Perfect Superstar 870 บ้านตลอดกาล
ตอนที่ 870 บ้านตลอดกาล
วันที่ 27 ธันวาคม เมืองปินไห่ ชุมชนจิ่งเซิ่ง
ค่ำคืนของฤดูหนาวมาถึงเร็วมาก ยังไม่ทันหกโมงเย็น ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว
ห้องอาหารของบ้านตระกูลลู่ยังเปิดไฟสว่าง ฟางอวิ๋นนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหารกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่ อาหารเย็นวันนี้ธรรมดามาก ผัดผักหนึ่งจาน ปลาจวดนึ่งหนึ่งจาน และซุปสาหร่ายอีกหนึ่งถ้วยก็หมดแล้ว
ฟางอวิ๋นที่นั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่าง ดูเงียบเหงายิ่งนัก
บุตรชายบุตรสาวทั้งสามคนของเธอ ลู่ซีอยู่ไกลถึงปักกิ่ง ทั้งวันเอาแต่ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ลู่เฉินกำลังถ่ายภาพยนตร์อยู่ที่เมืองเติงเฟิง ส่วนลู่เสวี่ยกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเจียงไห่ ต่างก็ไม่อาจอยู่เคียงข้างเธอได้
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นลู่ซีหรือว่าลู่เฉิน ต่างก็หวังว่าฟางอวิ๋นจะสามารถย้ายไปพักที่เมืองปักกิ่งได้ เพราะว่าธุรกิจของทั้งสองต่างก็อยู่ที่ปักกิ่ง ภายในอนาคตที่ยังพอคาดเดาได้นี้ ก็คงจะพักอยู่ที่ปักกิ่งยาวๆ
แต่ฟางอวิ๋นไม่อยากจากเมืองปินไห่ไป เพราะเธอเองเคยชินกับทุกอย่างที่เมืองปินไห่นี้แล้ว งานที่เมืองปินไห่ ญาติที่เมืองปินไห่ เพื่อนร่วมงานที่เมืองปินไห่ เพื่อนที่เมืองปินไห่…
ดังนั้นบางครั้งก็เหงามาก คิดถึงลูกๆ ของตนเอง ฟางอวิ๋นไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย และก็จะไม่โทรศัพท์ไปหาลู่เฉินหรือลู่ซีด้วย เพราะเธอทราบดีว่าลูกทั้งสองยุ่งมาก
มีคนโน้มน้าวให้เธอหาสามีใหม่ หรือกระทั่งแนะนำให้เธอด้วยซ้ำ ทั้งหมดล้วนเป็นคนไม่เลวเลย แต่ฟางอวิ๋นไม่คิดเรื่องนี้แม้สักนิด ตอนนี้สิ่งที่เธอหวังที่สุดก็คือลู่ซีและลู่เฉินจะรีบแต่งงานและมีลูก ถึงตอนนั้นเธอก็จะได้เกษียณอย่างสบายใจเพื่อไปดูแลทายาทรุ่นถัดไปของตระกูลลู่
เสียดายที่ความหวังนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟางอวิ๋นก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
ติ๊งต่องๆ
ตอนนี้เอง เสียงออดประตูดังขึ้น
ใครกันนะ
ฟางอวิ๋นรีบวางถ้วยและตะเกียบลงก่อนจะไปเปิดประตู คิดว่าน่าจะเป็นคนของนิติที่มาหาตนเพราะเรื่องอะไรบางอย่าง
นับตั้งแต่ลู่เฉินโด่งดังมีชื่อเสียง ทั้งครอบครัวก็ย้ายกลับมายังชุมชนจิ่งเซิ่ง คนที่มาเยี่ยมเยียนถึงหน้าประตูก็มากขึ้นทุกที
ทั้งญาติพี่น้องและผองเพื่อน ยังมีเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า มีทั้งสื่อและนักข่าว และก็มีคนที่ไม่สนิทอีกด้วย มีช่วงหนึ่งที่ฟางอวิ๋นยุ่งยากใจมาก ต่อมาจึงให้นิติและพนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยคัดกรองก่อน ถึงได้สงบลงมาได้บ้าง
เมื่อประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่ที่ประตูไม่ใช่คนของนิติ แต่เป็นลู่เฉินที่หิ้วกระเป๋าเดินทาง สะพายกระเป๋าเป้ที่หลัง ทั้งยังใส่แว่นตาดำอีกด้วย!
ลู่เฉินหัวเราะร่าก่อนจะพูดว่า “แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว!”
