LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend 4.1: สายฝน

Now you are reading LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend Chapter 4.1: สายฝน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“อ้าว? กลับมาแล้วเหรอยูคุง”

เนเน่วันนี้ไม่ได้ไปทำงาน หยุดอยู่บ้านเพราะเป็นวันหยุด แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นยูมะกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“กลับมาแล้วครับ…”

“..เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทะเลาะกับชวาร์สมารึเปล่า?”

“ไม่ครับ จะว่าทะเลาะก็พูดได้ไม่เต็มปาก ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว”

“อ..อืม”

ยูมะขอโทษเนเน่ในใจ แต่จะให้ยูมะอธิบายสถานการณ์ด้วยสภาพจิตใจตอนนี้ เขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนมั้ย

ทันทีที่ถึงห้องตัวเอง ยูมะล้มตัวลงนอนกับเตียง สายตาเหม่อมองเพดาน

ชั้นไม่อยากเห็นสภาพยุยที่ทุกข์ทรมานแบบตะกี้

ข้างในเหมือนมีอะไรทิ่มแทง แต่ร่างกายกลับหนักจนขยับไปไหนไม่ได้  เขานึกไม่ถึงว่าการเห็นยุยในสภาพเป็นทุกข์จะทำร้ายจิตใจได้ขนาดนี้

ความคาดหวังของยูมะที่คิดว่าโรคสื่อสารไม่เก่งหรืออาการขาดความมั่นใจในตัวเองจะทุเลาได้ในเร็ววัน แต่วันนี้บทสรุปมันชัดเจน 

ทุกอย่างพังหมดสินะ

จะบอกว่าชั้นเร่งเกินไปเหรอ แต่ถ้าไม่รีบตอนนี้ เกิดโรงเรียนเปิดเทอมแต่เธอยังปรับตัวไม่ได้จะทำยังไง ชั้นจะช่วยเธอยังไงต่อดี

“แม่งเอ้ย….”

เจ็บใจชะมัด

กะอีแค่สีผมต่างกันนิดหน่อย พวกมันจะหัวเราะยุยทำบ้าไรวะ 

  ทั้งที่ยุยไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง ทำไมเแค่เธอออกมาเดินข้างนอกแล้วต้องเจอเหตุการณ์ส้นตีนแบบนี้แม่งบ้าไปแล้ว เจ็บใจ เจ็บใจโว้ย

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สร้างบาดแผลใจให้ยูมะอีกอย่างคือยุยร้องไห้แต่ตัวเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อเธอได้สักอย่าง

ความคิดยูมะตอนนี้คือยุยคือเพื่อน เป็นเหมือนน้องสาวของเขาอีกคนหนึ่ง  แล้วทั้งที่เธอมีความสำคัญขนาดนี้แต่ตัวเองกลับไม่มีปัญญาทำอะไรได้สักอย่าง

ยูมะกำหมัดแน่นทุบเตียงระบายความอึดอัดในใจที่ถาโถม

อะไรคือสิ่งเขาควรทำต่อจากนี้

นี่เท่ากับว่าเขาไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของยุยสักอย่าง

หากคบกับเธอต่อไป ชั้นจะกลายเป็นคนที่สร้างแผลทางใจให้เธอซะเองรึเปล่า?

ยุยอยากจะรักษาโรคสื่อสารไม่เก่งก่อนโรงเรียนเปิดเทอม  แต่ผลลัพธ์ความพยายามดันออกมาในรูปแบบนี้ ชั้นควรจะทำไงต่อไป

ยูมะปล่อยสายตาเหม่อลอยมองเพดานอย่างไร้จุดหมายสักพักจนกระทั่งมีเสียงดัง ก๊อก ก๊อก หน้าประตู  จากนั้นเนเน่ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนที่ยูมะจะตอบซะอีก

“…เนเน่ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้อยากอยู่คนเดียว”

“ไม่รู้ไม่สนจ้า”

เนเน่ยิ้มตอบคำพูดผม

ถึงรู้ว่าตอนนี้เนเน่กำลังกวนโอ๊ยผมแต่ผมก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบกลับ

เนเน่เดินขึ้นมานั่งคุกเข่าบนเตียงผม  มือหนึ่งเคาะเตียง อีกมือเคาะที่เข่า

“ยูคุง มานี่สิ เดี๋ยวให้นอนบนตัก”

“…หา?”

