป็นระดับคนรักแล้ว

 

ถ้าให้ทำมากกว่าที่กล่าว คงต้องเป็นจูบกับเธอแล้ว แล้วพอคิดถึงตอนนี้ปุ๊บ ผมได้ยินเสียงยุย

“เน่ ยูมะ..”

“หือ?”

“คือว่า ฟังนาโกะพุดแล้ว เรื่องจูบแรกเป็นเรื่องสำคัญของผู้ชายไม่แพ้กัน ผู้ชายก็คิดว่าจูบแรกสำคัญไม่ต่างกับผู้หญิงเนอะ”

โอ้ พอฟังคำพูดยุย รู้เลยว่าเธอคิดเรื่องเดียวกับกับผมตอนนี้แหง เล่นเอาหัวใจเต้นรัว รีบตอบไปว่า

“ม..ม่า ก็สำคัญระดับหนึ่งอะนะ”

“ถ้างั้น ยูมะเองก็..คือว่า…เคยจูบแล้ว…รึยัง”

“…ห๊ะ?”

คำถามของยุย ทำเอายูมะหวนนึกไปถึงตอนยุยมาค้างที่บ้านผมแล้วตอนนั้นเกือบจะจูบกันตอนยุยเมา แต่ว่านั่นมันเมา ปากเราเฉียดจะสัมผัสกันระดับเส้นยาแดงผ่าแปดมันนับว่าจูบมั้ยวะ

“…เคยแล้วเหรอ?”

“เอ่อ..คือ..ยังไม่เคย”

“งั้นเหรอ แหะแหะแหะ..”

(แค่ตอบว่ายังไม่เคย ต้องยิ้มดีใจขนาดนี้เลยรึเนี่ย)

ยูมะเห็นรอยยิ้มของยุยเล่นเอานึกในใจ

 

“จะว่าไปแล้วเธอล่ะ เคยแล้วรึเปล่า”

ด้วยความที่ผมอายเลยรีบถามยุยบ้าง  ตอนแรกผมคิดว่ายุยต้องยังไม่เคยจูบแน่ แต่ว่า ทำไมท่าทีของเธอหลังเจอคำถามผมมันชะงัก ตกใจอะไรขนาดนั้นหว่า

“……ง่า”

หน้าเธอแดงแป้ด ปากพะงาบๆอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก”

“เอ๋ อย่าบอกนะว่าเคยแล้ว”

“ป..เปล่า..ไม่เคย.เอ่อ..คือว่า…”

หลังจากพุดตะกุกตะกักพักหนึ่ง ยุยตัดสินใจหยิบมือถือ พิมพ์ข้อความหายูมะแทน

พอกดส่งปุ๊บ เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์ยูมะ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความยุยว่า “จูบทางอ้อมไม่นับใช่มั้ย”

พออ่านจบปุ๊บ ยูมะนึกถึงต้องไปกินข้าวด้วยกันกับเนเน่ ยุย และแม่ยุย ตอนนั้นกินไอติมพาเฟ่ด้วยกัน น่าจะหมายถึงจูบทางอ้อมตอนนั้นแหละ ซึ่งพอนึกถึงตรงนี้ ยูมะก็หน้าแดงด้วยความเขิน ส่งข้อความไปว่า

“ม่า จูบทางอ้อมไม่นับครับ”

ข้อความเด้งมาอีกว่า

“แล้วหอมแก้มล่ะ”

คราวนี้ยูมะนึกถึงตอนมาเยี่ยมไข้แล้วยุยแอบหอมแก้มเขาตอนแสร้งหลับ ซึ่งยุยคงยังไม่รู้เรื่องนี้ ยูมะเลยรีบปั้นหน้าขรึมส่งข้อความกลับไปว่า

“ไม่นับครับ”

“…แล้วในฝันล่ะ”

(เฮ้ย ในฝันด้วยเหรอวะ)

คราวนี่ยูมะนึกถึงความฝันตัวเอง เวลานอนแล้วฝันถึงยุย ซึ่งสำหรับเด็กหนุ่มแล้ว มันไม่ใช่แค่จูบอย่างเดียว มันยิ่งไปกว่านั้นอีกซึ่งก่อนจะอัพไปถึงจุดนั้น ความรู้สึกผิดในตัวยูมะรีบเร่งเร้าตัวเองให้ปลุกตัวเองขึ้นจากฝันเสียก่อน

 

แต่ว่า ทำไมยุยถึงพูดเรื่องฝัน พอเธอถามแล้วผมเลยสงสัยขึ้นมา อย่าบอกนะว่า ยุยเองก็เคยฝันถึงผมในทำนองนี้ด้วยเหมือนกัน  ตายยยยแล้วววว แค่คิดก็ทำเอาอายม้วนแทบตาย รีบพิมพ์ไปว่า

“ไม่นับครับ”

“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าชั้นเองก็ยังไม่เคยจูบนะ”

“งั้นเหรอ”

“แหะแหะแหะ พวกเราต่างคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกันเนอะ”

(เพื่อนร่วมชะตาเหรอ.. มันหมายถึงเรื่องไม่จูบทางกายล้วนๆหรือหมายถึงเราเคยฝันเหมือนกันนะ)

พอคิดตรงนี้แล้วก็เขินจัดอายหนักมา

ยุยเองก็อายไม่ต่างกัน สองมือเธอแตะแก้มตัวเอง ตัวบิดไปมา

…จะว่าไปถ้าผมกับยุยได้เป็นแฟนกัน เราคงจะได้ทำเรื่อง…เฮ้ย คิดบ้าไรอยู่วะ แค่นี้ก็เขินจะตายแล้วยังจะฟุ้งซ่านเลอะเทอะอีกกุ

จบch23-1

 

หมายเหตุจากผู้แปล

ดีนะแมนยูชนะเลยมีอารมณ์มาแปล55 ถึงจะชนะไม่สมศักศรีก็เถอะ 55

 

ตอนหน้าก็จบ 23-2แล้วนะครับผม แปลเอาให้หมดทีเีดยวเลย

ถ้ารอตอนใหม่ได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า  kurakon 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+