เมื่อพูดจบ เขาก็กอดฟางอวิ๋นยกใหญ่
ฟางอวิ๋นตกใจมาก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติ นางกำหมัดทุบไปที่ไหล่เขาหลายที “เจ้าลูกคนนี้นี่ ทำไมกลับมาไม่บอกสักคำ”
ลู่เฉินปล่อยมือ หัวเราะก่อนพูดว่า “อยากทำให้แม่ประหลาดใจและดีใจไงครับ…”
เขาพูดพลางเดินไปที่ห้องนั่งเล่น วางกระเป๋าเดินทางไว้ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะถอดกระเป๋าเป้สะพายหลังออกมาวางไว้บนโซฟาไอรีนโนเวล
เมื่อเห็นลู่เฉินที่นอน ‘หมดสภาพ’ อยู่บนโซฟาอย่างขี้เกียจแล้ว ฟางอวิ๋นก็ทั้งโกรธทั้งตลก เธอพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ประหลาดใจก็ประหลาดใจนั่นแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าดีใจไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว แล้วเฟยเอ๋อร์ล่ะ”
เมื่อเทียบกับลูกชายในไส้แล้ว เธอชื่นชอบลูกสะใภ้มากกว่ามาก
ลูเฉินพิงศีรษะไว้กับเบาะนุ่ม ก่อนจะพูดว่า “ผมมาคนเดียวครับ เธอกลับปักกิ่งไปแล้ว”
ครั้งนี้ที่ลู่เฉินกลับมาที่มณฑลเจ้อตงหลักๆ แล้วมีสองเรื่อง เรื่องแรกคือเข้าร่วมงานสถาปณาโรงเรียนมัธยมปินไห่ครบรอบร้อยปี
ลู่เฉินเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนมัธยมปินไห่ เขามีช่วงเวลาที่ดีในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่สำคัญระดับชาติแห่งนี้ และตอนนี้เขาก็เป็นเหมือนป้ายทองสำหรับการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนมัธยมปินไห่ ครั้งนี้โรงเรียนจะเฉลิมฉลองครบรอบร้อยปี ทางโรงเรียนได้ทำการเชิญเขาเข้าร่วมผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงให้คุณครูประจำชั้นของเขาในปีนั้นโทรศัพท์ติดต่อเขาด้วย
เพราะผูกพันจึงไม่อยากปฏิเสธ และยังไม่ลืมพระคุณครู ดังนั้นลู่เฉินจึงต้องกลับมาร่วมงานครบรอบวันสถาปณาโรงเรียน
เรื่องที่สองคือคอนเสิร์ตส่งท้ายปีเก่าของสถานีโทรทัศน์เจ้อตง
กระแสการจัดคอนเสิร์ตส่งท้ายปีเก่าของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นนั้นเริ่มมาจากสถานีโทรทัศน์เซียงหนาน ตอนเย็นของวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี จะมีการเชิญคนดังจากทุกสาขาอาชีพมาร้องเพลงบนเวทีใหญ่ ลำพังแค่การขายตั๋วเข้าชมก็สามารถกอบโกยได้ยกใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสดเลย
ภายใต้การนำของสถานีโทรทัศน์เซียงหนาน แต่ละสถานีโทรทัศน์ต่างก็เริ่มเอาเป็นแบบอย่าง ปีก่อนมีถึงห้าสถานีโทรทัศน์ที่จัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ปีนี้ยิ่งมีมากถึงเจ็ดสถานีโทรทัศน์ เห็นได้ชัดเลยว่าพยายามกันจนหัวแทบแตก ตอนนี้รีโมตในมือของผู้ชมทั้งประเทศคงกดกันจนร้อนไปหมดแล้ว คงเปลี่ยนช่องกันแทบไม่ทันเลย
ในฐานะที่เป็นดาราที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวงการ ตั้งแต่เมื่อตอนต้นปีลู่เฉินก็ได้รับคำเชิญจากสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง สถานีโทรทัศน์เซียงหนาน สถานีโทรทัศน์เจ้อตง สถานีโทรทัศน์ฮู่ไห่แล้ว พวกเขาล้วนหวังว่าลู่เฉินจะเข้าร่วมงานคอนเสิร์ตส่งท้ายปีเก่าที่สถานีโทรทัศน์ของพวกเขาจัดขึ้น