ยูมะตะลึงในคำพูดเนเน่ เหลือบตามอง  ท่าทีของเนเน่แม้หน้าจะยิ้มแต่ยูมะรู้ว่าเธอจริงจังกับคำพูดตะกี้

ถึงเนเน่จะไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่ก็นับว่าเป็นพี่น้องกับเขา ผมรู้ว่าเนเน่ไม่ได้มีเจตนาร้ายจะแกล้งผล กลับกัน เธอเป็นห่วงผมมากด้วยถึงเข้ามาในห้อง

“ยูคุงตอนนี้เหมือนแบกรับบางสิ่งไว้มากมาย ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเหรอ”

“คือว่า…”

“ถ้าอยู่คนเดียวในสภาพหมกหมุ่นอย่างนี้  ยิ่งคิดสถานการณ์ยิ่งมีแต่เลวร้ายลงเปล่าๆ  เวลาแบบนี้สิ่งที่ควรทำคือหันหน้าปรึกษาคนในครอบครัวนะ  ถ้ามีเรื่องอยากจะพูดละก็ ไม่ว่าอะไรพี่รอรับฟังอยุ่นะ”

เนเน่กล่าวจบ ทุบเข่าตัวเองอีกรอบเป็นภาษากายบอกชัดว่าให้มานอนหนุนตักพร้อมเล่าเหตุการณ์มาซะ

“เอ้า อย่าเอาแต่มอง รีบลุกมาได้แล้ว ไม่งั้นถ้าไม่พูดปฏิเสธให้ชัดเจน พี่ก็จะนั่งคุกเข่ารอตรงนี้เรื่อยๆไม่ออกไปจากห้องนะ”

ยูมะหัวเราะขื่นๆ ถอนหายใจหนึ่งเฮือก เอาเหอะ ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้สึกแย่ที่มีคนเป็นห่วง อย่างน้อยก็รู้สึกเหมือนได้ระบายบางอย่าง   

สรุปว่ายูมะขยับตัวเอง เอนหัวนอนตักเนเน่

เนเน่ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน วางมือปิดตายูมะ

“ฮะฮะ ไม่ได้สกินชิพกับยูคุงมานาน น่าคิดถึงเหมือนกันนะ”

เนเน่กล่าวพลางยืดนิ้วนวดขมับยูมะ ทำให้ยูมะรู้สึกดีขึ้นมาพอควร

“เน่ ยูคุง ถ้าไม่พร้อม ก็เล่าแค่เรื่องที่คิดว่าเล่าได้ก็พอ อันไหนไม่อยากก็ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไร ไหนเหลาให้ฟังซิ”

“คือว่า…”

“ม่า เอาจริงๆนะถึงบอกว่าให้ปรึกษาพี่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพี่จะสามารถแก้ปัญหาให้ยุคุงได้หรอก กระนั้นถ้าได้พูดอะไรออกมาบ้างมันเป็นการระบายแล้วจะรู้สึกดีขึ้นนะ”

 

 

เนเน่กล่าวพลางเลื่อนมือดึงแก้มยูมะเบาๆ

ให้ตายสิ ยูมะคิดว่าตอนนี้ฟีลลิ่งไม่รู้จะเปรียบเนเน่ว่าเธอเป็นพี่หรือเธอเป็นแม่ที่อ่อนโยนดูแลผมกันแน่

 

“ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี”

“หือ?”

“เนเน่…ไม่รู้สิ ในช่วงเวลานี้ ผมว่าพี่เป็นผู้ใหญ่ที่เจ้าเล่ห์มากเลยนะ”

“ฮะฮะ แต่สุดท้ายชั้นก็เป็นพี่สาวอยู่ดีนะ  ถ้าน้องชายตกที่นั่งลำบาก พี่สาวก็ต้องออกหน้าช่วยเหลือสิ”

สรุปว่ายูมะก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกับชวาร์สทางเน็จจนถึงเหตุการณ์ปัจจบัน ยกเว้นเรื่องเดียวที่ไม่บอกเนเน่คือชวาร์สเป็นผู้หญิง

“ยูคุงให้ความสำคัญกับชวาร์สมากจนพี่รู้สึกหึงนิดๆเลยนะ”

“ถึงบอกให้ความสำคัญ แต่สุดท้ายเพราะผมเป็นคนเร่งมากไปเลยสร้างบาดแผลทางใจให้ชวา.. อุ๊บ?”

เนเน่ใช้สองนิ้วบีบปากยูมะไม่ให้พูดต่อ

 

“ห้ามพูดเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเองสิ  พูดจาไม่คิดต้องโดนลงโทษแบบนี้”

 

“ก็นะ ถึงพูดจาทำร้ายจิตใจกัน แต่พี่คิดว่ายูคุงไม่ควรใส่ใจเรื่องนี้เกินไป  ขอสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดเป็นเพราะชวาร์สพยายาม แต่ล้มเหลว พอใจเย็นทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกัน พี่เข้าใจถูกต้องนะ”

“อืม..”

“เท่าที่ฟัง ยูคุงชอบชวาร์สมากๆเลยนะ”

เนเน่วเราะเล็กน้อย กล่าวต่อ

“งั้นขอถามกลับกันนะ คิดว่าตอนที่ทะเลาะกัน ชวาร์สอยู่ในสภาวะปกติมั้ย คิดว่าใจจริงชวาร์สอยากจะจบความสัมพันธ์กับยูคุงเหรอ… ชวาร์สที่ฮึดสู้จนออกมาพบยูคุงด้วยตัวเองคนนัั้นอะนะ”

คำพูดของเนเน่กระแทกใจเต็มๆ ใช่แล้ว ยูมะลืมไปซะสนิท

 

คนที่พูดว่า อยากรักษาโรคสื่อสารไม่เก่ง  อยากจะเป็นเพื่อนกับเขา ทุกอย่าง ยุยเป็นฝั่งเอ่ยปากก่อนทั้งนั้น

ยุยเป็นคนมีความกล้าหาญ ล้มแค่นี้อาจจะท้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องยกธงขาวยอมแพ้ซะหน่อย

 

“ถ้ายูคุงคิดว่าเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ อยากให้ยูคุงเชื่อมั่นในตัวเพื่อนมากกว่านี้นะ”

“…อืม”

“ชวาร์สเป็นเด็กที่กล้าหาญ  ตอนนี้อาจจะมีล้มบ้าง แต่เดี๋ยวเขาก็ฮึดสู้เดินไปข้างหน้าต่อได้แน่  ยูคุงไม่คิดแบบนี้บ้างเหรอ”

“…อืม”

“ฉะนั้นยูคุงควรจะเป็นคนจับมือดึงเขาเวลาล้ม แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถึงต่อจากนี้อาจจะต้องเจออะไรๆอีกมากในอนาคต แต่ถ้าทั้งสองคนยังเป็นเพื่อนกันมันต้องฝ่าไปได้แน่”

“…ครับ”

คำพูดของเนเน่ช่วยปัดเป่าความทุกข์ที่ยูมะแบกรับไว้หมด แต่ว่าพอคิดถึงเรื่องที่ยูมะนอนบนตักเนเน่ ไม่รู้ทำไม จู่ๆรู้สึกหน้าร้อนผ่าวนิดหน่อย

 