ในส่วนของข้อเสนอ ให้ลู่เฉินเสนอมาได้เลย
แต่ลู่เฉินไม่มีคาถาแยกร่าง เขาเลือกได้ที่เดียว ในนั้นสถานีที่แย่งชิงตัวเขาอย่างดุเดือดที่สุด ยังคงเป็นสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งและสถานีโทรทัศน์เจ้อตง และข้อได้เปรียบของสถานีโทรทัศน์ทั้งสองก็มีมากที่สุดเช่นกัน
อย่างไรเสียหลังจากการแข่งขันที่ดุเดือดจบลง ลู่เฉินได้รับปากคำเชิญของสถานีโทรทัศน์เจ้อตงไป และสำหรับเงื่อนไขหรือข้อเสนอนั้น เฉินเฟยเอ๋อร์จะเข้าร่วมเป็นเกียรติในงานของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง ถือว่าเป็นการให้เกียรติทั้งสองฝ่าย
เพียงแต่เมื่อเป็นอย่างนี้ ค่ำคืนแห่งวันขึ้นปีใหม่ของปี 2019 ทั้งสองก็ไม่อาจใช้เวลาร่วมกันได้แล้ว ถือว่าต้องเสียสละเป็นอย่างมากเลย
แต่สำหรับลู่เฉินแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้กลับมาเยี่ยมบ้าน
หนึ่งปีมานี้ เวลาที่ลู่เฉินกลับบ้านนั้นน้อยมากๆ หลังจากที่ลู่เสวี่ยเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทางบ้านเกิดเมืองปินไห่นี้ก็เหลือฟางอวิ๋นเพียงคนเดียว บางครั้งเมื่อนึกถึงเขาก็จะรู้สึกผิด
ดังนั้นลู่เฉินจึงถือโอกาสนี้กลับมาก่อนหลายวัน เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนแม่ของตน
ฟางอวิ๋นปิดประตูลง ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจว่า “ลูกกลับมาคนเดียว ไม่มีผู้ช่วยเหรอ”
ลู่เฉินตอบอย่างก้ำกึ่งว่า “ไม่มีครับ ผมให้พวกเขารออยู่ที่เมืองหังโจว วันที่ 31 ผมค่อยไปที่หังโจว ช่วงสองสามวันนี้จะอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่…”
ฟางอวิ๋นบ่นว่า “แม่มีอะไรต้องมาอยู่เป็นเพื่อนกัน ลูกงานยุ่งออกอย่างนั้น มีเวลาก็อยู่เป็นเพื่อนเฟยเอ๋อร์สิ…”
แม้ว่าจะพูดอย่างนี้ แต่ในใจขอบนางก็รู้สึกดีใจมาก ก่อนจะนั่งลงที่โซาฟาแล้วเริ่มพร่ำบ่น
จนลืมทานข้าวไปเลย
พูดอยู่หลายนาที ฟางอวิ๋นถึงได้นึกขึ้นมาได้ “อุ้ย ลูกยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม แม่ไปทำเพิ่มสักสองสามอย่างดีกว่า”
ตอนนี้เองฟางอวิ๋นถึงได้พบว่าลู่เฉินที่นอนอยู่บนโซฟาได้นอนหลับสนิทไปเสียแล้ว
เขาขับรถมาจากเมืองเติงเฟิง แม้ว่าจะมาด้วยเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ แต่ระยะทางกว่าพันกิโลเมตรล้วนขับมาด้วยตนเอง เมื่อตอนกลับมาถึงบ้านนั้นก็เหนื่อยสุดๆ แล้ว
เหมือนกับนกน้อยที่เหนื่อยล้า กลับมายังรังที่อบอุ่นของตนเอง ลู่เฉินที่กลับบ้าน ได้พักผ่อนอย่างแท้จริงแล้ว
เมื่อตอนล้มตัวที่โซฟาเขาก็ง่วงแล้ว ได้ยินเสียงพร่ำบ่นของแม่ก็รู้สึกว่าในใจเบิกบานมาก หลังจากนั้นความง่วงงุนก็มาเยือนทันที ฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ไหว
มองไปที่ลู่เฉินที่เหมือนเด็ก ในสายตาของฟางอวิ๋นล้วนเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู นางถอดรองเท้าให้ลู่เฉิน แอบห่มผ้าห่มให้เขา เพื่อให้เขานอนอย่างสบายและอบอุ่น
ไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหน ที่นี่ก็เป็นบ้านของลู่เฉินตลอดกาล
…………………………………………………………………………
Comments