“ขอบคุณนะครับเนเน่ เพราะเนเน่ ผมเลยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยละครับ”

“ไม่เป็นไรจ้า นานๆทีชั้นจะได้แสดงบทพี่สาวให้ยูคุงบ้าง ฮะฮะ หวังว่าคงไม่ตกหลุมรักชั้นนะ”

“จะบ้าเรอะไง ดูอายุพี่กับผมก่อนเหอะ”

“อ้าวๆ ยูคุง… พูดเรื่องอายุต่อหน้าผู้หญิง สงสัยอยากจะมีเรื่องสินะ”

เนเน่พูดจบ ทั้งคู่ต่างหัวเราะ  เสียงหัวเราะของยูมะชัดเจนว่าเขาสบายใจขึ้นมากจริงๆ

“ทีนี้จะเอาไงต่อละ จะไปบ้านชวาร์สเพื่อขอคืนดีมั้ย”

“ก็ว่าจะทำแบบนั้นนะ …หือ?”

ยูมะคิดอยู่ว่าจะเดินทางไปตอนไหน เริ่มพูดยังไงดี ทว่าเขาได้ยินเสียงน้ำหยดหลังคารัวๆ

 

“..ฝนตกรึ”

“เอ๋ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนไม่ตกนี่นา”

ดูจากเสียงที่กระทบหลังคา ดุท่าว่าฝนน่าจะตกหนักในไม่ช้านี้

“ซ..ซวยแล้ว ชั้นตากที่นอนไว้บนระเบียงด้วย”

“งานหยาบของจริง รีบไปเก็บกันเถอะครับ”

ยูมะสปริงตัวออกจากเตียง วิ่งไปที่ระเบียง

ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ที่นอนที่ตากไว้บนระเบียงเลยดูดน้ำฝนไปเล็กน้อย แล้วไอที่นอนนี่ก็น้ำหนักไม่ใช่เบาซะด้วย

 

ถือว่าโชคดีที่วันนี้อยู่บ้าน เพราะถ้ามีแค่เนเน่คนเดียว คงไม่น่าแบกที่นอนจากระเบียงไหว เพราะหนักเอาเรื่อง ….เฮ้ย นั่นมัน

 

จังหวะที่ยูมะดึดที่นอนลงมาจากระเบียง สายตาเขาเหลือบมองไปที่ชั้นล่างสุด  หน้าแมนชั่นมีเด็กสาวผมขาวยืนอยู่

“…ยุย”

ยุยยืนตากฝนโดยที่ไม่ได้กางร่ม ดูเหมือนว่าเธอจะเดินทางมาหาเขาที่แมนชั่นด้วยตัวเอง

 

“มีอะไรรึเปล่า”

“โทษทีนะเนเน่ ฝากที่นอนด้วย”

“เอ้า?”

ยูมะยกที่นอนให้เนเน่ถือ รีบวิ่งออกจากห้องไปกดลิฟท์ แต่ปรากฏว่าลิฟท์ใช้การไม่ได้ อยู่ในระหว่างการซ่อม

 

ยูมะตัดสินใจรีบวิ่งลงบันไดแทน  ในใจคิดว่าบ้าเอ๊ย กะจะเป็นคนออกไปหาเธอก่อนแท้ๆแล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ยูมะรีบวิ่งลงบันไดแบบลืมตาย  จนในที่สุดก็ถึงชั้นล่าง เขาเปิดประตูแมนชั่นออกมา

 

ยุยยังคงยืนอยู่ที่เดิม พอเห็นยูมะ เธอทำหน้าตกใจ

“เอ๊ะ…ยูมะ?”

“ยุย..ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่”

 

****

 

จบ CH4-1

มีใครสนใจย้ายมาทีมพี่สาวมั้ยครับ 55

ตอนหน้ามาลุ้นกันนะครับ ว่าทั้งสองคนจะปรับความเข้าใจกันสำเร็จรึไม่ 

 

 ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า  kurakon 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend 4.1: สายฝน

Now you are reading LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend Chapter 4.1: สายฝน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“อ้าว? กลับมาแล้วเหรอยูคุง”

เนเน่วันนี้ไม่ได้ไปทำงาน หยุดอยู่บ้านเพราะเป็นวันหยุด แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นยูมะกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“กลับมาแล้วครับ…”

“..เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทะเลาะกับชวาร์สมารึเปล่า?”

“ไม่ครับ จะว่าทะเลาะก็พูดได้ไม่เต็มปาก ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว”

“อ..อืม”

ยูมะขอโทษเนเน่ในใจ แต่จะให้ยูมะอธิบายสถานการณ์ด้วยสภาพจิตใจตอนนี้ เขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนมั้ย

ทันทีที่ถึงห้องตัวเอง ยูมะล้มตัวลงนอนกับเตียง สายตาเหม่อมองเพดาน

ชั้นไม่อยากเห็นสภาพยุยที่ทุกข์ทรมานแบบตะกี้

ข้างในเหมือนมีอะไรทิ่มแทง แต่ร่างกายกลับหนักจนขยับไปไหนไม่ได้  เขานึกไม่ถึงว่าการเห็นยุยในสภาพเป็นทุกข์จะทำร้ายจิตใจได้ขนาดนี้

ความคาดหวังของยูมะที่คิดว่าโรคสื่อสารไม่เก่งหรืออาการขาดความมั่นใจในตัวเองจะทุเลาได้ในเร็ววัน แต่วันนี้บทสรุปมันชัดเจน 

ทุกอย่างพังหมดสินะ

จะบอกว่าชั้นเร่งเกินไปเหรอ แต่ถ้าไม่รีบตอนนี้ เกิดโรงเรียนเปิดเทอมแต่เธอยังปรับตัวไม่ได้จะทำยังไง ชั้นจะช่วยเธอยังไงต่อดี

“แม่งเอ้ย….”

เจ็บใจชะมัด

กะอีแค่สีผมต่างกันนิดหน่อย พวกมันจะหัวเราะยุยทำบ้าไรวะ 

  ทั้งที่ยุยไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง ทำไมเแค่เธอออกมาเดินข้างนอกแล้วต้องเจอเหตุการณ์ส้นตีนแบบนี้แม่งบ้าไปแล้ว เจ็บใจ เจ็บใจโว้ย

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สร้างบาดแผลใจให้ยูมะอีกอย่างคือยุยร้องไห้แต่ตัวเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อเธอได้สักอย่าง

ความคิดยูมะตอนนี้คือยุยคือเพื่อน เป็นเหมือนน้องสาวของเขาอีกคนหนึ่ง  แล้วทั้งที่เธอมีความสำคัญขนาดนี้แต่ตัวเองกลับไม่มีปัญญาทำอะไรได้สักอย่าง

ยูมะกำหมัดแน่นทุบเตียงระบายความอึดอัดในใจที่ถาโถม

อะไรคือสิ่งเขาควรทำต่อจากนี้

นี่เท่ากับว่าเขาไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของยุยสักอย่าง

หากคบกับเธอต่อไป ชั้นจะกลายเป็นคนที่สร้างแผลทางใจให้เธอซะเองรึเปล่า?

ยุยอยากจะรักษาโรคสื่อสารไม่เก่งก่อนโรงเรียนเปิดเทอม  แต่ผลลัพธ์ความพยายามดันออกมาในรูปแบบนี้ ชั้นควรจะทำไงต่อไป

ยูมะปล่อยสายตาเหม่อลอยมองเพดานอย่างไร้จุดหมายสักพักจนกระทั่งมีเสียงดัง ก๊อก ก๊อก หน้าประตู  จากนั้นเนเน่ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนที่ยูมะจะตอบซะอีก

“…เนเน่ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้อยากอยู่คนเดียว”

“ไม่รู้ไม่สนจ้า”

เนเน่ยิ้มตอบคำพูดผม

ถึงรู้ว่าตอนนี้เนเน่กำลังกวนโอ๊ยผมแต่ผมก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบกลับ

เนเน่เดินขึ้นมานั่งคุกเข่าบนเตียงผม  มือหนึ่งเคาะเตียง อีกมือเคาะที่เข่า

“ยูคุง มานี่สิ เดี๋ยวให้นอนบนตัก”

“…หา?”

ยูมะตะลึงในคำพูดเนเน่ เหลือบตามอง  ท่าทีของเนเน่แม้หน้าจะยิ้มแต่ยูมะรู้ว่าเธอจริงจังกับคำพูดตะกี้

ถึงเนเน่จะไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่ก็นับว่าเป็นพี่น้องกับเขา ผมรู้ว่าเนเน่ไม่ได้มีเจตนาร้ายจะแกล้งผล กลับกัน เธอเป็นห่วงผมมากด้วยถึงเข้ามาในห้อง

“ยูคุงตอนนี้เหมือนแบกรับบางสิ่งไว้มากมาย ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเหรอ”

“คือว่า…”

“ถ้าอยู่คนเดียวในสภาพหมกหมุ่นอย่างนี้  ยิ่งคิดสถานการณ์ยิ่งมีแต่เลวร้ายลงเปล่าๆ  เวลาแบบนี้สิ่งที่ควรทำคือหันหน้าปรึกษาคนในครอบครัวนะ  ถ้ามีเรื่องอยากจะพูดละก็ ไม่ว่าอะไรพี่รอรับฟังอยุ่นะ”

เนเน่กล่าวจบ ทุบเข่าตัวเองอีกรอบเป็นภาษากายบอกชัดว่าให้มานอนหนุนตักพร้อมเล่าเหตุการณ์มาซะ

“เอ้า อย่าเอาแต่มอง รีบลุกมาได้แล้ว ไม่งั้นถ้าไม่พูดปฏิเสธให้ชัดเจน พี่ก็จะนั่งคุกเข่ารอตรงนี้เรื่อยๆไม่ออกไปจากห้องนะ”

ยูมะหัวเราะขื่นๆ ถอนหายใจหนึ่งเฮือก เอาเหอะ ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้สึกแย่ที่มีคนเป็นห่วง อย่างน้อยก็รู้สึกเหมือนได้ระบายบางอย่าง   

สรุปว่ายูมะขยับตัวเอง เอนหัวนอนตักเนเน่

เนเน่ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน วางมือปิดตายูมะ

“ฮะฮะ ไม่ได้สกินชิพกับยูคุงมานาน น่าคิดถึงเหมือนกันนะ”

เนเน่กล่าวพลางยืดนิ้วนวดขมับยูมะ ทำให้ยูมะรู้สึกดีขึ้นมาพอควร

“เน่ ยูคุง ถ้าไม่พร้อม ก็เล่าแค่เรื่องที่คิดว่าเล่าได้ก็พอ อันไหนไม่อยากก็ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไร ไหนเหลาให้ฟังซิ”

“คือว่า…”

“ม่า เอาจริงๆนะถึงบอกว่าให้ปรึกษาพี่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพี่จะสามารถแก้ปัญหาให้ยุคุงได้หรอก กระนั้นถ้าได้พูดอะไรออกมาบ้างมันเป็นการระบายแล้วจะรู้สึกดีขึ้นนะ”

 

 

เนเน่กล่าวพลางเลื่อนมือดึงแก้มยูมะเบาๆ

ให้ตายสิ ยูมะคิดว่าตอนนี้ฟีลลิ่งไม่รู้จะเปรียบเนเน่ว่าเธอเป็นพี่หรือเธอเป็นแม่ที่อ่อนโยนดูแลผมกันแน่

 

“ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี”

“หือ?”

“เนเน่…ไม่รู้สิ ในช่วงเวลานี้ ผมว่าพี่เป็นผู้ใหญ่ที่เจ้าเล่ห์มากเลยนะ”

“ฮะฮะ แต่สุดท้ายชั้นก็เป็นพี่สาวอยู่ดีนะ  ถ้าน้องชายตกที่นั่งลำบาก พี่สาวก็ต้องออกหน้าช่วยเหลือสิ”

สรุปว่ายูมะก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกับชวาร์สทางเน็จจนถึงเหตุการณ์ปัจจบัน ยกเว้นเรื่องเดียวที่ไม่บอกเนเน่คือชวาร์สเป็นผู้หญิง

“ยูคุงให้ความสำคัญกับชวาร์สมากจนพี่รู้สึกหึงนิดๆเลยนะ”

“ถึงบอกให้ความสำคัญ แต่สุดท้ายเพราะผมเป็นคนเร่งมากไปเลยสร้างบาดแผลทางใจให้ชวา.. อุ๊บ?”

เนเน่ใช้สองนิ้วบีบปากยูมะไม่ให้พูดต่อ

 

“ห้ามพูดเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเองสิ  พูดจาไม่คิดต้องโดนลงโทษแบบนี้”

 

“ก็นะ ถึงพูดจาทำร้ายจิตใจกัน แต่พี่คิดว่ายูคุงไม่ควรใส่ใจเรื่องนี้เกินไป  ขอสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดเป็นเพราะชวาร์สพยายาม แต่ล้มเหลว พอใจเย็นทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกัน พี่เข้าใจถูกต้องนะ”

“อืม..”

“เท่าที่ฟัง ยูคุงชอบชวาร์สมากๆเลยนะ”

เนเน่วเราะเล็กน้อย กล่าวต่อ

“งั้นขอถามกลับกันนะ คิดว่าตอนที่ทะเลาะกัน ชวาร์สอยู่ในสภาวะปกติมั้ย คิดว่าใจจริงชวาร์สอยากจะจบความสัมพันธ์กับยูคุงเหรอ… ชวาร์สที่ฮึดสู้จนออกมาพบยูคุงด้วยตัวเองคนนัั้นอะนะ”

คำพูดของเนเน่กระแทกใจเต็มๆ ใช่แล้ว ยูมะลืมไปซะสนิท

 

คนที่พูดว่า อยากรักษาโรคสื่อสารไม่เก่ง  อยากจะเป็นเพื่อนกับเขา ทุกอย่าง ยุยเป็นฝั่งเอ่ยปากก่อนทั้งนั้น

ยุยเป็นคนมีความกล้าหาญ ล้มแค่นี้อาจจะท้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องยกธงขาวยอมแพ้ซะหน่อย

 

“ถ้ายูคุงคิดว่าเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ อยากให้ยูคุงเชื่อมั่นในตัวเพื่อนมากกว่านี้นะ”

“…อืม”

“ชวาร์สเป็นเด็กที่กล้าหาญ  ตอนนี้อาจจะมีล้มบ้าง แต่เดี๋ยวเขาก็ฮึดสู้เดินไปข้างหน้าต่อได้แน่  ยูคุงไม่คิดแบบนี้บ้างเหรอ”

“…อืม”

“ฉะนั้นยูคุงควรจะเป็นคนจับมือดึงเขาเวลาล้ม แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถึงต่อจากนี้อาจจะต้องเจออะไรๆอีกมากในอนาคต แต่ถ้าทั้งสองคนยังเป็นเพื่อนกันมันต้องฝ่าไปได้แน่”

“…ครับ”

คำพูดของเนเน่ช่วยปัดเป่าความทุกข์ที่ยูมะแบกรับไว้หมด แต่ว่าพอคิดถึงเรื่องที่ยูมะนอนบนตักเนเน่ ไม่รู้ทำไม จู่ๆรู้สึกหน้าร้อนผ่าวนิดหน่อย

 

“ขอบคุณนะครับเนเน่ เพราะเนเน่ ผมเลยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยละครับ”

“ไม่เป็นไรจ้า นานๆทีชั้นจะได้แสดงบทพี่สาวให้ยูคุงบ้าง ฮะฮะ หวังว่าคงไม่ตกหลุมรักชั้นนะ”

“จะบ้าเรอะไง ดูอายุพี่กับผมก่อนเหอะ”

“อ้าวๆ ยูคุง… พูดเรื่องอายุต่อหน้าผู้หญิง สงสัยอยากจะมีเรื่องสินะ”

เนเน่พูดจบ ทั้งคู่ต่างหัวเราะ  เสียงหัวเราะของยูมะชัดเจนว่าเขาสบายใจขึ้นมากจริงๆ

“ทีนี้จะเอาไงต่อละ จะไปบ้านชวาร์สเพื่อขอคืนดีมั้ย”

“ก็ว่าจะทำแบบนั้นนะ …หือ?”

ยูมะคิดอยู่ว่าจะเดินทางไปตอนไหน เริ่มพูดยังไงดี ทว่าเขาได้ยินเสียงน้ำหยดหลังคารัวๆ

 

“..ฝนตกรึ”

“เอ๋ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนไม่ตกนี่นา”

ดูจากเสียงที่กระทบหลังคา ดุท่าว่าฝนน่าจะตกหนักในไม่ช้านี้

“ซ..ซวยแล้ว ชั้นตากที่นอนไว้บนระเบียงด้วย”

“งานหยาบของจริง รีบไปเก็บกันเถอะครับ”

ยูมะสปริงตัวออกจากเตียง วิ่งไปที่ระเบียง

ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ที่นอนที่ตากไว้บนระเบียงเลยดูดน้ำฝนไปเล็กน้อย แล้วไอที่นอนนี่ก็น้ำหนักไม่ใช่เบาซะด้วย

 

ถือว่าโชคดีที่วันนี้อยู่บ้าน เพราะถ้ามีแค่เนเน่คนเดียว คงไม่น่าแบกที่นอนจากระเบียงไหว เพราะหนักเอาเรื่อง ….เฮ้ย นั่นมัน

 

จังหวะที่ยูมะดึดที่นอนลงมาจากระเบียง สายตาเขาเหลือบมองไปที่ชั้นล่างสุด  หน้าแมนชั่นมีเด็กสาวผมขาวยืนอยู่

“…ยุย”

ยุยยืนตากฝนโดยที่ไม่ได้กางร่ม ดูเหมือนว่าเธอจะเดินทางมาหาเขาที่แมนชั่นด้วยตัวเอง

 

“มีอะไรรึเปล่า”

“โทษทีนะเนเน่ ฝากที่นอนด้วย”

“เอ้า?”

ยูมะยกที่นอนให้เนเน่ถือ รีบวิ่งออกจากห้องไปกดลิฟท์ แต่ปรากฏว่าลิฟท์ใช้การไม่ได้ อยู่ในระหว่างการซ่อม

 

ยูมะตัดสินใจรีบวิ่งลงบันไดแทน  ในใจคิดว่าบ้าเอ๊ย กะจะเป็นคนออกไปหาเธอก่อนแท้ๆแล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ยูมะรีบวิ่งลงบันไดแบบลืมตาย  จนในที่สุดก็ถึงชั้นล่าง เขาเปิดประตูแมนชั่นออกมา

 

ยุยยังคงยืนอยู่ที่เดิม พอเห็นยูมะ เธอทำหน้าตกใจ

“เอ๊ะ…ยูมะ?”

“ยุย..ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่”

 

****

 

จบ CH4-1

มีใครสนใจย้ายมาทีมพี่สาวมั้ยครับ 55

ตอนหน้ามาลุ้นกันนะครับ ว่าทั้งสองคนจะปรับความเข้าใจกันสำเร็จรึไม่ 

 

 ถ้ารอได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า  kurakon 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+